ที่มา: สำนักกฎหมายราษฎรประสงค์
ณัฐ สัตยาภรณ์พิสุทธิ์ วัย 28 ปี ในครอบครัวฐานะปานกลาง เมื่อเรียนจบ ม.6 เขาเรียนต่อได้ 2 ปีที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงก็ต้องหยุดเรียน ออกมาทำงานอิสระในอาชีพการตลาดอิเลคทรอนิค (E-Marketing) เขาจึงมีความรู้ความชำนาญในโลกไซเบอร์ที่เป็นเวทีอิสระสำหรับเขาได้แสดงความ คิดเห็นในโลกของการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ต
ในปี 2552 ผู้คนในโลกไซเบอร์ตื่นรู้ที่จะถกเถียง แลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทย โดยมีเว็ปไซต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศจำนวนมากมายที่เป็นเวทีแสดงความคิด อย่างอิสระ
เขาจึงได้มีโอกาสอ่านเว็บไซต์เหล่านี้และมีส่วนร่วมต่อ การแสดงความคิด เห็นเฉกเช่นเสรีชนทั่วไป โดยมีเว็บไซต์ (ฟ้าเดียวกัน) เป็นอีกเวทีหนึ่งที่เป็นชุมชนแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย เขาใช้เวลาว่างหลังจากเสร็จงานในอาชีพของเขา เข้ามาในเว็บบอร์ดแสดงความคิดเห็นและเชื่อมโยงข้อมูลด้านต่างๆที่หลั่งไหลไป มาในโลกไซเบอร์โดยไม่รู้ว่าเสรีภาพในด้านความคิดของเขาจะเป็นอันตรายที่มา ถึงตัวเขาในข้อหาความผิดพรบ.คอมพิวเตอร์และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
เขา ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2552 ในข้อหาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์และนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เขารับสารภาพต่อตำรวจโดยไม่มีทนายความ วันที่ 14 ธันวาคม 2552ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี 18 เดือน ถูกจองจำอยู่แดน 4 เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยไม่มีญาติพี่น้องมาเยี่ยมเยียนเขา พ่อแม่ของเขาโศกเศร้าจนแทบจะเป็นบ้าที่ลูกชายต้องมาติดคุกในข้อหาหมิ่นพระ บรมเดชานุภาพ ส่วนญาติพี่น้องของเขาก็ตั้งข้อรังเกียจในตัวเขา
เขา ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องราวของเขาให้ครอบครัวได้เข้าใจได้อย่างไรแม้ แต่ตัวเขาในวันนี้ยังงุนงงกับข้อกล่าวหาในคดี หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพียงเพราะเขาได้แนะนำเว็บไซต์ในลักษณะเชื่อมโยงจากเว็บบอร์ดไปสู่เว็บไซต์ ที่มีข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เขาเป็นนักโทษที่เก็บตัวเงียบ ไม่มีญาติมิตรมาเยี่ยมเยียน เขาเคยเป็นคนร่าเริงสนุกสนาน ชอบพูดคุยกับเพื่อนๆ แต่หลังจากที่เขาถูกจองจำเขากลายเป็นคนเงียบขรึม หลายครั้งพูดอยู่คนเดียว จนนักโทษด้วยกันเป็นห่วงว่าเขาเริ่มมีอาการรั่วหรืออาการเบื้องต้นที่อาจทำ ให้เขากลายเป็นคนบ้านั่นเอง
เขาหวังว่าจะได้รับการอภัยโทษจากพระมหา กษัตริย์ เพื่อให้ได้รับอิสรภาพและจะได้กลับไปใช้ชีวิตเป็นพลเมืองที่จงรักภักดีอีกคน หนึ่ง เขานั่งนับวันปฎิทินในทุกวันเวลาที่ผ่านไป เพื่อรอคอยวันแห่งอิสรภาพของเขา
ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหน”
บันทึกโดย…นักโทษนิรนาม