เสียงข้างมากกระหนาบเสียงข้างน้อย-เมื่อ เย็นวานนี้ ที่โถงชั้นล่างอาคารรัฐสภา นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.เพื่อไทย กับนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ประชาธิปัตย์ ลงมาใช้บริการนวดเท้าผ่อนคลายระหว่างอภิปรายนโยบายรัฐบาล โดยนายณัฐวุฒิและนายจตุพร นั่งนวดขนาบข้างนายสาธิตซึ่งนั่งอยู่ตรงกลาง
ทั้ง 3 มีสีหน้าผ่อนคลายใช้เวลานวดกว่า 1 ชั่วโมง แต่นายสาทิตย์ได้ลุกขึ้นออกจากการนวดเท้าก่อน นายจตุพรได้พูดแซวว่า จะรีบไปไหน และว่านี่แหล่ะนะประชาธิปไตย บ่งบอกให้เห็นว่าเสียงข้างน้อยเป็นอย่างไร ซึ่งนายสาทิตย์หัวเราะ และลุกมานั่งที่เก้าอี้อยู่ต่อสักระยะหนึ่ง ท่ามกลางสื่อมวลชนที่เฝ้าสังเกตบรรยากาศและถ่ายภาพที่มักไม่ได้เห็นบ่อยนัก ที่ ส.ส.ฝ่ายค้านและรัฐบาลที่นั่งอยู่ข้างๆ กันและพูดคุยอยอกล้อกันอย่างเป็นกันเอง(ภาพข่าว:มติชนนออนไลน์)
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
25 สิงหาคม 2554
เวทีใหม่ของ2สหาย-หลัง จากกรำศึกเสื้อแดงติดคุกติดตะรางมาด้วยกัน วันนี้ 2 สหายจตุพร กับณัฐวุฒิพากันเข้าไปทำหน้าที่ในสภา และทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์แดงได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ดูจากคลิปต่อไปนี้
คดีหมิ่นทำลายคนดีๆและเป็นใบอนุญาตฆ่า-ส.ส.ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ใช้สิทธิพาดพิงกรณีสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวหาส.ส.เสื้อแดงถูกดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยระบุว่าทักษิณก็โดนข้อหานี้ คนเสื้อแดงโดนออกใบอนุญาตฆ่า92ศพก็ข้อหานี้ ในอดีตดร.ปรีดี พนมยงค์ ต้องไปตายในต่างประเทศก็ข้อกล่าวหานี้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนายสุเทพได้ลุกประท้วง โดยพยายามเสี้ยมว่า การพูดว่าเอาเรื่องข้อกล่าวหาเกี่ยวกับสถาบันมาเป็นใบอนุญาตเกี่ยวกับการ เสียชีวิต พูดอย่างนั้นพวกตนไม่เสียหาย แต่สถาบันเสียหาย
นายสุเทพเสริมอีกว่า นายณัฐวุฒิต้องถอนคำพูด ตนยอมไม่ได้ ตนเสียใจจริงๆ ถ้าประธานไม่วินิจฉัยให้ถอน ตนก็ยอมรับประธานไม่ได้เหมือนกัน ตนไม่อยากบอกซ้ำอีก ทั้งนี้ นายสุเทพได้นำถ้อยคำอภิปรายของนายณัฐวุฒิที่ถอดบันทีกไว้ในกระดาษเอ4 มอบให้ประธานอ่าน
ทั้งนี้ นายณัฐวุฒิ ชี้แจงว่า ขอให้คนทั้งประเทศเข้าใจ ตนพูดด้วยความบริสุทธิ์ใจ และขออย่าเอาข้อหาเกี่ยวกับสถาบันมาใส่ร้ายทางการเมืองอีก เพราะมันเจ็บปวด ตนไม่ได้พูดโยงสถาบันเข้ากับการเสียชีวิต พูดแต่ว่าข้อกล่าวหานี้ทำลายนายกฯมาแล้ว 2 คน ทำให้ส.ส.ปชป.โห่ลั่น
เรื่องดังกล่าวทำให้สภาล่ม ต้องปิดประชุม และเลื่อนการประชุมเรื่องนโยบายรัฐบาลมาเป็นช่วงบ่ายวันนี้
ลบเหลี่ยมมีดโกนจนเข้าตัว-ส.ส.ดร.สุนัย จุลพงศธร กับส.ส.ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประท้วงลบเหลี่ยมมีดโกนของชวน หลีกภัย ที่ฉวยโอกาสปรักปรำทักษิณว่าสั่งฆ่า 3จังหวักดชายแดนภาคใต่ ซึ่งตอนท้าย(ไม่มีในคลิป)นายชวนต้องออกมาตอบณัฐวุฒิที่อภิปรายพาดพิงว่านาย อภิสิทธิ์สั่งฆ่าคนเสื้อแดง 92 ศพแต่ไม่ยอมรับ โดยบอกว่า"หากนายอภิสิทธิ์เป็นคนเกี่ยวข้องจริง ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ไม่มีใครอยู่เหนิอกฎหมาย"
