บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2551

จากเสื้อสีเหลืองถึงผ้าพันคอสีฟ้า สัญญาณมรณะถึงสนธิ ลิ้มทองกุล

คนจำนวนไม่น้อยพากันสงสัยว่าทำไมสนธิ ลิ้มทองกุล ต้องผูกพ้าพันคอสีฟ้าขึ้นเวทีพันธมิตรปลุกระดมขับไล่รัฐบาล

สนธิ ต้องการสื่อให้เข้าใจว่าอย่างไร?

ผ้าพันคอสีฟ้าผืนนี้ต้องมีความสำคัญอย่างมาก สำหรับสนธิ ...ผู้พบเห็นทุกคนย่อมคิดไปในทางเดียวกัน เพราะไม่เช่นนั้น สนธิ คงไม่นำมาผูกติดคอแล้วขึ้นโชว์บนเวทีทุกวัน

หากจำกันได้ ก่อนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 สนธิ เคยผูกพ้าคอสีฟ้าในลักษณะเดียวกันนี้ ออกมานั่งแถลงข่าว พร้อมกับโชว์กระเป๋าถือหนึ่งใบ และบอกว่าได้รับมาพร้อมกับเงิน 2 แสนบาท โดยผู้มอบให้ มีเจตนาที่จะสนับสนุนการชุมนุมขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

สนธิ ไม่กล้าพูดชัดว่าได้รับผ้าพันคอสีฟ้ามาจากใคร รวมทั้งกระเป๋า และ เงินสองแสนบาทในกระเป๋า ก็บอกไม่ได้ว่าได้มาจากไหน เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าของสองสิ่งและเงินสองแสนที่ได้รับมา มีความหมายสูงสุดสำหรับตนที่จะใช้เป็นสื่อสัญลักษณ์การขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

สนธิ เป็นนักสื่อสารมวลชนที่เชี่ยวชาญการใช้สื่อสัญลักษณ์มากที่สุดคนหนึ่ง แต่นำความเก่งกาจ เชี่ยวชาญมาใช้ในทางที่ผิด และทำให้ผู้คนสับสน หลงผิด เข้าใจผิด และทำให้เกิดอุปาทานหมู่

หลังการรัฐประหารผ่านพ้นไป ผ้าพันคอสีฟ้าถูกเก็บไป ไม่มีใครพูดถึงอีก ไม่มีใครได้เห็นอีก แม้แต่สนธิ ก็ไม่เคยนำมาผูก หรือโชว์ให้ใครได้เห็นอีก กระทั่งวันก่อม็อบพันธมิตรปิดถนนราชดำเนิน ขับไล่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช สนธิ จึงปัดฝุ่นผ้าพันคอสีฟ้าแล้วนำมาผูกติดคออีกครั้งหนึ่ง

แม้จะไม่กล้าพูดชัด แต่สนธิ ก็พยายามที่จะสื่อแสดงให้เห็นว่า ผ้าพันคอสีฟ้า มีความหมาย มีความสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับการต่อสู้ของตนทั้งสองครั้งสองครา

หากจะพูดกันอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ก็ต้องบอกว่าสนธิ พยายามทำให้ผู้พบเห็นผ้าพันคอสีฟ้าผืนนั้น เข้าใจไปเองว่าได้รับพระมหากรุณาธิคุณ เป็นการสร้างภาพว่าตนเองมีความอิงแอบแนบชิดกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ หรือ อย่างน้อยก็ต้องเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับสถาบันเบื้องสูง ซึ่งเป็นกลอุบายที่สนธิ ใช้มาโดยตลอด นับตั้งแต่เริ่มก่อม็อบปลุกระดมประชาชนให้เข้าใจผิด ว่าได้รับการสนับสนุนจากสถาบันเบื้องสูง ในการออกมาเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช

จะเว้นก็เพียงในช่วงรัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ เท่านั้น ที่สนธิ ไม่กล้าอ้างสถาบันเบื้องสูง ไม่กล้าสร้างภาพให้เห็นว่ามีความอิงแอบแนบชิดกับสถาบัน

แม้ว่าจะไม่พอใจพล.อ.สุรยุทธ์ อยู่หลายครั้ง ที่ไปขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจ และไม่ทำตามข้อเรียกร้องของตนเอง แต่สนธิก็ไม่กล้าใช้สัญลักษณ์ ผ้าพันคอสีฟ้า และ เสื้อสีเหลือง เป็นส่วนหนึ่งในการโจมตีกล่าวหาใส่ร้ายพล.อ.สุรยุทธ์ เนื่องเพราะพล.อ.สุรยุทธ์ เป็นอดีตองคมนตรี (ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี) เป็นบุคคลที่มีภาพความสัมพันธ์กับสถาบันเบื้องสูงแจ่มชัด และเชื่อถือได้ มากกว่าตนเอง มากมายหลายเท่า จนเปรียบเทียบกันไม่ได้ และไม่สามารถจะหลอกลวงใครได้ว่า สถาบันเบื้องสูงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแสดงความไม่พอใจของตนที่มีต่อพล.อ.สุรยุทธ์ ดังเช่นที่กระทำต่อรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

