Mon, 2012-08-27 22:59
ชาวบ้านเครือข่ายปฏิรูปที่ดินจวกข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาไม่คืบ แถมในพื้นที่ปัญหาขัดแย้งระอุ เกษตรกรย้ำ “รับจำนำข้าว-พักชำระหนี้-บัตรเครดิตเกษตรกร” ไม่ตรงเป้าการแก้ปัญหา นักวิชาการเผยตัวเลขความเหลื่อมล้ำ คน 10 % ครอบครองพื้นที่มีโฉนด 80 %
วันนี้ (27 ส.ค.55) เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย นำโดย
นางอำนวย สังข์ช่วย ชาวบ้านหาดสูง
สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ซึ่งประสบปัญหาที่ดินทำกินทับ
ซ้อนเขตป่า ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า แถลงข่าวครบรอบ 1 ปี
การทำงานของรัฐบาลกับนโยบายแก้ไขปัญหาที่ดินและคนจน ที่สมาคมนักข่าว
นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ระบุว่า นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 ส.ค.54
ที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ได้แถลงนโยบายที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติต่อสภาว่าจะปฏิรูปการจัดการที่ดิน
โดยให้มีการกระจายสิทธิที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน
รวมถึงจะผลักดันกฎหมายในการรับรองสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร ที่ดิน น้ำ
ป่าไม้ และทะเล
อย่างไรก็ตาม ระยะเวลา 1 ปีผ่านไป
การบริหารงานของรัฐบาลในเรื่องดังกล่าวกลับไม่มีความคืบหน้า
ส่งผลให้เกษตรกรเกือบ 800,000 ครอบครัวยังอยู่ในภาวะไร้ที่ดินทำกิน
เกษตรกรเกือบ 2 ล้านครองครัวอยู่ในภาวะมีที่ดินไม่เพียงพอ
ที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ถูกปล่อยท้องร้างถึง 48 ล้านไร่ ในขณะที่เกษตรกรกว่า
90 เปอร์เซ็นต์ประสบปัญหาหนี้สิน และที่ดินของเกษตรกรกว่า 38 ล้านไร่
อยู่ในสภาพหนี้ NPL และกำลังจะถูกขายทอดตลาด
ประกอบกับปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำและต้นทุนการผลิตสูงในปัจจุบัน
ทำให้เกษตรกรทั่วประเทศกว่า 4 ล้านครอบครัว
อยู่ในภาวะไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้
ผลงานของรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นโครงการบัตรเครดิตเกษตรกร
การแทรกแซงราคายางพารา โครงการรับจำนำมันสำปะหลัง และโครงการรับจำนำข้าว
กำลังตกเป็นข่าวและถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเอื้อประโยชน์ให้กับคนเพียงบางกลุ่ม
ในขณะที่เกษตรกรอาจจะได้รับผลประโยชน์ในระยะสั้น
ซึ่งไม่สามารถยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกรได้จริงสมกับเม็ดเงินที่
รัฐบาลกำลังทุ่มลงไป
ขณะที่ข้อเสนอของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยให้รัฐบาลปฏิรูปโครง
สร้างที่ดินและโครงสร้างภาคเกษตร ด้วยแนวทางโฉนดชุมชน
การใช้กลไกภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า
และการแก้ไขปัญหาเกษตรกรไร้ที่ดินด้วยแนวทางธนาคารที่ดิน
กลับไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลแต่อย่างใด
“สะท้อนให้เห็นว่า ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
รัฐบาลให้ความสำคัญกับนโยบายสร้างความนิยม
ซึ่งให้ผลตอบแทนกับเกษตรกรเพียงในระยะสั้น
แต่ละเลยการปฏิรูปโครงสร้างภาคเกษตร การลดความเหลื่อมล้ำด้านที่ดิน
และการยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของเกษตรกรอย่างยั่งยืน” นางอำนวย กล่าว