ที่บอกว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์สั่งฆ่า 91 ศพ เรื่องนี้ไม่ใช่การแก้แค้น แต่ต้องดำเนินการตามหลักนิติธรรม ถ้าเป็นเรื่องจริงต้องดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ใครเผาบ้านเผาเมืองเผาศาลากลาง ก็ต้องสอบกันตามกฎหมาย การยึดหลักนิติธรรมไม่ใช่การแก้แค้น นายกฯสั่งฆ่าคนถ้าศาลว่าผิดก็ต้องผิด ใครเผาศาลากลางถ้าศาลว่าผิดก็ต้องผิด
พาดพิงลิงอุรังอุตังเสียหาย-ส.ส.จตุพร พรหมพันธุ์ อภิปรายกรณีที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ปชป.พาดพิงด้วยการเสี้ยมว่า พรรคเพื่อไทยหลอกลวงคนเสื้อแดง ในที่สุดไปจบด้วยเรื่อง"ลิงอุรังอุตัง"
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อภิปรายตอนหนึ่งว่า วันนี้พูดให้ตาสว่างว่า รัฐบาลที่บอกว่าประชาชนถูกกดขี่ แล้วมาแก้ปัญหาให้ประชาชนนั้น ก็คิดไม่ต่างจากรัฐบาลที่ถูกบอกว่าเป็นอำมาตย์เลย แถมยังคิดล้าหลังกว่าด้วย ซึ่งสิ่งที่กล่าวมานั้น เพื่อยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยกับกลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงเป็นเนื้อเดียวกันตามที่ รองนายกฯพูดไว้เมื่อวานนี้ แท้จริงแล้วเป็นการสร้างวาทกรรม ซึ่งเป็นเทคนิคทางการเมือง หลอกลวงเรื่องอำมาตย์-ไพร่ และเรื่องของชนชั้น เพื่อเอาคนเหล่านั้นมาปูฐานรองรับการขึ้นสู่อำนาจของกลุ่มทุนในพรรค สุดท้ายกลุ่มเหล่านี้ก็สุขสบาย เสวยสุข และปล่อยให้พี่น้องไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาความยากจนต่อไป
เราไม่อยากให้วาทกรรมของนักการเมืองนั้น ถูกอธิบายในสภาว่าไม่มีสัญญา และเป็นแค่เทคนิคการหาเสียง เพราะนั่นคือการหลอกคนจน และเป็นบาปที่สุดในความเห็นของตน เพราะคนเหล่านั้นก้าวขึ้นมาสนับสนุนท่าน ไปกับวาทกรรมของท่านทั้งหลาย ซึ่งต้องไม่ทำให้วาทกรรมเหล่านั้นว่างเปล่า
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้ใช้สิทธิ์พาดพิงว่า ตามที่นายสาทิตย์ บอกว่า พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงได้หลอกลวงพี่น้องประชาชนด้วยวาทกรรมคำว่า "ไพร่" และ "อำมาตย์" ตนมีสองสถานะทั้งเสื้อแดงและส.ส.พรรคเพื่อไทย การที่มาบอกว่านโยบายรัฐบาลไม่เป็นไปตามที่หาเสียงไว้ ไม่ได้ทำทันทีนั้น ข้อเท็จจริงคือการที่รัฐบาลจะทำงานได้ต้องผ่านการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไปก่อน แต่กกลับมีการสร้างเรื่องสร้างราวมาเล่นงานกัน ไม่ว่าจะเป็น รมว.ต่างประเทศ ทั้งที่วันนี้รัฐบาลยังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ฉะนั้นวาทกรรมคำว่าไพร่-อำมาตย์ เป็นการอธิบายให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำจากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลชุดที่ แล้ว
อย่างไรก็ตามพล.อ.ธีรเดช ประธานในที่ประชุมได้ขอให้นายจตุพรได้เข้าประเด็นเพราะเกรงว่าจะทำให้เกิด การประท้วงเยอะกว่านี้ แต่นายจตุพร ยืนยันว่า เป็นการใช้สิทธิ์พาดพิงและใช้เวลาของพรรคร่วมรัฐบาล ตนอดทนฟังนายสาทิตย์อภิปรายได้แล้ว ทำไมตนจะตอบโต้บ้างไม่ได้ ทำไมต้องทำเหมือนถูกน้ำร้อนลวกกันหมด
ทำให้นายเจ๊อามิง โต๊ะตาหยง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จ.ปัตตานี ต้องลุกขึ้นประท้วงประธานว่า เป็นการประท้วงไม่ใช่การอภิปราย
ซึ่งนายจตุพร ก็ได้ประท้วงว่า "ผู้ประท้วงคงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง" เพราะในฐานะสมาชิกรัฐสภาตนมีสิทธิ์ประท้วงเมื่อถูกพาดพิง
ทั้งนี้ นายเจ๊ะอามิงได้ใช้สิทธิ์ประท้วงขอให้นายจตุพรได้ถอนคำพูด เพราะตนไม่ใช่อุรังอุตังถึงฟังไม่รู้เรื่อง ซึ่งในที่สุดนายจตุพรได้ยอมถอนคำพูดว่า นายเจ๊ะอามิงไม่ใช่อุรังอุตัง ก่อนประธานในที่ประชุม จะให้สมาชิกรัฐสภาท่านอื่นได้อภิปราย
*****
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:ผังล้มเจ้าของศอฉ. ใบอนุญาตฆ่าที่ไก่อูรับสารภาพกลางศาลว่าไม่มีหลักฐานใดๆ
-ไก่อูยอมสารภาพกลางศาลผังล้มเจ้าไม่ได้กล่าวหาใคร หลังจากใช้เป็นใบอนุญาตฆ่าคนเสื้อแดง นักวิชาการกฎหมายชี้มีโทษหลายกรัทงถึงคุก
คลิปข่าวพ.อ.สรรเสริญ โฆษก ศอฉ แถลงเรื่องผังล้มเจ้าเมื่อ 26 เมษายนปีกลาย
ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ได้ถอนฟ้องจำเลยทั้งสาม ภายหลังจากพ.อ.สรรเสริญ ในฐานะจำเลยที่สาม ได้แถลงต่อศาล ดังนี้
"ประการที่หนึ่ง ศอฉ ในขณะนั้นเชื่อมั่นว่ามีขบวนการที่จ้องจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์จริง
ประการที่สอง ในช่วงเวลานั้น มีข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเตอร์เน็ตกล่าวหาในลักษณะทำนองว่า ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ซึ่งเป็นราชเลขาธิการในพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ โทรศัพท์มาสั่งการศอฉ อยู่ตลอดเวลา ให้ดำเนินการนานับประการกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งข้อเท็จจริงมิได้เป็นเช่น ซึ่งหมายความว่ามีความพยายามยามจะสร้างภาพให้สังคมเห็นว่า พระองค์ท่านมีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องการเมือง ซึ่งมิได้เป็นความจริง ศอฉ ก็มีความจำเป็นที่ต้องชี้แจงข้อมูลข่าวสารให้สีงคมได้รับทราบความจริงเป็น เช่นไร
นอกจากนั้นแล้ว ศอฉ ก็ได้ขยายความลงไปเพราะว่าทางราชการมีหน่วยงานทางด้านความมั่นคง ที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดตั้งขึ้น โดยมีหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงก็มีการรวบรวมข้อมูลข่าวสารของขบวนการที่จ้องจะ ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด จึงได้นำข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้มาประกอบเพื่อใช้ในการชี้แจงทำความเข้าใจกับ สังคม
ประการที่สาม ในช่วงเวลาเช้าของวันเกิดเหตุ ข้าฯได้มีการแถลงข่าวให้สังคมรับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่าไมม่เป็นความ จริงตามข้อมูลที่พยายามกล่าวหาใส่ร้ายท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ โดยแถลงกำกับตอบไปด้วยว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการล้มเจ้านั้น ในขณะนั้นมีคุณดาตอร์ปิโด กับคุณจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งทั้งสองคนนี้มีหมายจับไว้แล้ว ในช่วงเวลาเย็นเกิดจากการประชุมในช่วงบ่ายของศอฉ.ได้มติของศอฉ ที่ต้องการจะให้นำเสนอข้อมูลข่าวสารแก่สังคมเป็นลายลักษณ์อีกษรอีกทางหนึ่ง เพื่อให้สังคมพิจารณา