การสร้างภาพให้คลุมเครือ ไม่ชัดเจน ของสนธิ ผ่านสัญลักษณ์ เสื้อสีเหลือง และ ผ้าพันคอสีฟ้า มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิด และตีความไปต่างๆ นาๆ เช่นที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ เป็นบนถนัดของสนธิ เป็นความารถพิเศษของนักสื่อสารมวลชนที่มากเล่ห์คนนี้ ชนิดที่ไม่มีใครกล้าทำ แม้แต่คิดก็ยังหาคนเสมอเท่าได้ยากนัก

ทว่า กลอุบายการสร้างภาพความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ ไม่ชัดเจน ระหว่างตนกับสถาบันเบื้องสูง โดยผ่านสื่อสัญลักษณ์ที่ไม่มีที่มาที่ไป ไม่ปรากฎชัดแจ้งถึงผู้มอบให้ ไม่ระบุชัดเจนถึงกระบวนการ และพิธีกรรมการได้มา เช่นนี้ กลับเป็นอุบายที่ทรงอาณุภาพ และมีพลังแห่งการทำลายล้างที่รุนแรงอย่างยิ่ง เมื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือปลุกระดมมวลชนที่ขลาดเขลาเบาปัญญา ไม่ต้องการการพิสูจน์ความจริงหรือความเท็จ ก่อนที่จะเชื่ออย่างหัวปักหัวปำ

กุศโลบาย "หลังพิงวัง" ของสนธิ โดยผ่านสื่อสัญลักษณ์ ผ้าพันคอสีฟ้า และเสื้อสีเหลือง น่าจะเป็นยุทธวิธีที่มีพลังแห่งการทำลายล้าง และเป็นเครื่องมือแห่งการได้มาซึ่งชัยชนะที่มีต่อทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกรัฐบาล ที่สนธิ กำหนดสถานะให้เป็นศัตรูที่เขาต้องทำลายล้าง ได้อย่างไม่ยากเย็น หากว่ากุศโลบายนี้ไม่ถูกเปิดเผยความจริงจากศาลสถิตยุติธรรม ซึ่งอ่านคำพิพากษาคดีความคดีหนึ่งที่ สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นจำเลย เสียก่อน

ศาลในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อ่านคำพิพากษาคดีที่สนธิ ถูก ทักษิณ ชินวัตร ฟ้องหมิ่นประมาท และศาลตัดสินจำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา พร้อมกับชี้แจงเหตุผลของการไม่รอลงอาญา ว่า

"การแต่งการของจำเลยที่ 1 ไม่ว่าสีของเสื้อที่ใช้สีเหลือง อันเป็นสีประจำพระองค์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตัวอักษรที่หน้าอกเสื้อคำว่า"เราจะสู้เพื่อในหลวง" ก็ดี ล้วนพยายามสร้างภาพของโจทก์ และผู้สนับสนุนโจทก์ ให้มีภาพยืนอยู่ตรงข้ามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และพยายามสร้างภาพของจำเลยกับพวกให้อิงแอบแนบชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันสูงสุดที่ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าต้องเทิดทูน เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์กับพวก ไม่จงรักภักดี ทำตัวเสมอพระมหากษัตริย์ หรือไม่ถวายพระเกียรติพระมหากษัตริย์ เป็นการแยกประชาชนคนไทยที่จงรักภักดีบางส่วน ให้เป็นฝ่ายตรงข้ามสถาบันพระมหากษัตริย์ นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ

การที่จำเลยที่ 1 พยายามดึงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพ เทิดทูนสูงสุดของประชาชนทุกหมู่เหล่า มาเป็นเครื่องมือในการกำจัดโจทก์กับพวก ในทางการเมือง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พฤติการณ์แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรง และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคล หรือคณะบุคคลอื่นๆ อีกต่อไป จึงไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1"

คำพิพากษาของศาล ที่แจ้งเหตุการไม่รอลงอาญาสนธิ ลิ้มทองกุล ระบุชัดว่าพฤติกรรมปลุกระดมประชาชนให้เข้าใจผิดว่า ตนเองมีความใกล้ชิดและอิงแอบแนบชิดกับสถาบันเบื้องสูง เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับตนเอง เป็นผู้ไม่จงรักภักดี เป็นฝ่ายตรงข้ามสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นพฤติกรรมที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ

คำพิพากษาของศาล ยังทำให้เห็นภาพของสนธิ ชัดเจนยิ่งขึ้นอีกว่าสนธิ พยายามที่จะดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองของตนเอง เพื่อกำจัดศัตรูฝ่ายตรงข้ามของตนเอง ซึ่งผิดหลักการของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จัดเป็นพฤติกรรมที่มีลักษณะร้ายแรง ไม่ควรปล่อยไว้ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคล หรือ คณะบุคคลอื่นๆ อีกต่อไป จึงเป็นเหตุที่ไม่ควรบรรเทาโทษ หรือรอการลงโทษ

คำพิพากษาของศาลในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2550 มีความแจ่มชัดอย่างยิ่ง เป็นยิ่งกว่าแว่นขยายที่ทำให้เห็นพฤติกรรมของสนธิ ชัดเจนโดยทั่วกัน เป็นยิ่งกว่าน้ำยาเช็ดเลนส์ตาของคนไทยทั้งชาติ ที่สนธิ ทำให้ขุ่น พร่ามัว ด้วยน้ำลายอันเป็นพิษ ทำให้ความคลุมเครือ ความไม่ชัดเจนที่สนธิ สร้างไว้เพื่อเป็นกุศโลบาย พังทลายลงโดยพลัน

คำพิพากษาของศาล หากพูดภาษาชาวรากหญ้า ก็ต้องบอกว่า

ที่แท้แล้ว... สนธิ หาใช่ผู้จงรักภักดี ไม่ หากแต่เป็นผู้ใช้ความจงรักภกัดีของประชาชนที่มีต่อพระมหากษํตริย์ มาเป็นเครื่องมือหลอกลวงปลุกระดมประชาชน ให้หลงเชื่อตัวเอง

ที่แท้แล้ว... สนธิ หาใช่ผู้มีความปรารถนาดี เจตนาดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หากแต่ใช้สถบันพระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องมือ เพื่อตอบสนองเจตนาอันชั่วร้าย และความปราราถนาอันบัดซบของตนเอง เป็นสำคัญ

ที่แท้แล้ว... สนธิ หาใช่ผู้ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ หากแต่เป็นผู้ที่นำสถาบันพระมหาษัตริย์ มาปกป้องและเป็นเครื่องมือทางการเมืองของตนเอง

ที่แท้แล้ว... สนธิ หาใช่ผู้พิทักษ์รักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หากแต่เป็นผู้ทำลายล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

ที่แท้แล้ว... สนธิ หาใช่บุคคลที่จะเป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคล หรือคณะบุคคลทั่วไปได้ หากแต่เป็นบุคคลที่มีพฤติการณ์ชั่วร้าย ที่ไม่สมควรจะปล่อยไว้เป็นเยี่งอย่างแก่ใครอีกต่อไป

ที่แท้แล้ว... สนธิ หาใช่บุคคลที่สมควรได้รับคำสรรเสริญ เยินยอ เชิดชู หากแต่เป็นบุคคลที่สมควรได้รับกสนลงโทษตามคำพิพากษาของศาล

ที่แท้แล้ว... สนธิ หาใช่บุคคลที่ควรจะมีอิสระเสรีภาพในการทำลายล้างบุคคลอื่นตามความพึงพอใจของตนเอง หากแต่เป็นบุคคลที่ต้องถูกจองจำกักขังควบคุมตัวไว้ในเรือน จำ อันเนื่องแต่พฤติกรรมการกระทำความผิดของตนเองดังที่ศาลได้พิพากษาแล้ว

ที่แท้แล้ว... สถานที่อันเหมาะสมแก่สนธิ จึงไม่ใช่ถนนราชดำเนิน ถนนแห่งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หากแต่เป็นเรือนจำ จุดสุดท้ายของเหล่าอาชญากร และผู้ก่อการร้าย กระทำความชั่ว ความผิดต่อแผ่นดิน

จากพฤติการณ์ปลุกระดมประชาชน ด้วยสื่อสัญญลักษณ์ "เสื้อสีเหลือง" อันนำมาสู่คำพิพากษาดังปรากฎข้างต้นนี้ จึงเป็นเหตุให้ต้องพิจารณาให้ดีถึงผ้าพันคอสีฟ้า สื่อสัญญลักษณ์ชิ้นใหม่ที่สนธิ นำมาใช้หลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ เข้าใจผิด อยู่ในขณะนี้ ว่า เป็นพฤติ การณ์ชั่วร้ายลักษณะเดียวกันหรือไม่ และเป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความไม่หลาบจำ ไม่สำนึกในการกระทำความผิดของตนเองใช่หรือไม่ เป็นพฤติการณ์ที่ศาลพึงพิจารณาว่าเป็นการท้าทายต่อคำพิพากษาของศาลใช่หรือไม่

