ความขัดแย้งและการต่อสู้ที่เกิดขึ้นแทบจะทุกครั้งนั้น ล้วนแล้วแต่มีจุดกำเนิดมาจากการถูกกดขี่ข่มเหงและบีบบังคับจนสุดที่จะทานทนได้ และการต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิของความเป็นคนของตนเองก็จะต้องเกิดขึ้นอย่างเต็มกำลัง ไม่ใช่เพราะความก้าวร้าวหรือการฝักใฝ่ในความรุนแรง แต่เป็นเพราะการต้องการมีชีวิตอยู่อย่างมีอิสระและเต็มบริบูรณ์ของความเป็นคนต่างหาก
หลายปีที่ผ่านมาได้เกิดการปกครองที่เรียกว่า 2 มาตรฐานขึ้นภายในประเทศไทย โดยประชาชนกลุ่มหนึ่งจะถูกปกครองโดยกฎหมายอย่างเคร่งครัดและบีบบังคับจนแทบจะกระดิกตัวทำอะไรไม่ได้ แต่ในขณะที่ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งกลับถูกปล่อยปละละเลยไม่ได้รับการปกครองด้วยกฎหมายในลักษณะเดียวกัน ทำให้เกิดความเป็นอภิสิทธิ์ชนขึ้น ความขัดแย้งนี้ได้บ่มเพาะและฟักตัวจนกลายเป็นแรงกดดันที่บีบบังคับให้ประชาชนฝ่ายที่ถูกกดดันด้วยกฎหมายนั้นรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกกดขี่
การเข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมืองของเหล่า พธม. ในเวลานี้ คือบทสรุปของความเป็นอภิสิทธิ์ชนที่คนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับมาตลอดมา จนเหตุการณ์ได้บานปลายมาจนถึงขนาดนี้ การกระทำนี้ได้สร้างความเดือดร้อนอย่างรุนแรงให้กับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างไม่มีสิ่งใดเปรียบได้ และความเดือดร้อนนี้ได้กลับกลายเป็นความโกรธแค้นที่มีต่อเหล่า พธม. ที่กระทำการอุกอาจดังนี้......กระแสความโกรธขึ้งที่รุนแรงดังนี้มีหรือว่าแกนนำและผู้อยู่เบื้องหลัง พธม. จะไม่รู้ ไม่เห็นในสิ่งที่เกิดขึ้น
แล้วคำถามก็คือว่า “ทำไมแกนนำ พธม. จึงยังคงปล่อยให้ประชาชนยึดสนามบินต่อไป” เหตุผลเดียวก็คือว่า แกนนำ พธม. โดยเฉพาะ สนธิ ลิ้มทองกุล และ จำลอง ศรีเมือง พยายามอย่างยิ่งที่จะให้เกิดความรุนแรงถึงขั้นเข้าปะทะและสูญเสียเลือดเนื้อ และชีวิตของประชาชนที่เป็นคนไทยด้วยกัน ความพยายามยั่วยุและหาเหตุทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นก็เพราะว่า..... “คนเหล่านั้นคิดไม่เหมือนกับที่คนไทยทั่ว ๆ ไปคิดกัน”
ขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในสภาวะสงครามประชาชน และในการสงครามนั้นเป้าหมายมีเพียงประการเดียวก็คือ ต้องเอาชนะให้ได้ แกนนำและผู้อยู่เบื้องหลัง พธม. จึงทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเอาชนะในสงครามครั้งนี้ให้ได้ในทุกวิธี ดังนั้นประชาชนคนไทยที่หลงเชื่อและกลายเป็นผู้ชุมนุม พธม. นั้น ในสายตาของแกนนำและผู้อยู่เบื้องหลัง พธม. พวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่คนไทย, ทำเนียบรัฐบาลไม่ใช่โบราญสถานอันน่าภูมิใจของชาติไทย, สนามบินสุวรรณภูมิไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของประเทศไทย, ฯลฯ แต่สิ่งเหล่านี้ในสายตาของแกนนำและผู้สนับสนุน พธม. เป็นเพียง “อุปกรณ์ หรือ เครื่องมือ” ที่จะนำให้พวกเขาขึ้นสู่บัลลังก์แห่งอำนาจโดยการรัฐประหารเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้พวกเขาพร้อมที่จะเผาทำลายสถานที่อันสูงค่าเหล่านั้น พวกเขาพร้อมที่จะสังหารประชาชนคนไทยด้วยกันในม๊อบ พธม. แล้วโยนความผิดทั้งหมดให้กับรัฐบาล หรือ กลุ่มคนเสื้อแดงผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย.... แกนนำหรือผู้อยู่เบื้องหลัง พธม. คิดต่างไปจากคนไทยโดยทั่ว ๆ ไปอย่างสิ้นเชิง เป้าหมายในสงครามนั้นคือการต่อสู้เพื่อเอาชนะ พวกเขาสามารถสังเวยสิ่งสูงค่าเหล่านี้รวมทั้งชีวิตของคนไทยด้วยกันได้โดยไม่ต้องหยุดคิดด้วยซ้ำ ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลหรือประชาชนทั่วไปกลับคิดในความรู้สึกของความเป็นคนไทยด้วยกันจึงพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะ และประนีประนอมตลอดมา โดยเห็นแก่ความเป็นชาติ และความเป็นพี่น้องในชาติ ซึ่งเป็นความคิดที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง.....
มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่โด่งดังเมื่อหลายปีก่อนชื่อเรื่อง The patriot นำแสดงโดย Mel Gibson ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทความรู้สึกที่เป็นความขัดแย้งกันทั้งสองด้านคือ “ความรักชาติรักความเป็นอิสระ กับ ความต้องการมีชีวิตอยู่อย่างสุขสงบ” ตัวเอกของเรื่องคือ เบนจามิน มาร์ติน เป็นวีรบุรุษสงคราม แต่หลังจากที่เขาได้เห็นถึงความโหดร้ายของสงครามที่เขาได้เข้าไปมีส่วนด้วย ทำให้ความคิดในเรื่องความขัดแย้งจนนำไปสู่สงครามนั้นหยุดลง ความรู้สึกหนึ่งก็คือ “สงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นในครั้งนี้จะไม่ใช่สงครามที่เกิดขึ้นที่ชายแดน แต่จะเกิดขึ้นที่หน้าบ้านของเราเอง ลูกหลานของเราจะได้สัมผัสกับความโหดร้ายของสงครามในครั้งนี้”
การสงครามในครั้งนี้เป็นสงครามของประชาชนที่กำลังต่อสู้กันระหว่างเผด็จการอมาตย์ กับ ฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตย สงครามการเข่นฆ่ากันที่กำลังจะเกิดขึ้นและพัฒนาการไปในขณะนี้ จะไม่ใช่การต่อสู้ที่จำกัดวงอยู่เพียงแค่ถนนราชดำเนิน หรือ บริเวณท้องสนามหลวงเหมือนสมัย 14 ต.ค. 16, 6 ต.ค. 19, หรือ พฤษภาทมิฬ ปี 35 อีกต่อไปอีกแล้ว แต่จะแพร่ขยายและกระจายไปอยู่จนทั่วหัวแระแหงของประเทศนี้ โดยมีการปลุกระดมเป็นกระบวนการโดยใช้สื่อ ASTV, TPBS และสื่อสิ่งพิมพ์อื่น ๆ ที่สนับสนุนแนวทางเผด็จการอมาตยาธิปไตยเป็นตัวเร่งเร้าให้เกิดขึ้น
เมื่อเราเป็นผู้ที่ต้องการความสุขสงบ แต่สถานการณ์ได้บีบบังคับให้จำเป็นต้องลุกขึ้นสู้และเข้าร่วมในภาวะสงครามนี้อย่างไม่มีทางเลือก เราก็จะต้องมีจุดมุ่งหมายเพื่อชัยชนะเท่านั้น และในสงครามต้องไม่มีคำว่า “ปราณี” นอกจากการนำไปสู่เป้าหมายให้ได้ แกนนำ และผู้อยู่เบื้องหลัง พธม. พวกเขาไม่เคยมองว่าประชาชนที่ต่อสู้กับพวกเขาคือ “คนไทย” ด้วยกัน (เพราะถ้ามีความห่วงใยในความเป็นคนไทยด้วยกันอยู่บ้าง จะไม่เกิดกรณีคาร์บอม สมัยท่านนายกทักษิณ ที่มีรัศมีทำลายล้างประชาชนและทรัพย์สินนับเป็นกิโลเมตร, คุณณรงค์ศักดิ์ กรอบไธสง ที่ถูกตีจนตาย, กรณีโบว์ ปิงปอง ที่หิ้วระเบิดปิงปองเพื่อจะไปโจมตีตำรวจ, กรณีสารวัตรจ๊าบ ที่ขนระเบิดใส่รถไปเพื่อเตรียมไปทำลายฝ่ายตรงข้าม)
ด้วยเหตุนี้ในสงครามประชาชน (The Civil War) จะต้องมีผู้ที่รักชาติ (The Patriot) ที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ในทุกทางเพื่อให้ได้รับชัยชนะให้จงได้ และในสงครามนั้นไม่มีคำว่า “ปราณี” เวลานี้คนไทยทุกคนกำลังเข้าสู่ภาวะสงครามอย่างเรียบร้อยแล้ว สนามรบจะเกิดขึ้นที่หน้าบ้านของท่าน จะเกิดขึ้นอยู่รอบตัวของท่าน
แต่อย่างไรก็ตามหลังจากความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างที่สุด จวนเจียนจะขาดใจตายของผู้หญิงที่จะคลอดบุตรนั้นมันเป็นความทุกข์ยากแสนสาหัสที่ไม่มีผู้ใดต้องการพบ แต่หลังจากบุตรนั้นได้คลอดออกมาแล้วความเจ็บปวดที่ผ่านไปนั้นก็หายไปจนหมดสิ้น เหลือแต่ความสุขใจ และความชื่นชมยินดีอย่างที่สุดที่ได้เห็นหน้าของบุตรที่รัก การต่อสู้ระหว่างอมาตยาธิปไตย กับ ประชาธิปไตยในครั้งนี้นั้น เหมือนกับหญิงที่กำลังจะคลอดบุตรที่จะต้องผ่านความทุกข์ยาก เจ็บปวดแสนสาหัส จวนเจียนจะขาดใจตาย แต่เมื่อความทุกข์ยากนี้ผ่านไปแล้ว ก็จะมีแต่ความชื่นชมยินดีอย่างที่สุดที่จะตามมาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ นั่นก็คือ “ประเทศไทยจะได้รับประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” แล้วจึงค่อยกลับมาเยียวยารักษาบาดแผลของกันและกัน และกลับมาอยู่กันอย่างสุขสงบฉันท์พี่น้องร่วมชาติอีกครั้งหนึ่ง ก็ยังไม่สายเกินไป