สำหรับข้อเสนอของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย นางอำนวยกล่าวว่า
รัฐบาลควรปรับปรุงนโยบาย และการดำเนินงานของรัฐบาลในปีที่ 2
ด้วยการตระหนักในความเดือดร้อนของเกษตรกร
และดำเนินนโยบายเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน
ตามนโยบายที่ได้เคยแถลงไว้ต่อรัฐสภาเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมาอย่างเร่งด่วน
เพื่อยืนยันและเป็นหลักประกันกับเกษตรกรทั่วประเทศว่า
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งชุดนี้มีความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาทางโครงสร้าง
ที่ถูกสั่งสมมาอย่างยาวนาน ให้สมกับคำแถลงนโยบายอันเป็นความหวังของเกษตรกร
ทั้งนี้ ในเวทีเสวนาวิชาการ “1 ปี
รัฐบาลกับการแก้ไขปัญหาที่ดินและโครงสร้างภาคเกษตร คืบหน้าหรือถอยหลัง”
จัดโดยเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย
และกลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน
โดยมีนักวิชาการและตัวแทนชาวบ้านร่วมนำเสนอข้อมูลและประเมินการทำงานของ
รัฐบาลในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา มีความเห็นให้รัฐบาลสอบตกในการแก้ปัญหา
น.ส.พงษ์ทิพย์ สำราญจิตต์ กลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน
กล่าวว่า รัฐบาลสอบตกในประเด็นการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน เนื่องจากช่วง 1
ปีที่ผ่านมา
รัฐบาลยังไม่ได้ทำในสิ่งที่เขียนไว้อย่างสวยหรูในถ้อยแถลงต่อรัฐสภาเลยแม้
แต่ข้อเดียว โดยเฉพาะการปฏิรูปและการกระจายการถือครองที่ดิน ซึ่งเป็นโครง
สร้างสำคัญในการแก้ปัญหาปากท้อง
รวมทั้งการแก้ปัญหาโครงสร้างภาคการเกษตรด้วย
ชาวบ้านร้องข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาไม่คืบ ขณะในพื้นที่สวนยางใต้ถูกปราบปรามหนัก
นางกันยา ปันกิติ กรรมการเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย
กล่าวในเวทีเสวนาวิชาการให้ข้อมูลว่าว่า จากปัญหาที่ดินกระจุกตัว
ชาวบ้านไร้ที่ดินทำกินจึงมีการผลักดันนโยบายโฉนดชุมชน ธนาคารที่ดิน
และภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง
และในรัฐบาลที่แล้วก็มีการดำเนินการไปแต่ยังไม่มาก
เมื่อมาถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันก็ได้มีการนำไปแถลงเป็นนโยบายต่อสภา
แต่กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งในเรื่องการจัดทำโฉนดชุมชน
หรือการแก้ปัญหาคดีโลกร้อน
ในขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ต้องประสบปัญหาถูกข่มขู่คุกคาม ทำลายทรัพย์สิน
ดังตัวอย่างชาวบ้านเทือกเขาบรรทัดที่ถูกตัดฟันต้นยางเมื่อวันที่ 23
ส.ค.ที่ผ่านมา ทั้งที่ทำกินอยู่ในพื้นที่ของปู่ย่า-ตายาย
นางกันยา กล่าวด้วยว่า งบประมาณ 50 ล้านบาท ที่รัฐบาลมอบให้กรมอุทยานฯ
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยอ้างว่าเพื่อใช้ปราบปราบนายทุน
เจ้าของรีสอร์ทที่บุกรุกป่า
กลับถูกนำมาใช้เพื่อปราบปรามชาวบ้านเกษตรกรรายย่อย
ถือเป็นการดำเนินนโยบายที่สร้างปัญหาความขัดแย้งให้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
ในวันนี้ชาวบ้านต้องลุกขึ้นมาปกป้องที่ดินของตนเอง
โดยต้องทำหลุมพรางเป็นกับดัก
และจับมีดพร้าเข้าไปเฝ้าระวังในสวนยางเพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่เข้ามาตัดฟัน
ซึ่งอาจนำไปสู่ความสูญเสียหากมีการเผชิญหน้ากัน