อันเป็นที่มาของคำถามที่ท้าทายต่อสนธิ ลิ้มทองกุล ว่า "กล้าพูดหรือไม่ว่า ผ้าพันคอสีฟ้า เป็นของผู้ใด ได้มาอย่างไร และผู้มอบให้มีความเกี่ยวข้องเช่นไรกับการปลุกระดมมวลชนขับไล่รัฐบาลในขณะนี้"

ย้อนกลับไปอ่านคำพิพากษาของศาล เขียนไว้ชัดว่า "สถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันสูงสุดที่ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าต้องเทิดทูน ...การแยกประชาชนคนไทยที่จงรักภักดีบางส่วน ให้เป็นฝ่ายตรงข้ามสถาบันพระมหากษัตริย์ นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ"

ด้วยเหตุที่ศาลเป็นสถาบันซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ในพระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว จึ่งย่อมต้องคำนึงสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสำคัญสูงสุด และเป็นสถาบันซึ่งแสดงออกถึงพระราชประสงค์ ได้เป็นอย่างดีว่า ทรงไม่ต้องการให้คนไทยแตกแยกกัน และไม่ต้องการให้รำสถาบันเบื้องสูง มาเป็นเครื่องมือสร้างความแยก เนื่องจากสถาบันเบื้องสูงเป็นสถาบันที่คนไทยทุกคนเคารพเทิดทูน ไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ว่าใครเคารพ ใครไม่เคารพ

ผมจึงไม่เชื่อว่า ผ้าพันคอสีฟ้า ที่สนธิ ลิ้มทองกุล ผูกโชว์ทุกวัน จะมีความหมายมากไปกว่าผ้าธรรมดาผืนหนึ่ง ที่สนธิ เป็นเครื่องมือ เป็นสื่อสัญญลักษณ์เพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิดไปเอง ด้วยเจตนาอันชั่วร้ายของสนธิ ที่พยายามปรักปรำฝ่ายตรงข้ามของตนเอง ว่าไม่จงรักภักดี และยกย่องตนเองเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุด

ผมไม่เชื่อว่าผ้าพันคอสีฟ้า บนคอสนธิ ลิ้มทองกุล จะเป็นสื่อสัญญลักษณ์ ที่สร้างความแตกแยกให้แก่คนไทย และแผ่นดินไทยได้ และไม่อาจจะทำให้คนไทยเข้าใจผิด ดังที่สนธิ ต้องการ อีกทั้งไม่อาจจะเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่การทำลายความเคารพเทิดทูนที่คนไทยทุกคนมีต่อสถาบันเบื้องสูงได้

เหตุที่ผมไม่เชื่อ ก็เพราะ

  1. ผมไม่เชื่อว่าสถาบันเบื้องสูง ต้องการให้คนไทยแตกแยกกันดังเช่นสนธิ กำลังก่อการตอกลิ่มใส่หัวใจและบนแผ่นดินไทย
  2. สถาบันเบื้องสูง เป็นสถาบันที่มีความศักดิ์สิทธิ์ สง่างาม เป็นที่เคารพสักการะเทิดทูน ของคนไทยทั้งชาติ และคนทั่วโลกที่ได้ประจักษ์พระบารมีและพราชจริยาวัตรงดงาม เป็นสถาบันที่ทรงดำเนินการทุกกรณีด้วยเปิดเผย โปร่งใส ไม่ใช่ด้วยความคลุดเครือ ไม่ชัดเจน ดังที่สนธิ กำลังสร้างภาพจนพร่ามัว

แต่ผมเชื่อว่าสักวันหนึ่ง ผ้าพันคอสีฟ้าผืนนั้น จะเป็นผ้าผูกคอตายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล

อยู่ที่ว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล จะเป็นผู้ผูกด้วยตนเอง หรือ ประชาชนจะร่วมกันผูกให้

เพื่อเป็นจุดจบและอนุสรณ์ให้แก่ผู้ที่มีพฤติการณ์ชั่วร้าย ใช้สถาบันพระมหา กษัตริย์เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อประโยชน์แห่งตนเอง มิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนรุ่นหลังอีกต่อไป


ฟ้าฟื้น

จาก thai-grasstoots

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker