ข่าวสด 20 สิงหาคม 2555 >>>
อ้างกฎ-จากเบาไปหาหนัก ไม่ยิงฟุ่มเฟือย-แค่จำเป็น "โรเบิร์ต"ลั่นสู้คดีทบ.ฟ้อง ศปช.เปิดรายงานพค.เลือด
รำลึก - นาง พะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ"น้องเกด" อาสาพยาบาล 1 ใน 6 ศพวัดปทุมฯ ขึ้นเวทีงานรำลึกคนเสื้อเเดงที่เสียชีวิตในเหตุการณ์เดือนพ.ค.2553 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 19 ส.ค.
"ไก่ อู" อดีตโฆษกศอฉ. รับเป็นเอกสารของจริง คำสั่งใช้ "สไนเปอร์" พลซุ่มยิงในเหตุการณ์สลายม็อบ 98 ศพ ชี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เคยชี้แจงต่อสังคมไปแล้ว เป็นการใช้กำลัง จากเบาไปหาหนัก อ้างพลแม่นปืนเป็นมาตรการสุดท้าย หากไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำผิดได้ ก็มีความจำเป็น แต่ไม่ใช้ฟุ่มเฟือย หรือตามอำเภอใจ ขณะที่ "บิ๊กตู่" แจงเหตุฟ้อง "โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม" พาดพิงกองทัพเสียหาย ผิด-ถูกว่าไปตามกระบวนการ รองผบช.น.ตั้งทีมสอบ สวน สั่งแปลคำปราศรัยภาษาอังกฤษ ตรวจสอบเข้าข่ายหมิ่นหรือไม่ ด้านโรเบิร์ตยืนยันตามคำปราศรัย ลั่นเดินหน้าเอาผิดผู้สั่งฆ่าประชาชน
เปิดรายงานสลายม็อบ 98 ศพ
เมื่อ วันที่ 19 ส.ค. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผล กระทบจากเหตุสลายการชุมนุม (ศปช.) แถลงเปิดรายงานความจริงเพื่อความยุติธรรม เหตุ การณ์และผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค.53 โดยมีนักวิชาการ และภาคประชาสังคม ร่วมอภิปราย ประกอบด้วย ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ดร.เกษม เพ็ญภินันท์ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ, ดร.บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, น.ส.ขวัญระวี วังอุดม จากสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล, รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล, นายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งนางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของน.ส.กมนเกด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม และนายคารม พลพรกลาง ทนายความกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
ดร.พวง ทองกล่าวว่า ศปช.เริ่มต้นจากคนหนุ่มสาวกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ที่ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความรุนแรงที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กระทำต่อประชาชนในเดือนเม.ย.-พ.ค.53 ผนวกกับความไม่เชื่อมั่นในความเป็นกลางของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ว่าจะทำหน้าที่คืนความยุติธรรมให้แก่เหยื่อในเหตุการณ์สลายการชุมนุมได้ อย่างแท้จริง คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้จึงร่วมมือกับนักวิชาการกลุ่มสันติประชาธรรม จัดตั้งศปช.เพื่อทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลหลักฐานในเหตุการณ์ความรุนแรง เพื่อทวงความยุติธรรมและนำตัวคนผิดมาลงโทษ
วัน10เม.ย.เริ่มต้นเจ็บ-ตาย
จาก นั้นดร.เกษมกล่าวว่า ปฏิบัติการขอ คืนพื้นที่ของรัฐบาลในวันที่ 10 เม.ย.2553 นำไปสู่การสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บของเจ้าหน้าที่และพลเรือน ทั้งที่เป็นผู้ชุมนุม และไม่ใช่ผู้ชุมนุม แบ่งเหตุการณ์ในวันที่ 10 เม.ย. เป็น 3 ช่วงเวลา คือ 07.30-13.00 น. หลังจากมีคำสั่งนายกรัฐมนตรีให้กองกำลังทหารหน่วยต่างๆ และเจ้าหน้าที่รัฐเริ่มปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ ก็เคลื่อนกำลังพลออกจากฐานที่ตั้งในกองทัพภาคที่ 1 เพื่อประจำจุดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้ากองทัพภาคที่ 1 ถนนราชดำเนิน นอก บริเวณถนนเพลินจิต บริเวณเชิงสะพานผ่านฟ้า มีการปะทะระหว่างกองทหารและกลุ่มผู้ชุมนุมในจุดต่างๆ เป็นระยะ
ดร.เกษม กล่าวว่า โดยฝ่ายทหารใช้โล่ กระบอง แก๊สน้ำตา และปืนประเภทต่างๆ พร้อมกระสุนยาง ขณะที่ฝ่ายผู้ชุมนุมใช้ก้อนหิน อิฐ ขวดน้ำ หนังยาง ไม้ และสิ่งของที่หาได้ในบริเวณนั้นๆ เหตุการณ์ดำเนินไปจนถึงช่วงบ่าย จนในที่สุดทั้ง 2 ฝ่ายถอยร่นกลับฐานที่ตั้งของฝ่ายตนเอง ช่วงที่ 2 เวลา 13.00-17.00 น. กำลังพล 5,000 นาย พร้อมด้วยรถถัง รถบรรทุก 6 ล้อ รถยีเอ็มซี และรถน้ำกว่า 20 คัน เคลื่อนออกจากกองทัพภาคที่ 1 มุ่งหน้าไปยังสะพานผ่านฟ้าฯ เพื่อเข้าคุมพื้นที่ถนนพิษณุโลก รวมทั้งจุดต่างๆ สามารถสรุปจุดปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่และกลุ่มผู้ชุมนุม ดังนี้ บริเวณด้านหน้ากองทัพภาคที่ 1 สะพานชมัยมรุเชฐ แยกวังแดงคุรุสภา สะพานอรทัย ถนนดินสอหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา สนามม้านางเลิ้ง บริเวณเลียบคลองผดุงกรุงเกษม
ชี้กุ"ผังล้มเจ้า"อ้างเหตุปราบ
ดร.เกษม กล่าวต่อว่า บรรยากาศในช่วงบ่ายเป็นไปอย่างตึงเครียด และมีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ ทั้งผู้ชุมนุมและทหาร รวมทั้งมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนจริง ขณะที่ช่วงเวลา 18.00-21.00 น. มีผู้ชุมนุมถูกยิงเสียชีวิตบริเวณสี่แยกคอกวัว รวม 10 ราย และที่บริเวณถนนดินสอ โรงเรียนสตรีวิทยา อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อีก 9 ราย ช่วงสุดท้ายคือ 21.00-24.00 น. มีคำสั่งให้ถอนกำลังจากบริเวณถนนตะนาว สี่แยกคอกวัว และถนนประชาธิปไตย หลังจากมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต รวมทั้งการปรากฏตัวของชายชุดดำ ทั้ง 2 ฝ่ายนำตัวคนเจ็บส่งโรงพยาบาล และในช่วงนี้ นายมานะ อาจราญ ลูกจ้างสวนสัตว์ดุสิตถูกยิงเสียชีวิตภายในสวนสัตว์เพิ่มอีก 1 ราย