ส่วนการเคลื่อนไหวของชาวบ้าน นางกันยา ให้ข้อมูลว่า
วันนี้ชาวบ้านจากเทือกเขาบรรทัดส่วนหนึ่งได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อแม่ทัพ
ภาค 4 เพื่อขอกำลังทหารเข้าคุ้มครองพื้นที่ชั่วคราว ระหว่างรอ มติ
ครม.เพื่อแก้ปัญหาที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า
และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด
จ.ตรัง เข้าไปตัดฟันต้นยางของชาวบ้านในพื้นที่
เกษตรกรชี้ “รับจำนำข้าว-พักชำระหนี้-บัตรเครดิตเกษตรกร” ไม่ตรงเป้าการแก้ปัญหา
นางกิมอัง พงษ์นารายณ์
ผู้ประสานงานสภาเครือข่ายองค์กรเกษตรกรแห่งประเทศไทย
กล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลว่าไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง
แต่กลับทำให้ปัญหาหนี้สินหนักขึ้น ชาวนาถูกยึดทรัพย์ขาดทอดตลาด
ทุกวันนี้ปัญหาการสูญเสียที่ทำกินลุกลามมาถึงที่อยู่อาศัย
ทำให้อาชีพเกษตรกรไม่ใช่อาชีพที่เป็นทางเลือกของลูกหลานอีกต่อไป
สำหรับนโยบายรับจำนำข้าว จากราคาประเมิน 15,000 บาท
ปัจจุบันเกษตรกรได้รับ 13,000 บาท
แต่ก็ประสบปัญหาเรื่องเวลาที่จะได้รับเงิน และรายจ่ายที่สูงขึ้น ของแพง
แม้ชาวนาจะรู้สึกดีที่ได้เงินก้อนใหญ่แต่สุดท้ายต้องถูกใช้จ่ายไปกับหนี้สิน
และต้นทุนการผลิตอื่นๆ อื่นสูงขึ้นตามมา
จึงเท่ากับว่าประชาชนไม่ได้ประโยชน์
ในส่วนการพักชำระหนี้ก็ให้เฉพาะกับลูกหนี้ชั้นดี
ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาของเกษตรกรที่กำลังจะถูกยึดที่ดิน
และกรณีบัตรเครดิตเกษตรกรนั้นเมื่อรูดเงินมาแล้วหากผลผลิตไม่ได้ตามเป้า
ก็เท่ากับเกษตรกรต้องเป็นหนี้ก้อนใหญ่ขึ้นเท่านั้น
“เอาเงินก้อนใหญ่ใส่ในมือชาวนา ทำให้ต้องเลือกเพื่อจะได้เงิน
แต่ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ตรงจุด”
นางกิมอังกล่าวถึงวิธการแก้ปัญหาของเกษตรกรที่รัฐบาลชุดปัจจุบันทำอยู่
นางกิมอัง กล่าวด้วยว่า กฎหมายกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร
เป็นกฎหมายที่เขียนไว้ดี แต่ไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาล
เกษตรกรต้องรวมตัวกันชุมนุมถึง 4 รอบ กว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการ
แต่เมื่อตั้งคณะกรรมการแล้วกลับไม่มีการประชุมเดินหน้าทำงานเพื่อแก้ปัญหา
จนทำให้เกษตรกรต้องรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อกระตุ้นเตือน
จึงจะได้เริ่มนัดประชุม
“รัฐบาลควรแก้ปัญหาที่ปัจจัยการผลิตก่อน
อย่าเอาหนี้มาเพิ่มให้กับเราเรื่อยๆ” นางกิมอังกล่าว
โดยให้ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาว่า
ควรมีการจัดสรรที่ดินให้เกษตรกรเพื่อทำการเกษตร
และทำให้เกษตรกรสามารถทำการผลิตแล้วอยู่ได้อย่างยั่งยืน
เผยตัวเลขความเหลื่อมล้ำ คน 10 % ครอบครองที่ดิน 80 % ของพื้นที่มีโฉนด
ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กล่าวในเวทีเสวนาถึง งานวิจัยการกระจุกตัวความมั่งคั่งในสังคมไทย
นำเสนอข้อมูลการถือครองที่ดินในรูปแบบโฉนดทั้งของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลใน
ประเทศไทยว่า ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค (Gini Coefficient)
หรือค่าจีนี เพื่อแสดงค่าความเหลื่อมล้ำการกระจายการถือครองทรัพย์สิน
ซึ่งจะมีค่าระหว่าง 0 ถึง 1 โดยหากตัวเลขเข้าใกล้ 0
หมายถึงสังคมมีความเหลื่อมล้ำที่ต่ำ แต่เข้าใกล้ 1
