ขณะที่การเมืองสนามใหญ่กำลังเดินไปสู่สงครามครั้งสุดท้าย อย่างที่ทั้ง 2 ฝ่ายประกาศไว้ ก็ต้องดูวันนี้แหละครับ...ว่าพันธมิตรฯจะมีเกมกดดันอย่างไร เป็นกลยุทธ์อย่างที่เชื่อมั่นว่าชนะแน่และไม่ยืดเยื้อ หรือว่าจะจอดไม่ต้องแจว
แต่การเมืองสนามเล็กก็ดูท่าจะเข้มข้นไม่น้อย ล่าสุดพรรคประชาธิปัตย์ได้ตัวผู้สมัครแล้วจากมติของกรรมการบริหาร
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จะเป็นผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.
หลังจากที่มีการให้ผู้ต้องการลงสมัครแสดงวิสัยทัศน์ซึ่งมีทั้งคนนอกและคนใน ปรากฏว่าคณะกรรมการได้พิจารณาเหลือเพียงแค่ 4 คน คือนายกรณ์ จาติกวณิช นายกษิต ภิรมย์ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร และนายแก้วสรร อติโพธิ ซึ่งเป็นคนนอก
ปรากฏว่านายกรณ์ได้ขอถอนตัวอ้างว่าจะต้องมีการเลือกตั้งซ่อมเนื่องจากเป็น ส.ส.เขต ทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณ กรรมการบริหารจึงพิจารณาจากบุคคล 3 คน และตัดสินใจเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์
จริงๆแล้วนายกรณ์นั้นดูจะเหมาะสมที่สุด แต่ก็มีปัญหาอย่างที่เจ้าตัวต้องยอมรับ เพราะหากลาออกจาก ส.ส.ลงสมัคร อาจจะถูกโจมตีจากคู่แข่งได้ นัยนี้ก็ไม่ต่างจากที่ประชาธิปัตย์ส่งนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.รอบที่ 2
ทั้งที่รู้ดีว่าเรื่องรถดับเพลิงยังเป็นชนักติดหลังอยู่ สุดท้ายก็ต้องมาเลือกตั้งกันใหม่
อีกเหตุผลหนึ่งน่าจะมาจากการที่นายกรณ์เป็นนักการเมืองมีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถ จึงควรจะอยู่ในการเมืองสนามใหญ่มากกว่า หากจับพลัดจับผลูประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล และตรงนี้เหมือนกันที่ทำให้หลายคนสนใจสมัครผู้ว่าฯ กทม. เพราะยังไม่รู้ว่าพรรคนี้จะได้เป็นรัฐบาลอีกเมื่อใด
ประชาธิปัตย์ดูเหมือนจะมั่นใจว่าคนกรุงเทพฯจะสนับสนุนคนของพรรค ให้ได้รับการเลือกตั้งไม่ว่าจะส่งใครก็ตามในท่ามกลางสถานการณ์การเมืองอย่างนี้
แน่นอนว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้ คงจะต่างจากครั้งที่ผ่านมา ที่นายอภิรักษ์ชนะขาดลอยแบบไม่ต้องลุ้น แต่นั่นเพราะคู่แข่งยังไม่เต็มที่ หรือที่สู้เต็มพิกัดบางคนก็ได้คะแนนเสียงระดับหนึ่งเท่านี้ โดยเฉพาะผู้สมัครจากพลังประชาชนนั้นแม้จะเวลาน้อยแต่คะแนนที่ได้กว่า 5 แสนคะแนน ก็ไม่ใช่ธรรมดาเหมือนกัน
ยิ่งคราวนี้ต้องการชนะเลือกตั้งก็คงจะทุ่มเทเต็มที่แน่ เพียงแต่ ตอนนี้ยังหาผู้สมัครไม่ได้ เนื่องจากนายประภัสร์ จงสงวน ปฏิเสธที่จะลงสมัครอีกครั้ง อ้างว่าภรรยาไม่ต้องการให้เล่นการเมือง ซึ่งนั่นเป็นประเด็นหนึ่ง แต่อีกประเด็นก็คงเป็นเพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมา พลังประชาชนไม่เอาจริง
และต้องควักเนื้อตัวเองไปพอสมควร
จริงๆแล้วพลังประชาชนนั้นต้องการให้นายประภัสร์ลงสมัคร เพราะเห็นพื้นฐานคะแนนแล้วน่าจะสู้ได้ หากพรรคช่วยเต็มที่ในทุกรูปแบบ
แต่เมื่อนายประภัสร์ไม่ลงสมัครก็ต้องหาคนอื่นมาแทน มีการพูดถึงนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตรองนายกฯ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์
อย่างไรก็ตาม การที่ประชาธิปัตย์ประกาศตัวก่อนทำให้พลังประชาชนรู้ว่าใครเป็นใคร ดังนั้น การหาคนมาสู้จึงง่ายเข้า ว่าควรจะใช้คนแบบไหน จึงจะชนะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้
นอกจากนั้น ยังมีข่าวกำลังมีความพยายามที่จะสร้างแนวร่วม ในการต่อสู้ด้วยการจะจับมือกับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่มีฐานเสียงพอสมควร รวมถึงผู้สมัครอิสระคนอื่นๆ เพื่อร่วมทีมกันสู้กับประชาธิปัตย์ เพราะคะแนนจะได้ทิ้งมาที่ผู้สมัครคนเดียว
ทำให้มีโอกาสชนะประชาธิปัตย์ได้
ส่วนผู้สมัครอิสระก็จะให้นั่งเก้าอี้รองผู้ว่าฯ คือใครมีความสามารถด้านไหนก็รับผิดชอบงานด้านนั้น ข้อสำคัญคือทุกคนชนะ
และต้องลุ้นการเมืองสนามใหญ่ด้วยว่าจะจบแบบไหน?
“สายล่อฟ้า”