ส่วน ดร.บัณฑิตกล่าวว่า การใช้คำว่า "กระชับวงล้อม? แทนคำว่า "การสลายม็อบ? ของเจ้าหน้าที่ ทำให้สังคมมีความรู้สึกผ่อนคลาย และเชื่อว่าจะไม่มีความสูญเสียร้าย แรง นอกจากนี้ การจัดทำ "ผังล้มเจ้า? ซึ่งเป็นแผนผังเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ออกเผยแพร่ต่อสาธารณชน ว่ากลุ่มคนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เมินเฉยต่อการใช้ความรุนแรงของรัฐกับกลุ่มผู้ชุมนุม นอกจากนี้ ยังมีเอกสารหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่ามีคนซุ่มยิงผู้ชุมนุม และคนที่ถูกยิงส่วนใหญ่นั้นไม่มีอาวุธอยู่ในมือ รวมทั้งไม่มีการแจ้งเตือนจากเจ้าหน้าที่ก่อน เห็นได้ชัดว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรการ 7 ขั้น ของการควบคุมสถาน การณ์จากเบาไปหนัก รวมถึงหลายกรณีที่พบว่า คนที่ถูกยิงไม่ได้เกี่ยว ข้องกับการชุมนุม แต่เป็นคนที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ตามปกติ
ยันรัฐบาลใช้กำลังเกินกว่าเหตุ
ขณะ ที่น.ส.ขวัญระวีกล่าวว่า การชุมนุมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ได้รับการรับรองไว้ใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ที่ไทยเป็นภาคี อย่างไรก็ตาม รัฐสามารถสั่งห้าม หรือสลายการชุมนุมได้ หากการชุมนุมนั้นเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ และเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการสลายการชุมนุมต้องเป็นทางเลือกสุดท้ายที่รัฐจะทำ และต้องแสดงให้เห็นว่ารัฐพยายามปกป้องสิทธิในการชุมนุม รวมทั้งเอื้อให้ผู้ชุมนุมสามารถชุมนุมได้โดยสงบ ขณะที่การใช้กำลังสลายการชุมนุม ในช่วงเม.ย.-พ.ค.53 นั้น รัฐบาลยืนยันว่าปฏิบัติการทุกขั้นตอน ที่รัฐบาลนำมาใช้นั้นเป็นไปโดยชอบธรรมตามกรอบกฎการใช้กำลังของกองทัพ และกฎหมายสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
น.ส.ขวัญ ระวีกล่าวว่า แต่จากการศึกษาของศปช. พบว่าไม่ได้เป็นไปอย่างที่รัฐบาลอภิสิทธิ์กล่าวอ้าง เพราะปรากฏว่ามีการใช้กำลังเกินกว่าเหตุกับผู้ชุมนุม ดังนี้ คือไม่แจ้งให้ผู้ชุมนุม และผู้ที่อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงทราบเกี่ยวกับการสลายการชุมนุมล่วงหน้า ใช้กระสุนจริงยิงใส่ผู้ชุมนุมมือเปล่า หรือปราศจากอาวุธหนักจนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ใช้กระบอง แก๊สน้ำตา และกระสุนยางอย่างไม่ได้สัดส่วนและไม่แยกแยะ สลายการชุมนุมในยามวิกาล ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
"แม่เกด"ร่วมถกคดีสู่ศาลโลก
ด้าน นางพะเยาว์กล่าวว่า หลังจากน.ส.กมนเกด เสียชีวิตในวัดปทุมฯ นั้น ไม่สามารถเรียกร้องความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมได้ และรู้สึกไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทย เพราะจากบทเรียนในอดีต ผู้ที่ใช้ความรุนแรงต่อประชาชน มักได้รับการนิรโทษกรรม จนภายหลังมีโอกาสได้พูดคุยกับนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม จึงได้รับคำแนะนำให้นำเรื่องนี้ไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่นายโรเบิร์ตก็ได้ย้ำว่า ความหวังนั้นริบหรี่ อย่างไรก็ตาม ศาลอาญาระหว่างประเทศก็ให้ความสนใจคดีนี้พอสมควร จากที่ให้เวลาไต่สวนมูลฟ้อง 1 ชั่วโมง ก็ขยายไปอีกกว่าครึ่งชั่วโมง แม้ความหวังจะริบหรี่ แต่ยืนยันจะเดินหน้าต่อไป ไม่ยอมแพ้
ส่วนนาย ปิยบุตรกล่าวว่า แม้รัฐบาลตัดสินใจลงนามยอมรับเขตอำนาจศาล ก็ยังไม่สามารถวางใจได้ว่าศาลอาญาระหว่างประเทศจะรับคดีนี้ไว้ เพราะมีเงื่อนไขอยู่หลายข้อ เช่น ต้องเป็นคดีเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และสงคราม อีกทั้งสถานะของศาลอาญาระหว่างประเทศเป็นเพียงศาลเสริม คือต้องให้กระบวนการยุติธรรมในประเทศดำเนินเสร็จสิ้นก่อน หรือกระบวนการยุติธรรมในประเทศไม่มีเจต จำนงจะดำเนินคดี หรือไร้ความสามารถในการดำเนินคดีอย่างสิ้นเชิง ศาลอาญาระหว่างประเทศจึงจะมีอำนาจในการพิจารณาคดี ส่วนรัฐบาลควรมีความตรงไปตรงมาในเรื่องนี้ หากจะลงนามก็ควรดำเนินการ แต่ถ้าไม่ลงนาม ก็ควรออกมาให้เหตุผล ไม่ควรขายความฝันโดยการบอกว่ากำลังศึกษาอยู่ หรือต้องรอคุยกับกระทรวงโน้นกระทรวงนี้ก่อน หรือยอมรับตามตรงว่าไม่ลงเพราะกลัว
"ไก่อู"รับจริง-คำสั่งสไนเปอร์
ส่วน กรณีมีผู้นำเอกสารมาเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต โดยอ้างว่าเป็นหนังสือราชการของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เกี่ยวกับการอนุญาตให้ใช้สไนเปอร์ ในเหตุ การณ์สลายม็อบ 98 ศพ นั้น พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก และอดีตโฆษกศอฉ. กล่าวว่า เอกสารดังกล่าวเป็นฉบับจริง เนื้อหาในรายละเอียดทั้งหมดไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่เคยอธิบายความไปเมื่อสมัยศอฉ. ฉะนั้น จะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยก็ไม่มีปัญหา เพราะเป็นเรื่องเดิม หมายความว่าการปฏิบัตินั้นมีมาตรการตามหลักสากลจากเบาไปหาหนัก
โฆษก กองทัพบกกล่าวว่า เพียงแต่ว่าเอกสารที่ถูกเปิดเผยออกมานี้ ตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะ เป็นความตั้งใจของใครไม่รู้ ที่เอาเฉพาะใบสุดท้ายมาเปิดเผย ทำให้สังคมไม่ได้เห็นว่า ในใบแรกๆ คือใบที่ 1, 2, 3, และ 4 เขียนถึงมาตรการในการใช้กำลัง ตั้งแต่เบาไปหาหนัก เริ่มจากการชี้แจงทำความเข้าใจ อธิบายความเป็นต้นมา แต่กลับไปนำใบสุดท้ายมาเปิดเพียงใบเดียว ซึ่งใบสุดท้ายก็หมายความว่า เมื่อผ่านมาตรการทั้งหมดมาแล้ว ยังไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการกระทำผิดกฎหมายได้ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้อาวุธ แต่ไม่ได้ใช้แบบฟุ่มเฟือย หรือใช้ตามอำเภอใจ
ยันชี้แจงได้-ไม่มีซ่อนเร้น
"เจ้า หน้าที่มีหลักการใช้อาวุธอยู่ คือเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจพบกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่ติดอาวุธสงคราม กำลังจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ หรือกำลังจะทำร้ายพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ เราก็มีพลแม่นปืนระวังป้องกัน ที่จะดำเนินการตามขั้นตอน ด้วยไม่สามารถหลีกเลี่ยงเป็นอย่างอื่นได้ ซึ่งเอกสารใบสุดท้ายนี้ ก็ว่าด้วยหลักการอย่างนี้? พ.อ.สรรเสริญกล่าว
อดีตโฆษกศอฉ.กล่าวต่อ ว่า ถ้ามาถามก็ต้องตั้งข้อสังเกตว่าในใบแรกๆ ที่พูดถึงมาตรการในการดำเนินการตามขั้นตอนของหลักสากล ตั้งแต่เบาไปหาหนัก ทำไม่ไม่เอามาเปิดเผย ซึ่งก็ไม่มีอะไรที่ต้องวิตกกังวล เพราะเป็นเรื่องที่ศอฉ.ในสมัยนั้นได้ชี้แจงอธิบายความ ทำความเข้าใจกับประชาชนมาโดยตลอดอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติที่สามารถชี้แจงได้ ไม่ได้มีอะไรแอบแฝงซ่อนเร้นที่เจ้าหน้าที่จะทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่มีอาวุธไม่มีในนั้นแน่นอน และการออกมาเปิดเอกสารนี้ไม่มีผลกับคดีอะไร เพราะการตัดสินคดีความก็ว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม และเนื้อหาที่ออกมาเปิดเผย ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าให้ยิงทำร้ายพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์
เคยอธิบายให้สังคมทราบแล้ว
"ถ้า ถามว่ามีคนผู้ไม่หวังดีเดินถืออาวุธสงครามกำลังจะทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือกำลังจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ให้ได้รับอันตราย บาดเจ็บ อาจถึงขั้นเสียชีวิต มันมีวิธีการอย่างอื่นบ้างไหม ที่ไม่ใช้วิธีนี้ที่จะป้องกัน? อดีตโฆษกศอฉ.กล่าว และเมื่อถามว่าคิดว่าผู้ที่ นำมาเผยแพร่มีจุดประสงค์อย่างไร พ.อ. สรรเสริญกล่าวว่า คิดว่าเป็นเรื่องของผู้ที่ต้องการจะทำให้สังคมเกิดความเข้าใจไปในทิศทางที่ พยายามจะสร้างข้อมูลข่าวสารอยู่แล้ว ถ้าได้ลองวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีบางกลุ่มบางฝ่ายพยายามสร้างกระแส เพื่อให้สังคมไทยเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารใช้การปฏิบัติการที่เกินเลยกับความ เหมาะสม เจ้าหน้าที่ทหารนั้นใช้อาวุธ ทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือผู้ชุมนุม
โฆษกกองทัพบกกล่าวต่อว่า นี่คือความพยายามที่จะทำให้เกิดข่าวแบบนี้ เพราะฉะนั้นการนำเอกสารเหล่านี้มาปล่อย ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า คงจะเป็นวิธีการที่จะสนับสนุน เพื่อให้ข่าวทั้งหลายเหล่านั้นเกิดความรู้สึกกระจายไปในวงกว้าง น่าเชื่อถือมากขึ้น แต่ทางกองทัพมั่นใจว่า ไม่มีอะไรที่เป็นความลับ ที่จะต้องปิดบัง เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ได้เคยชี้แจงให้สังคมทราบมาแล้ว
เผยรายละเอียดในคำสั่งศอฉ.
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับหนังสือคำสั่งศอฉ.ดังกล่าว ระบุว่าส่วนราชการ สยก.ศอฉ. ที่ กห.1407.55 (สยก.) ลงวันที่ 17 เม.ย.2553 เรื่อง ขออนุมัติแนวทางการปฏิบัติในการ ใช้อาวุธเพื่อรปภ. ที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญ รวมทั้งการปฏิบัติ ณ จุดตรวจ/ด่านตรวจและสายตรวจเคลื่อนที่ ลงนามโดย พล.ท.อักษรา เกิดผล หน.สยก.ศอฉ. เสนอ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. ในเวลา นั้น ก่อนที่นายสุเทพจะลงนามอนุมัติในวันที่ 18 เม.ย.2553