ข้าฯได้รับมอบหมายให้นำเอกสารเหล่านั้นไปแจกแก่สื่อมวลชน ซึ่งเอกสารที่ไปแจกนั้นมิได้หมายความว่าผู้ที่มีชื่อในเอกสารเป็นผู้เกี่ยว ข้องในฐานะอยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ ซึ่งให้สังคมพิจารณาและวินิจฉัยเอาเอง ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในเอกสาร ว่าแต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร เช่น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะญาติพี่น้อง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะผู้ทำธุรกิจร่วมกันอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมิได้แถลงเลยว่า บุคคลทั้งปวงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ และมิได้ให้หมายความเช่นนั้น
แต่หลังจากนั้นมีสื่อมวลชนนำเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ไปขยายผล ขยายความ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในแผนผังดังกล่าว ทำให้ได้รับความเสียหายจากมุมมองของสังคม เพราะเป็นเรื่องที่สังคมจะต้องตัดสิน ส่วนผู้ที่ได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจะฟ้องร้องกับผู้ที่นำไปขยายความใน ทางที่ผิดจากเจตนารมณ์ของศอฉ ก็สุดแล้วแต่บุคคลเหล่านั้นจะพิจารณา"
ทั้งนี้ศาลได้ดำเนินการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท เมื่อโจทก์(ดร.สุธาชัย)รับฟังข้อเท็จจริงจากจำเลยที่สาม(พ.อ.สรรเสริญ)จึง ไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสามอีกต่อไป จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสาม
ก่อนหน้านี้นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เคยให้สัมภาษณ์ว่าแผนผังดังกล่าวเป็นเรื่องที่คิดกันขึ้นสดๆในที่ประชุมศอ ฉ.ในตอนที่จะหาเหตุสลายการชุมนุมเสื้อแดงเมื่อเดือนพฤษภาคมปีกลายนั่นเอง และยังรู้สึกละอายใจที่กุเรื่องนี้ขึ้นมา
ผังล้มเจ้า-เป็นเอกสารที่ ศอฉ เคยแถลงข่าว(ดูรายละเอียดข่าว) และสื่อนำไปขยายผล จนเป็นเหตุอ้างในการสังหารผู้ชุมนุมกว่า 92 ศพเมื่อปีกลาย เพราะถูกทำให้เชื่อว่าเป็นพวกล้มเจ้า แม้แต่ตอนนี้ธาริตDSIยังนำมาออกหมายเรียก19แกนนำ นปช. แต่พอสรรเสริญ แก้วกำเนิดสารภาพกลางศาลว่าเชื่อมโยงมั่วๆแล้วสื่อขยายความขยายผลไปเอง ปรากฎว่าไม่มีสื่อกระแสหลักนำเสนอข่าวนี้เลย นี่เป็นความเงียบอันอึกทึกครึกโครมอีกครั้งของวงการสื่อไทย
นิติราษฎร์จัดหนักไก่อูผิดกฎหมายหลายกระทง โทษถึงคุก
นิติราษฎร์ ฉบับที่ ๒๓ (สาวตรี สุขศรี)นำเสนอข้อสังเกตบางประการต่อคำสารภาพเรื่องแผงผังล้มเจ้า โดยชี้ว่าการกระทำของเสธ.ไก่อูมีโทษหลายกระทุงถึงจำคุก อ่านรายละเอียดตามลิ้งค์
ที่มา นิติราษฎร์
เปิดเอกสารการปฏิบัติการข่าวสารโฆษณาชวนเชื่อของทหารเพื่อออกใบอนุญาตฆ่า ยอมรับหน้าชื่นผังล้มเจ้าเป็นเครื่องมือสำคัญ
พ.อ.บุญ รอด ศรีสมบัติ จากสถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง เขียนเปิดเผยปฏิบัติการข่าวสารของทหาร(IO)ช่วงนปช.ชุมนุม มี.ค.-พ.ค.2553 ลงในวารสารของทหารชื่อเสนาธิปัตย์ ว่า มีปฏิบัติการสำคัญคือ มุ่งทำให้ทีวีเสื้อแดงจอมืด ปิดเวบไซต์-วิทยุชุมชน เพิ่มความน่าสะพรึงกลัวชายชุดดำแฝงในที่ชุมนุม สร้างผังล้มเจ้าเชื่อมโยงผู้ชุมนุม ตัดต่อคลิปแกนนำมาเรียงภาพใหม่ว่าชี้นำให้เผาบ้านเผาเมือง ชี้ให้สังคมเห็นว่า สถานการณ์สุกงอมที่ต้องจัดการด้วยมาตรการขั้นเด็ดขาด สุดท้ายคือหาอาวุธมาแสดงว่ายึดได้จากผู้ชุมนุม และชี้ว่าทหารไม่มีการสังหารประชาชน
