คอลัมน์ สัมภาษณ์พิเศษ
-เหตุผลที่เข้ามาเล่นการเมือง
สนใจการเมืองมาระยะหนึ่งแล้ว และได้รับการปลูกฝังจากคุณพ่อ (พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ อดีตรองผบ.ตร.) ซึ่งเป็นตำรวจที่เน้นให้บริการ บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชนและเป็นข้าราชการที่สุจริตยุติ ธรรม เห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ทำให้ซึมซับมาตั้งแต่เด็ก จึงเห็นเป็นเรื่องปกติของเราที่จะทำงานเพื่อส่วนรวมเป็นหลัก อีกทั้งสมัยเรียนได้ออกค่ายอยู่ในชนบทดูวิถีความเป็นอยู่ของประชาชน เห็นว่าหมู่บ้านบางแห่งอยู่ห่างจากถนนใหญ่แค่ 1 กิโลเมตร แต่ไม่มีน้ำใช้ ส่วนไฟฟ้าต้องใช้ตะเกียงแทน จนมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้เมื่อได้เห็นว่าถ้าเรามีส่วนช่วยพัฒนาประเทศไม่ทางใดก็ทางหนึ่งน่าจะดีและเป็นความภูมิใจของเราไม่ว่าจะเป็นครูหรืองานการเมืองก็มีส่วนช่วยเหลือสังคมได้
แรงจูงใจส่วนหนึ่งเพราะคุณลุง (สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน) ถือเป็นต้นแบบในการทำงานการเมือง ท่านทำงานการเมืองมานานถึง 30 ปี เป็นส.ส.และรัฐมนตรีหลายสมัย มีผลงานเป็นที่ยอมรับของทุกคน ที่สำคัญคือความเป็นมิตรกับทุกคน ขณะที่คุณพ่อก็มีส่วนในการตัดสินใจด้วย
ส่วนพี่ชาย (จุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ บุตรชายสมพงษ์) ก็ให้คำปรึกษา เพราะทราบว่าเรามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม และในระหว่างเป็นอาจารย์คุณพ่อก็ลองศึกษาเรื่องงานการเมืองโดยให้เข้ามา ทดลองเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ว่าชอบหรือไม่ ถ้าชอบก็สนับสนุน
ในการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้คุณพ่อคงเป็นพี่เลี้ยงคอยแนะนำการทำงาน การลงพื้นที่ให้บ้าง เหตุผลที่คุณพ่ออนุญาตให้มาทำงานการเมืองเพราะเห็นว่าทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมไม่ได้ไปเอาเปรียบใคร จึงเดินเข้าไปในพรรคเพื่อไทยด้วยตัวเองไปพบคุณลุงและเขียนใบสมัครเอง ส่วนที่เลือกมาทำงานการเมืองกับพรรคเพื่อไทยเพราะเห็นว่ามีแนวนโยบายให้ประโยชน์กับประชาชนเป็นหลัก และทำได้จริง เห็นผลจริง ทั้งนโยบาย 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ กองทุนหมู่บ้าน จากการรับฟังประชาชนต้องการตรงนั้นจริงๆ รวมทั้งอยากมีโอกาสเรียนเท่าเทียมกับคนอื่น
-มองการแข่งขันทางเมืองท่ามกลางกระแสเสื้อเหลือง-เสื้อแดง
ถ้ามองภาพรวม ส่วนตัวจะเน้นความปรองดอง ความสามัคคี และประโยชน์ของคนในชาติเป็นหลัก อยากให้สังคมมองว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทุกวันนี้ แม้ความเห็นจะไม่ตรงกันมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาแนวทางประชาธิปไตย ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น ส่วนตัวไม่รู้สึกกังวลหากต้องขึ้นรถหาเสียงขณะที่มีปัญหาระหว่างเสื้อเหลืองเสื้อแดง เพราะเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมแล้วก่อนที่จะมาลงสมัคร
ส่วนผลกระทบกับตัวเองในเรื่องนี้ อยากให้มองว่าแม้จะเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ แต่มีความตั้งใจช่วยเหลือประเทศ เราเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งในแวดวงการเมือง คงไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงหรือพูดอะไรได้ทั้งหมด แต่ถ้ามีส่วนหรือช่องทางได้เข้าไปในสภาจะทำงานให้เต็มที่ อย่างแรกคือต้องทำความเข้าใจว่าความเห็นของแต่ละคนต่างกันได้ แต่ทุกคนก็มีความต้องการจะพัฒนาประเทศไปในทางที่ดี จึงต้องหาหนทางประนีประนอม ต้องทำให้เป็นรูปธรรม
-จุดขายใช้สู้กับปชป.เจ้าของเก้าอี้เดิมในพื้นที่ห้วย ขวาง
ในฐานะผู้สมัครหน้าใหม่ก็ขอโอกาสกับประชาชน เพราะมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำงานตรงนี้ ส่วนจะเอาชนะได้หรือไม่ คิดว่า 50 ต่อ 50 โดยนโยบายที่ใช้หาเสียงจะหารือกับคุณพ่อตลอด จะชูสโลแกน "อาจารย์จิ๊บ ความเท่าเทียมในสังคมและโอกาสในการพัฒนาชีวิตเด็กแรกเกิดและสตรี" พร้อมให้คำแนะนำวิชาการและแนะแนวด้านการศึกษา ซึ่งเรื่องที่คิดไว้ในใจคือ เสนอนโยบายการเข้าถึงสารอาหารตั้งแต่วัยเยาว์ และการสาธารณสุขต้องเข้าถึง เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ส่วนชิ้นงานที่เห็นเป็นรูปธรรม เช่น ผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับการสาธารณสุข เพื่อให้สารอาหารฟรีกับผู้ด้อยโอกาสตั้งแต่เด็ก เป็นการพัฒนาร่างกายและสมองฟรีก่อนเข้าสู่วัยเรียนเพื่อพัฒนาการศึกษาต่อ จากนั้นจึงเข้าสู่นโยบายก่อนเรียนฟรี ซึ่งเป็นนโยบายของพรรคอยู่แล้ว
-กลยุทธ์พิชิตใจประชาชน
จะชูหมัดเด็ด "ต้องการให้เด็กที่เกิดในชุมชนก็เป็นนายกรัฐมนตรีได้ ไม่ใช่เฉพาะคนที่เกิดในต่างประเทศ ทุกคนมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรี" นอกจากนั้นจะเน้นปราศรัยและเรื่องนโยบายด้านการศึกษา สอนเรื่องคุณธรรมและความเป็นไทย ให้เวลานอกมีกิจกรรมดนตรีและกีฬา เพื่อผ่อนคลายและขัดเกลาจิตใจ รวมทั้งปลูกฝังการทำงานเป็นหมู่คณะเพื่อสร้างความสามัคคี และเด็กแรกเกิดเพื่อให้ฐานดีตั้งแต่แรกเกิดให้สารอาหารครบถ้วน สมองดีพัฒนาการครบถ้วน การลงพื้นที่คุณพ่อคงจะช่วยในฐานะที่เคยคลุกคลีกับ พื้นที่ห้วยขวางเมื่อครั้งเป็นสารวัตรปราบปราบ สน.ห้วย ขวาง และคุณพ่อแนะนำว่าให้ลงไปพบประชาชนนำปัญหามาประมวลและช่วยแก้ไข ทั้งการว่างงาน ที่อยู่อาศัย สวัสดิการ แรงงาน เพื่อให้ชุมชนเกิดความแข็งแกร่ง เป็นทั้งศูนย์การเรียนรู้ โรงเรียนกวดวิชา ที่เล่นกีฬา มุมไอที แทนที่จะไปตู้เกม เพื่อจะได้อยู่ในสายตาผู้ปกครอง
-คาดหวังได้เข้าไปเป็นส.ส.
ทำเต็มที่ ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไรต้องยอมรับ ถึงจะเป็นครั้งแรกที่มีโอกาสรับใช้ประชาชน ให้สมกับชื่อ "อนุตตมา" ที่มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต แปลว่า "ดีเลิศ" คือต้องทำให้เต็มที่
-หากได้รับโอกาสจากประชาชนจะผลักดันเรื่องอะไรในสภา
สิ่งที่เน้นคือการศึกษา และสังคมมีความเป็นธรรม รวมทั้งความปรองดอง คงช่วยผลักดันเรื่องที่ไม่เป็นธรรม เช่น การแก้กฎหมายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม การปรองดองก็จะเกิดขึ้น สิ่งใดที่เกิดหลังวันที่ 19 ก.ย.49 ความไม่เป็นธรรมที่อ้างว่าเป็นธรรมต้องจัดการให้เป็นธรรมอย่างแท้จริง และด้านเศรษฐกิจ เน้นการเพิ่มมาตรฐานให้สินค้าไทยส่งออกสู่ตลาดโลกเพื่อหารายได้ให้กับประเทศ และจะทำอย่างไรให้เด็กไทยฉลาดและเก่งขึ้น เช่น เบื้องต้นทำอย่างไรให้เด็กรู้จักการเข้าคิวที่เป็นปัญหาเล็กน้อยแต่สะท้อนหลายเรื่อง ทั้งสิทธิและบทบาทหน้าที่
-มั่นใจจุดขายเพื่อไทยที่ชูพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
นโยบายพรรคเน้นให้ประชาชนมีโอกาส สร้างงาน สร้างรายได้ ทุกคนคงดูที่ตัวนโยบายมากกว่า ซึ่งมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยคงถูกใจประชาชน
-ได้คุยกับพ.ต.ท.ทักษิณบ้างหรือไม่
ยังไม่เคย แต่ถ้าอนุญาตให้พบคุณพ่อคงพาไปพบ เพราะท่านมีประสบการณ์ในการทำงาน แต่ท่านยังไม่มีแอบกระซิบอะไรเป็นพิเศษมาทางคุณพ่อ คิดว่าพรรคให้ทำอย่างไรต้องเดินตามนั้น คุณพ่อไม่ได้คาดหวัง แต่บอกเสมอว่าต้องพยายามทำให้เต็มที่แสดงให้สังคมรับรู้ว่าเรามีแนวคิดอย่างนี้ ส่วนผลจะออกมาอย่างไรก็ต้องยอมรับ
-คุณพ่อแนะนำอะไรเป็นพิเศษนอกจากการเมือง
แนะนำหลายอย่าง ก่อนหน้านี้มีโอกาสได้คุยเรื่องงานกระบวนการยุติธรรมมาบ้างว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างก็ซึมซับตรงนั้นมา มีตาชั่งอยู่ในสมอง ไม่สองมาตรฐาน
-หยิบยกเรื่องความปรองดองมาหาเสียงหวังดึงคะแนนจากเสื้อแดงกทม.
ทุกคนในสังคมต้องการความเป็นธรรมทั้งนั้น ถ้าเราหยิบตรงนี้ขึ้นมาพูดคิดว่าทุกคนต้องยอมรับ เพราะไม่มีอะไรดีกว่าความเป็นธรรมในสังคมที่ไม่มีสองมาตรฐาน เป็นทางออกของปัญหาต่างๆ ที่ดีที่สุด หากใครที่ไม่ยอมรับ หรือไม่ตอบรับคงไม่มีความเป็นธรรมในจิตใจ
-หากพลาดหวังจะทำงานการเมืองต่อหรือกลับไปเป็นอาจารย์
คิดว่าจะเป็นอาจารย์สอนหนังสือต่อไป เพราะภูมิใจที่สอนให้เป็นคนดี รู้จักคิด เมื่อเห็นผลงานก็ภูมิใจว่าเขาได้เรียนรู้จากสิ่งที่เราสอนไปบ้าง แม้จะเล็กๆ แต่ก็มีส่วนทำให้เขาได้คิดและพัฒนา ส่วนงานการเมืองคงไม่ทิ้ง แต่อาจเน้นเรื่องการศึกษาเป็นหลัก เพราะหลักสูตรการศึกษาถึงแม้วันนี้จะพัฒนา แต่ไม่ต่างอะไรจากเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาที่เคยเรียน โดยจะเน้นปรับใช้ในชีวิตจริงได้ ไม่ใช่จบมาไม่รู้ว่าจะ ทำอะไร