โดยเฉพาะใน ความสำคัญในข้อ 2.5 ที่ระบุว่า ในกรณีพบความผิดซึ่งหน้าในลักษณะผู้ก่อเหตุใช้อาวุธยิงใส่เจ้าหน้าที่ หรือใช้อาวุธ/วัตถุระเบิดต่อที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญ ที่ศอฉ.กำหนด ได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้อาวุธยิงผู้ก่อเหตุ เพื่อหยุดยั้งการปฏิบัติได้ แต่หากผู้ก่อเหตุอยู่ปะปนกับผู้ชุมนุมจนอาจทำให้การใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ เป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ให้งดเว้นการปฏิบัติ ยกเว้นในกรณีที่หน่วยได้จัดเตรียมพลแม่นปืน (Marksmanship) ที่มีขีดความสามารถเพียงพอให้ทำการยิงเพื่อหยุดยั้งการก่อเหตุได้ นอกจากนี้ หากหน่วยพบเป้าหมายแต่ไม่สามารถทำการยิงได้ เช่น เป้าหมายอยู่ในที่กำบัง ฯลฯ หน่วยสามารถร้องขอการสนับสนุนพลซุ่มยิง (Sniper) จากศอฉ.ได้
"บิ๊กตู่"ชี้เหตุต้องฟ้อง"โรเบิร์ต"
ขณะ ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสั่งการกรมพระธรรมนูญแจ้งความดำเนินคดีนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่ปรึกษากฎหมายเสื้อแดง ในข้อหาหมิ่นประมาทกองทัพบก โดยปราศรัยว่ารัฐบาลซื้ออาวุธจากสหรัฐมาเข่นฆ่าประชาชน และรัฐบาลสหรัฐส่งสไนเปอร์มาสอนสไนเปอร์ไทยว่า เป็นเรื่องของกระบวนการ สถาบัน และหน่วยงาน เพราะฉะนั้นกรณีที่มีใครมาพาดพิงหน่วยงาน ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ก็มีคณะทำงานคือกรมพระธรรมนูญที่เป็นฝ่ายกฎหมาย ก็เหมือนกับบริษัทที่เวลามีใครมาหมิ่นประมาท ก็ต้องดำเนินการ จะผิดหรือถูกก็ต้องไปว่ากันตามกระบวนการ
"ผมเปรียบเสมือนเจ้าของ บริษัท ก็ต้องอนุมัติเมื่อมีการเสนอมาว่ามีความผิด ก็ว่ากันไป ถ้าไม่ผิดศาลก็ว่ามา ถ้าเป็นท่านหรือครอบครัวจะฟ้องหรือไม่ หรือจะปล่อยเขา ถ้ามาหมิ่นประมาท เรื่องนี้เป็นเรื่องการทำ งาน กรมพระธรรมนูญในกองทัพบกและกระทรวงกลาโหมก็จะมีคณะทำงาน โดยนำเรื่องคดีความต่างๆ กลั่นกรองก่อนจะขออนุมัติจากผบ.ทบ. และคณะกรรมการว่าจะดำเนินการอย่างไร หากผิดผมก็จะอนุมัติเพื่อไปดำเนินการตามกระบวน การยุติธรรม จะผิดจะถูกก็ว่ามา อย่าเอาเราไปเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นๆ จำไว้ว่าเรื่องสถาบันทหาร เกี่ยวกับชื่อเสียงเกียรติยศของคนทุกคนในกองทัพบก ก็ต้องรักษาชื่อเสียงของคนทุกคนในกองทัพบก ท่านต้องเห็นใจผม ในฐานะที่เป็นองค์กรหนึ่งของรัฐ หากท่านสร้างความไม่น่าเชื่อถือกับกองทัพบก แล้วจะไปหากองทัพไหนมาช่วยท่าน? ผบ.ทบ.กล่าว
บช.น.ตั้งทีมสอบทันที
ส่วน พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น. ดูแลงานกฎหมายและสอบสวน กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า มอบหมายพล.ต.ต.กฤษฏิ์ เปียแก้ว ผบก.น.5 ตั้งคณะพนักงานสอบสวน โดยมีรองผบก.น.5 เป็นหัวหน้า และเสนอรายชื่อคณะพนักงานสอบสวนภายในวันที่ 21 ส.ค.นี้ ส่วนจะเรียกนายโรเบิร์ตมาสอบปากคำหรือไม่นั้น ต้องขอตรวจสอบพยาน และหลักฐานแผ่นซีดีบันทึกคำปราศรัย โดยจะให้กองกำกับการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือผู้เชี่ยวชาญแปลคำปราศรัยก่อน เนื่องจากเป็นคำพูดภาษาอังกฤษ จากนั้นก็จะพิจารณาว่าข้อความดังกล่าว เข้าองค์ประกอบความผิดในข้อหาหมิ่นประมาทหรือไม่