หมายถึงการมีความเหลื่อมล้ำในสังคมมาก พบว่าในปี 2555
ภาพรวมทั้งประเทศมีค่าจีนีสูงถึง 0.941
แสดงว่ามีการกระจุกตัวของการถือครองที่ดินสูงมาก
ขณะที่รายจังหวัดมีค่าจีนีอยู่ในช่วง 0.7 – 0.9
ขณะที่การกระจายรายได้จากการเก็บข้อมูลปี 2552 มีค่าจีนี 0.485
ซึ่งน้อยกว่า
แต่ก็แสดงให้เห็นว่าสังคมไทยมีการกระจุกตัวของความมั่งคั่งอยู่
ผศ.ดร.ดวงมณี ให้ข้อมูลต่อมาว่า
ประเทศไทยมีค่าเฉลี่ยของการถือครองที่ดินอยู่ที่ 13.97 ไร่
โดยบุคคลที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในประเทศเป็นนิติบุคคล
ถือครองที่ดินจำนวน 2,853,859 ไร่
และเมื่อแบ่งผู้ถือครองที่ดินทั้งประเทศออกเป็น 5 กลุ่ม
พบว่ากลุ่มคนที่ถือครองพื้นที่น้อยที่สุด 20 เปอร์เซ็นต์แรก
ถือครองที่ดินเฉลี่ย 0.086 ไร่ ขณะที่กลุ่มคนที่ถือครองพื้นที่มากที่สุด 20
เปอร์เซ็นต์ท้าย ถือครองที่ดินเฉลี่ย 6.3 แสนไร่ ซึ่งมีความต่างกันประมาณ
729 เท่า
อีกทั้งยังพบว่า ผู้ถือครองที่ดินทั้งแบบบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล มีคน
10 เปอร์เซ็นต์ ครอบครองที่ดินเป็นจำนวน 80 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่มีโฉนด
และคนที่เหลืออีก 90 เปอร์เซ็นต์ครอบครองที่ดินเป็นสัดส่วน 20
เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่มีโฉนดที่เหลือ
ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการกระจุกตัวของการถือครองที่ดินเป็นอย่างมาก
โดยตัวเลขดังกล่าวหากรวมผู้ที่ไม่มีที่ดินถือครองจะเห็นถึงความเหลื่อมล้ำ
ที่มากขึ้นไปอีก
นักวิชาการด้านคณะเศรษฐศาสตร์ กล่าวการแก้ปัญหาของรัฐบาลว่า
ที่ผ่านมามีการพูดถึงกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และธนาคารที่ดิน
แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า
ทั้งที่มาตรการทางภาษีจะช่วยเพิ่มต้นทุนในการถือครองที่ดิน
เกิดการกระจายการถือครองที่ดิน
และช่วยให้มีการนำที่ดินมาใช้ให้เกิดประโยชน์
ส่วนธนาคารที่ดินจะช่วยให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงที่ดินได้ อย่างไรก็ตาม
ปัญหาเรื่องที่ดินไม่สามารถแก่ไขได้โดยใช้มาตรการในมาตรการหนึ่งแต่เพียง
อย่างเดียว
ชี้ 4 ประเด็นปัญหา ที่รัฐบาลนี้ (และที่ผ่านมา) แก้ไม่สำเร็จ
รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า
นโยบายการจัดการที่ดินถูกละเลยอย่างต่อเนื่องในแทบทุกรัฐบาลที่ผ่านมา
ชาวบ้านต้องเผชิญปัญหามายาวนาน โดยไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบาย
พร้อมอธิบาย 4 ประเด็นปัญหานโยบายรัฐว่า ประกอบด้วย
1.ปัญหาพื้นฐานในการเข้าไม่ถึงสิทธิถือครองที่ดินโดยถูกกฎหมาย ยกตัวอย่าง
ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่ถึง 1.5 ล้านครอบครัว
โดยไม่มีนโยบายแก้ปัญหาเรื่องนี้ที่ชัดเจน ส่วนนโยบายโฉนดชุมชน
กองทุนธนาคารที่ดิน ซึ่งต้องมีความเกี่ยวเนื่องกันก็ยังไม่เดินหน้า
ทำให้ไม่เห็นความชัดเจนในการปฏิรูปเพื่อให้เกษตรกรได้เข้าถึงที่ดิน
ทั้งนี้ การปฏิรูปที่ดิน จาก
สปก.ที่มีอยู่เดิมก็เป็นเพียงการนำที่ดินของรัฐซึ่งเป็นป่าเสื่อมโทรมมาแจก
ไม่ได้มุ่งปรับโครงสร้างการถือครองที่ดิน
หรือทำให้เกิดความเป็นธรรมในการกระจายการถือครองที่ดินอย่างแท้จริง
2.ความไม่มั่นคงในการถือครองที่ดิน
เนื่องจากไม่มีการกำหนดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อป้องกันการเก็งกำไร
ทำให้เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากต้องสูญเสียที่ดิน
ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันก็ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้
3.ความไม่มั่นคงในชีวิตของภาคเกษตร
ซึ่งคนส่วนใหญ่ในสังคมคือผู้ใช้แรงงานและการมีชีวิตอยู่ในภาคเกษตรเพียง
อย่างเดียวไม่สามารถทำให้คนอยู่ได้ ทิศทางในการพัฒนาเกษตรจึงเป็นสำคัญ
ดังนั้นการแจกที่ดินเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เกษตรกรมีความมั่นคงได้
ต้องมีนโยบายอื่นๆ ประกอบ ซึ่งรัฐบาลก็ยังไม่มีนโยบายในส่วนนี้ที่ชัดเจน
4.ความขัดแย้งเฉพาะหน้า ซึ่งมีทั้งกรณีที่เกิดความรุนแรง
และกรณีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
โดยข้อเสนอคือหากยังไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
รัฐบาลควรชะลอการดำเนินการใดที่กระทบต่อชีวิต
แล้วควรเปิดโอกาสให้ชาวบ้านพิสูจน์สิทธิการถือครองที่ดิน
ส่วนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว
ควรใช้เงินกองทุนยุติธรรมเข้าให้ความช่วยเหลือในการประกันตัวและต่อสู้คดี
ทั้งนี้
ในตอนท้าย รศ.สมชาย แสดงความเห็นว่า
การดำเนินการบางส่วนของรัฐบาลอยู่ที่ความเข้มแข็งของแต่ละพื้นที่
และผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่อย่างไรก็ตาม
รัฐบาลต้องคิดแก้ปัญหาให้ชาวบ้านอย่างสันติ
นอกจากนี้ตัวเลขจากงานวิจัยการถือครองที่ดินน่าจะช่วยทำให้สังคมมองเห็นความ
ไม่เป็นธรรมได้มากขึ้น
ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการผลักดันนโยบายเพื่อแก้ปัญหาการให้เกิดขึ้นได้
อย่างจริงจัง
“คดีโลกร้อนกับคนจน” ชาวบ้านดันเต็มที่ แต่ผู้มีอำนาจไม่รับลูกต่อ
ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตน์ สถาบันธรรมรัฐเพื่อพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม
กล่าวว่า กรณีชาวบ้านถูกกรมอุทยานฯ และกรมป่าไม้ ฟ้องร้องในคดีโลกร้อน
จากตัวเลขเดิมที่มีอยู่คือ 34 ราย 19 คดี
ซึ่งอาจมีผู้ต้องคดีได้ต่อไปอีกถึง 2,000 ราย
สะท้อนปัญหาโครงสร้างป่าไม้ที่ดินไทยซึ่งอยู่บนความเชื่อผิดๆ
ว่าคนที่อยู่กับป่าคือผู้กระทำผิด
ทั้งที่ความจริงที่เกิดขึ้นมีกรณีของกฎหมายป่าไม้ที่บุกรุกขับไล่คนออกจาก
พื้นที่ และกรณีของการส่งเสริมพืชเศรษฐกิจเพื่อส่งออกตามนโยบายของรัฐบาล
แต่สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปทำให้ผู้บุกเบิกที่รัฐเคยส่งเสริมต้องกลายมาเป็น
ผู้บุกรุกที่รัฐต้องจับกุมในปัจจุบัน
ดร.บัณฑูร กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านและได้ร่วมกับนักวิชาการ 16
คนซึ่งตนเองเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
ทำข้อเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกรณีแบบจำลองการคิดค่าเสียหายทางสิ่งแวด
ล้อมซึ่งใช้ในการฟ้องคดีโลกร้อนว่ามีวิธีคิดคำนวณที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม
และไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อให้กรมอุทยานฯ
และกรมป่าไม้แก้ไขแบบจำลองดังกล่าว ทั้งต่อคณะกรรมการสิทธิมนุายชนแห่งชาติ
และต่อนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
รวมทั้งยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ทั้งนี้ ชาวบ้านพยายามอย่างเต็มที่
ทำทุกทางเพื่อแก้ปัญหา แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล
ในส่วนของข้อเสนอ ดร.บัณฑูร กล่าวว่า