เอกสารเขียนไว้ในหน้า75ว่า"การเปิดเผยเครือข่ายคดีล้มเจ้าในรูปแผนผังMind Mapingนั้นต้องย้ำว่ามีตัวตนจริง"
ผลสำเร็จคือประชาชนและสังคมสนับสนุนรัฐบาลให้ดำเนินมาตรการเฉียบขาดในการ จัดการต่อผู้ชุมนุมในที่สุด หลังการดำเนินการยังมีมีสาวๆกรี๊ดกร๊าดพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ตามเฟซบุ๊คว่าเป็น"ผู้ก่อการรัก"
โดยมีการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารเสนาธิปัตย์ ปีที่ ๖๐ ฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๔ ( คลิ้กลิ้งค์เพื่ออ่านรายละเอียดต้นฉบับที่สมบูรณ์ http://www.cdsd-rta.net/images/stories/valasan/valasan%20y60%20b1%202554/AW-SP-69-81.pdf )
AW-SP-69-81
เอกสารลับหลังได้ใบอนุญาตฆ่า ยุทธการกระชับวงล้อม 14-19 พ.ค.53 "มาร์ค"สั่งกระชับวงล้อมเพื่อ"ยุติ"ไม่ใช่"เจรจา" เปิดเปลือกใช้กระสุนจริง และพลซุ่มยิงสไนเปอร์ รบเต็มอัตราศึก
บทความชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสารเสนาธิปัตย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ปีที่ 59 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2553 เป็นบทความที่เขียนขึ้นเพื่อประกอบการจัดทำ”เอกสารแนวทางในการปฏิบัติทาง ทหาร: กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเมือง” จากความริเริ่มของพล.ท.สิงห์ศึก สิงห์ไพร เพื่อกำหนดบทบาทของกองทัพบกในการแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบในเมืองรูปแบบใหม่
วารสารเสนาธิปัตย์ ฉบับที่ตีพิมพ์เรื่องนี้ ท่านสามารถอ่านบทความต้นฉบับนี้ได้ที่ลิ้งค์ http://www.cdsd-rta.net/images/stories/valasan/valasan%20y59%20b3%20year2553/lesson7.pdf
Lesson 7
ผู้เขียนใช้นามแฝงว่า”หัวหน้าควง” เป็นจปร.32 (เหล่าทหารราบ) เป็นนายทหารปฏิบัติการประจำกรมยุทธศึกษาทหารบก
เนื้อหาในบทความนี้เป็นมุมมองของนายทหารที่ปฏิบัติการสลายการชุมนุมของ”คน เสื้อแดง”ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่สรุปบทเรียนจาก”ความสำเร็จ”ในการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์
โดยระบุตอนหนึ่งว่า
ยุทธการกระชับวงล้อมเมื่อ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2553 เป็นการปฏิบัติทางทหารเต็มรูปแบบ จึงเห็นได้ว่าภารกิจชัดเจน คือการกระชับวงล้อมด้วยกระสุนจริง จากกำลังหน่วยรบหลักของเหล่าทหารราบ เหล่าทหารม้า และหน่วยส่งกำลังทางอากาศ อย่างเช่น ร.31 รอ.ในภารกิจปฏิบัติการพิเศษ อาจเรียกได้ว่าเป็นการรบในเมืองที่ใช้อาวุธยุทธโธปกรณ์ทางทหารเต็มอัตราศึก ทั้งกำลัง อาวุธประจำกายที่ทันสมัย ชุดสไนปอร์ หน่วยยานเกราะ ซึ่งการปรับกำลังและการเปลี่ยนแปลงทางยุทธวิธีที่สำคัญครั้งนี้ก็เป็นผล สะท้อนจากบทเรียนเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ.2553 นั่นเอง
ควรมีการศึกษาค้นหาตัวแบบที่เหมาะสมในการกำหนดพื้นที่ที่ใช้กระสุนจริง เพราะปัจจุบันยังไม่ทราบว่ามีประเทศใดในระดับนานาชาติที่ได้นำมาปฏิบัติใน การสลายการชุมนุมที่ได้รับการยอมรับ
********