รองผบช.น.กล่าวต่อ ว่า นอกจากนี้ ในวันที่ 20 ส.ค. เวลา 09.30 น. พนักงานสอบสวนคดีสลายม็อบ 98 ศพ บาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คน จะร่วมประชุมหารือกันที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยมีนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ และพ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ เป็นผู้กำหนดแนวทาง และมอบหมายหน้าที่ ส่วนการเรียกตัวผู้ปฏิบัติ หรือสไนเปอร์มาสอบสวนหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดีเอสไอว่าจะพิจารณาให้เรียกใครมาสอบสวน โดยใช้ดีเอสไอเป็นสถานที่สอบปากคำ
"โรเบิร์ต"ยันตามคำปราศรัย
วัน เดียวกัน เว็บไซต์ของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ระบุถึงข่าวที่พล.อ.ประยุทธ์สั่งการให้พ.ท.สายัณห์ ขุนขจี แจ้งความดำเนินคดีหมิ่นประมาททางอาญาต่อนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม และล่ามแปลภาษา กรณีนายอัมสเตอร์ดัมปราศรัยโจมตี เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ในวาระวันครบรอบ 2 ปีเหตุ การณ์ปราบปรามผู้ชุมนุมเสื้อแดง 98 ศพ โดยนายอัมสเตอร์ดัมกล่าวประณามการสังหารหมู่ประชาชน พร้อมวิจารณ์ว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาสนับสนุนอาวุธ รวมถึงฝึกกองทัพไทย ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ถ้อย คำดังกล่าวทำลายชื่อเสียงของกองทัพ
นาย อัมสเตอร์ดัมกล่าวว่า ขอยืนยันตามคำปราศรัย และจะเดินหน้าทำงานเพื่อลงโทษผู้นำระดับสูงที่สั่งสังหารประชาชนตามข้อหา อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ สิ่งที่แน่นอนคือ คนที่สังหารประชาชนเพื่อปกป้องอำนาจ และความเป็นอภิสิทธิ์ชนของตนเอง จะไม่สามารถรอดพ้นความผิดที่กระทำลงไปอย่างแน่นอน
เสื้อแดงจัดเวที"จับศอฉ.มัด"
เวลา 15.00 น ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คนเสื้อแดงในนามกลุ่มเสรีราษฎร นำโดยนางพะเยาว์ อัคฮาด และนายณัทภัช อัคฮาด แม่และน้องชายของ น.ส.กมนเกด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตภายในวัดปทุมฯ จัดเวทีปราศรัยในหัวข้อ "จับ ศอฉ.มัด บินรัดสู่ศาลโลก? พร้อมทั้งมีการแสดงดนตรี
นางพะเยาว์กล่าว ว่า มาเรียกร้องความยุติธรรมให้พี่น้องประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ก่อนหน้านี้ได้ยื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐบาลลงนามรับรองขอบเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ เฉพาะกรณีสลายม็อบเม.ย.-พ.ค.2553 ให้เข้ามาขับเคลื่อนกระบวนการตรวจสอบคดีอีกทางหนึ่ง โดยทำควบคู่ไปกับการตรวจสอบของศาลไทย เพราะเกรงว่าจะมีกระบวนการขัดขวาง และการเมืองในขณะนี้เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเราจึงไว้ใจใครไม่ได้
"หาก เดือนนี้รัฐบาลยังไม่ให้คำตอบเรื่องลงนามรับรอง เดือนหน้าเราก็จะทวงถามอีก และจะมีมาตรการเคลื่อนไหวกดดันไป เรื่อยๆ ไม่ว่ารัฐบาลจะลงนามหรือไม่ก็ต้องมีคำตอบให้ประชาชน เพราะเราให้เวลารัฐบาลพิจารณาอยู่แล้ว? นางพะเยาว์กล่าว