ควรยุติการใช้แบบจำลองการคิดค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อมด้งกล่าว
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการพิสูจน์สิทธิ์
อีกทั้งให้มีการพัฒนาแบบจำลองใหม่โดยหน่วยงานทางวิชาการ อาทิ
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) หรือสภาวิจัยแห่งชาติ
ทั้งนี้ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า
เท่าที่ติดตามยังไม่เคยเห็นการฟ้องคดีโลกร้อนกับนายทุนรายใหญ่
ซึ่งตรงนี้อาจเป็นปัญหาจากกระบวนการตรวจวัดผลงานของเจ้าหน้าที่รัฐ
ที่ทำให้ชาวบ้านต้องตกเป็นเป้าหมายเพื่อสร้างผลงานเพราะเจ้าหน้าที่ไม่
สามารถจัดการกับนายทุนได้
รัฐบาลสอบตกแก้ปัญหาเกษตรกร เหตุทุ่มงบอัดประชานิยม
รศ.สมพร อิศวิลานนท์ สถาบันคลังสมองแห่งชาติ กล่าวถึง
การทำงานของรัฐบาลในการแก้ปัญหาที่ดินในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาว่า
ไม่มีความก้าวหน้า
ทั้งในส่วนของการขยายเขตการจัดรูปที่ดินในพื้นที่ชลประทาน
การจัดหาที่ดินทำกินให้แก่ผู้ยากไร้ การปฏิรูปการถือครองที่ดิน
การจัดให้มีโฉนดชุมชน การสนับสนุนให้มีการตัดตั้งธนาคารที่ดิน
การคุ้มครองที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และการฟื้นฟูคุณภาพดิน
ส่วนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเกษตรเป็นนโยบายที่รัฐละเลยและให้ความ
สำคัญในระดับต่ำ
และนโยบายทุ่มเทไปกับการยกระดับราคาและแทรกแซงกลไกตลาดของพืชบางชนิดอย่าง
ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะการแทรกแซงตลาดข้าวเปลือก
ซึ่งนโยบายการแทรกแซงกลไกตลาดของพืชบางชนิดในระดับสูงนี้ได้สร้างผลกระทบต่อ
โครงสร้างการผลิตพืชของไทย ขณะที่นโยบายด้านการเสริมสร้างและพัฒนากลไกตลาด
และโครงสร้างตลาดสินค้าเกษตรและตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าถูกละเลย
จะนำมาซึ่งความสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการเกษตรไทย
รศ.สมพรกล่าวด้วยว่า
นโยบายเกษตรของรัฐมีภาพไม่ชัดเจนที่จะขับเคลื่อนนโยบายการจัดการเพื่อความ
มั่นคงทางอาหารของชุมชน และการก้าวไปสู่การเป็นครัวโลก
ทั้งนี้ หากจะให้คะแนนรัฐบาลระยะสั้นเต็มสิบถือว่าสอบผ่าน หรือให้หก
แต่ถ้ามองภาพรวมในระยะยาวถือว่าสอบตก
การที่รัฐบาลมุ่งทำประชานิยมมากเกินไปจะเกิดผลเสียตามมา
เป็นความเสียหายหลายแสนล้าน
ขณะที่เงินหลายแสนล้านรัฐสามารถนำมาพัฒนาด้านอื่นๆ ได้
นักวิชาการสถาบันคลังสมองแห่งชาติ กล่าวส่งท้ายถึงข้อเสนอว่า
รัฐบาลควรเร่งให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการสูญเสียที่ดินทำกินในภาคเกษตร
การคุ้มครองที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม การจัดตั้งกองทุนที่ดินเพื่อการเกษตร
การจัดกรรมสิทธิ์การใช้ที่ดินในรูปของโฉนดชุมชน
และควรเร่งให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจการเกษตร
เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการผลิตอาหาร
รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง
เพื่อสร้างความมั่นคงในอาชีพและการดำรงชีวิตอย่างเป็นสุข
อีกทั้งควรมีการกำหนดเขตการใช้ที่ดินและแผนการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตร
ใหม่ โดยเฉพาะในส่วนแผนการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรของชุมชน
และสร้างกลไกมาตรการทางภาษีเพื่อการปฏิรูปการถือครองที่ดินจำนวนมาก