บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

น้ำใจนักกีฬากับวิถีประชาธิปไตย

โดย ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล โครงการเผยแพร่ความรู้เรื่องประชาธิปไตยแก่ประชาชน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ



ความกังวลเกี่ยวกับสภาพการณ์ทางการเมืองและการชุมนุมทางการเมืองต่างๆ ทำให้นึกถึงพระบรมราโชวาท ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสอนนักเรียนเกี่ยวกับวิถีประชาธิปไตย โดยการอุปมาอุปมัยกับการเล่นกีฬา

จึงขอนำมาถ่ายทอดสู่กันฟังเพื่อประดับสติปัญญา ผู้คนซึ่งส่วนใหญ่เชียร์อยู่ที่ขอบสนาม จะได้ระมัดระวังไม่เชียร์เสียจนเขาตีกัน

และในขณะเดียวกัน ไม่ลืมว่าเราอาจกลายเป็น "หญ้าแพรก" ที่แหลกลาญเมื่อช้างสารเขาตีกัน

ในพระบรมราโชวาทดังกล่าวซึ่งพระราชทานในวันงานประจำปีของวชิราวุธวิทยาลัย เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแสดงพระราชปุจฉาว่าวิธีการอบรมบ่มนิสัยของโรงเรียนเอกชนชั้นดีของประเทศอังกฤษ หรือที่เรียกว่า "ปับลิกสกูล" (public school) ซึ่งเป็นแม่แบบของวชิราวุธวิทยาลัยนั้น เป็นผลดีแก่การปกครองแบบประชาธิปไตยพระบรมราโชวาทมีความตอนหนึ่งว่า

"...หลักที่สาม ที่ปับลิกสกูลเขาใช้ก็คือ เขาฝึกให้นักเรียนมีน้ำใจเป็นนักกีฬาแท้คือที่เรียกว่า สปอร์ตสแมน การฝึกหัดน้ำใจนั้นเป็นของสำคัญมาก ยิ่งเราจะปกครองแบบเดโมคราซียิ่งสำคัญขึ้นอีก ในที่นี้จะขอหยิบยกหลัก 2-3 อย่างที่ว่าน้ำใจเป็นนักกีฬานั้นคืออะไร ประการที่หนึ่ง นักกีฬาจะเล่นเกมอะไรก็ตามต้องเล่นให้ถูกต้องตามกฎข้อบังคับของเกมนั้น ไม่ใช้วิธีโกงเล็กโกงน้อยอย่างใดเลย จึงจะสนุก จึงจะเป็นประโยชน์ ประการที่สอง ถ้าเกมที่เล่นนั้นเล่นหลายคนต้องเล่นเพื่อความชนะของฝ่ายตน ไม่ใช่เล่นเพื่อตัวคนเดียว ไม่ใช่เพื่อแสดงความเก่งของตัวคนเดียว ประการที่สาม นักกีฬาแท้นั้นต้องรู้จักชนะและรู้จักแพ้ ถ้าชนะก็ต้องไม่อวดทำภูมิ ถ้าแพ้ก็ต้องไม่พยาบาทผู้ชนะเป็นต้น หลักสามอย่างนี้สำคัญมาก ย่อมใช้เป็นประโยชน์ได้ในการเมืองด้วย เมื่อเราจะปกครองแบบรัฐสภาแล้ว ก็ต้องมีคณะการเมืองเป็นธรรมดา เกมการเมืองก็ย่อมต้องมีกฎของเกมเหมือนกัน ถ้าเราเล่นผิดกฎการเมืองก็ย่อมมีผลเสียหายได้มากทีเดียว เพราะการปกครองแบบเดโมคราซิย่อมต้องมีการแพ้และชนะ ซึ่งถือเอาตามเสียงของหมู่มากว่าฝ่ายใดแพ้และชนะ เพราะคณะการเมืองย่อมมีความเห็นต่างๆ กันเป็นธรรมดา ต่างฝ่ายก็ต้องมุ่งที่จะให้หมู่มากเห็นด้วยกับตน และเลือกตนเข้าเป็นรัฐบาล ฝ่ายไหนประชาชนส่วนมากเห็นด้วยฝ่ายนั้นก็เป็นผู้ชนะ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เมื่อเวลาจะพูดชักชวนประชาชนลงความเห็นด้วยกับตนนั้น ถ้าเราใช้วิธีโกงต่างๆ เช่นติดสินบนหรือข่มขืนน้ำใจก็ต้องเรียกว่าเล่นผิดเกมการเมืองโดยแท้ ต้องพูดให้คนอื่นเห็นตามโดยโวหารและโดยชอบธรรมจึงจะถูกกฎของเกม การปกครองแบบเดโมคราซีนั้นผู้ที่ชนะแล้วได้เข้ามาปกครองบ้านเมืองก็ควรต้องนึกถึงน้ำใจของฝ่ายน้อยที่แพ้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเราชนะแล้วก็จะหาวิธีกดขี่ข่มเหงผู้ที่เป็นฝ่ายแพ้ต่างๆ นานาหาได้ไม่ ย่อมต้องมุ่งปกครองเพื่อประโยชน์ของคณะต่างๆ ทั้งหมด ส่วนผู้ที่แพ้ก็เหมือนกัน เมื่อแพ้แล้วก็ต้องยอมรับว่าตนแพ้ในความคิดในโวหาร แพ้เพราะประชาชนส่วนมากไม่เห็นด้วย เมื่อแพ้แล้วถ้าตั้งกองวิวาทเรื่อยบอกว่าถึงแม้คะแนนโหวตแพ้กำหมัดยังไม่แพ้เช่นนั้นแล้ว ความเรียบร้อยจะมีไม่ได้ คงได้เกิดตีกันหัวแตกเต็มไป ฝ่ายผู้แพ้ควรต้องนึกว่าคราวนี้เราแพ้แล้วต้องไม่ขัดขวางหรือขัดคอพวกที่ชนะอย่างใดเลย ต้องปล่อยให้เขาดำเนินการตามความเห็นชอบของเขา ต่อไปภายหน้าเราอาจเป็นฝ่ายที่ชนะได้เหมือนกัน น้ำใจที่เป็นนักกีฬาที่เป็นของสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือว่าเราต้องเล่นสำหรับคณะเป็นส่วนรวม แม้ในโรงเรียนเรานี้แบ่งออกเป็นคณะต่างๆ เมื่อเล่นแข่งขันในระหว่างคณะ เราก็เล่นสำหรับคณะของเราเพื่อให้คณะของเราชนะ แต่เมื่อโรงเรียนทั้งโรงเรียนไปเล่นเกมกับโรงเรียนอื่น ไม่ว่าคณะใดก็ตามต้องร่วมใจกันเล่นเพื่อโรงเรียนอย่างเดียวเท่านั้น เวลานั้นต้องลืมว่าเราเคยแบ่งเป็นคณะ เคยแข่งขันกันมาในระหว่างคณะอย่างไรต้องลืมหมด ต้องมุ่งเล่นเพื่อโรงเรียนอย่างเดียวเท่านั้น สำหรับประเทศชาติความข้อนี้เป็นของสำคัญอย่างยิ่งเหมือนกัน เพราะตามธรรมดาย่อมต้องมีคณะการเมืองคณะต่างๆ ซึ่งมีความเห็นต่างๆ กัน แต่เมื่อถึงคราวที่จะต้องนึกถึงประเทศแล้วต่างคณะต้องต่างร่วมใจกันนึกถึงประโยชน์ของประเทศอย่างเดียวเป็นใหญ่ ต้องลืมความเห็นที่แตกต่างกันนั้นหมด ถึงจะเคยน้อยอกน้อยใจกันมาอย่างไร ต้องลืมหมด ต้องฝังเสียหมด ต้องนึกถึงประโยชน์ของประเทศของตนเท่านั้น จะนึกเห็นแก่ตัวไม่ได้ อย่างนี้จึงจะเรียกว่ามีใจเป็นนักกีฬาแท้เป็นของจำเป็นที่จะต้องปลูกให้คนมีน้ำใจอย่างนั้น จึงจะปกครองอย่างแบบเดโมคราซีได้ดี...

...การปกครองแบบเดโมคราซี ถ้าราษฎรมีน้ำใจดีอย่างที่ว่ามาแล้ว ก็จะเป็นผลดีแก่ประเทศเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงแม้วิธีนี้เป็นวิธีดีอย่างที่สุดก็ตาม ถ้าเราไม่รู้จักวิธีใช้อาจเป็นผลร้ายก็ได้ เพราะฉะนั้นในเวลานี้ เราจะต้องพยายามโดยเคร่งครัดที่จะฝึกฝนพลเมืองของเราให้มีน้ำใจอยู่ในหลักต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้วนี้..."

ดูเหมือนว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จะได้ทรงคาดการณ์ไกลไว้ตั้งแต่ห้าเดือนหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 และหนึ่งเดือนก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475 แล้วว่า การเมืองไทยจะดำเนินไปเช่นใด จึงได้ทรงมุ่งอบรมเยาวชนผู้ที่จะเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้าถึงวิถีประชาธิปไตยโดยทรงอุปมาอุปมัยกับการกีฬาเพื่อให้เด็กๆ เข้าใจได้ง่าย

อนิจจา สิ่งที่ทรงพระปริวิตกว่าจะเกิดขึ้น ได้เกิดขึ้นจริง และดูจะทวีความรุนแรงในปัจจุบัน 76 ปีให้หลัง

การไปถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่หน้าอาคารรัฐสภาของผู้ประกอบการทางการเมืองทั้งหลายและประชาชนหมู่เหล่าต่างๆ คงจะเป็นเพียงพิธีกรรมที่ไร้ความหมายเป็นแน่ หากเราท่านเหล่านั้นไม่น้อมนำพระบรมราโชวาทที่นำมาเผยแพร่อีกครั้งข้างต้นนี้ไปปฏิบัติและใช้ในการอบรมสั่งสอนบุตรหลาน


ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker