23 กันยายน
ประชาไท รายงาน "ศปช. อ่านรายงาน คอป. : ‘พวงทอง’ วิพากษ์หลักฐาน-การให้น้ำหนัก-โครงเรื่อง"
พวงทอง ภวัครพันธุ์ เปิดรายงาน คอป. ชี้ข้อมูลหลายอย่างมีประโยชน์แต่ไม่ถูกให้น้ำหนัก เน้น ‘ชายชุดดำ’ อธิบายทุกเหตุการณ์โดยขาดหลักฐานหนักแน่น ไม่เน้นข้อมูลฝ่ายประชาชน เชื่อลมปาก ศอฉ.ไม่ตรวจสอบ ทำงานไฟลนก้นเอาข้อมูลตัดแปะตามโครงเรื่องที่วาง สรุปรัฐบาล-ศอฉ.แค่ประมาทเลินเล่อ โยนความผิดให้ จนท.ระดับล่าง ‘ผิดทั้งคู่’ ชูฐานะเป็นกลางตัวเอง
23 ก.ย.55 เวลาประมาณ 13.00 น. มีงานเสวนา รัฐประหาร 19 กันยา กับอาชญากรรมโดยรัฐ กรณีการสลายการชุมนุมเมษา-พฤษภา 53 จัดโดยศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือน เม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.) และกลุ่มปฏิญญาหน้าศาล ที่ตึกเอนกประสงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมากจนล้นห้องประชุม
พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะตัวแทน ศปช. กล่าวว่า รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นสาเหตุที่นำมาสู่ความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยรัฐประหารถูกให้ความชอบธรรมโดยนักวิชาการ นักกิจกรรมทางสังคมจำนวนมาก แม้ในช่วงเกิดเหตุจะไม่มีความรุนแรง แต่การต่อต้านหลังจากนั้นมีมาโดยตลอด เกิดกลุ่มอิสระต่างๆ และนำสู่การก่อตัวของกลุ่มเสื้อแดง ความรุนแรง เมื่อเมษายนปี 52 และเหตุการณ์ปี 53 ก็เป็นการตอบโต้กับรัฐประหาร ดังนั้น จึงไม่อาจเรียกได้ว่ามันเป็นรัฐประหารที่สันติ
ในส่วนรายงาน คอป. พวงทองกล่าวว่า รายงานนี้มีข้อมูลที่ดีและเป็นประโยชน์อยู่ไม่น้อย ข้อมูลเหล่านี้ควรถูกนำไปใช้ในชั้นศาลเพราะเป็นวิทยาศาสตร์ เช่น ข้อมูลที่แสดงว่าวิถีกระสุนที่ทำให้ผู้ชุมนุมเสียชีวิต ล้วนมาจากด้านที่ทหารตั้งอยู่ โดยเฉพาะกรณี 10 เม.ย.53 ซึ่งพบว่า ทหารตั้งอยู่บริเวณสะพานวันชาติ ยิงมายังถนนดินสอ พบรอยกระสุน 120 รอยโดยไม่พบกระสุนปืนที่ยิงไปในทิศทางสวนกัน หรือกรณีที่รายงาน คอป.ระบุว่า เวลาประมาณ 18.00 น.ยังพบทหารอยู่บนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมวนาราม ถือ M16 กระสุนจริงและยิงไปที่วัด พบรอยกระสุนที่บริเวณประตูทางออก ทางเข้า มีทิศทางการยิงจากรางรถไฟฟ้า ฯลฯ
“แต่น่าเสียดายที่ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญเลย” พวงทองกล่าว
พวงทอง กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันในรายงานเน้นย้ำเรื่องชายชุดดำอย่างมาก ทั้งที่ คอป.ไม่สามารถอธิบายทุกเรื่องด้วยเรื่องชายชุดดำ ศปช.ไม่ได้ปฏิเสธว่ามีชายชุดดำอยู่โดยเฉพาะเหตุการณ์ 10 เมษา แต่ ศปช.อธิบายความรุนแรงบริเวณนั้นแตกต่างจาก คอป. ขณะที่ คอป. สรุปว่าไม่มีหลักฐานว่าผู้ชุมนุมเสียชีวิตจากชายชุดดำ ซึ่งเป็นการปฏิเสธข้อกล่าวหาของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และ ศอฉ.ที่ว่าชายชุดดำยิงใส่ผู้ชุมนุม เท่ากับข้อกล่าวหานี้ตกไปแล้ว คอป.ย้ำว่าชายชุดดำเป็นสาเหตุให้ทหารเสียชีวิต ขณะเดียวกันก็เห็นอกเห็นใจฝ่ายทหาร จากคำอธิบายว่า การระดมยิงใส่ผู้ชุมนุม เพราะทหารระดับบังคับบัญชาเสียชีวิต ทำให้ทหารระดับล่างระดมยิงอย่างไร้การควบคุม
ในส่วนของ 10 เม.ย.53 ข้อสรุปสำคัญของ คอป.คือ ผู้ชุมนุมเสียชีวิตหลังชายชุดดำปรากฏกาย และชายชุดดำทำให้ทหารยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุม แต่ ศปช.ยืนยันว่า มีผู้ชุมนุมเสียชีวิตก่อนชายชุดดำจะปรากฏตัว เช่น บุญจันทร์ ไหมประเสริฐ ซึ่งโดนกระสุนความเร็วสูงยิงที่ต้นขาเสียเลือดมากจนเสียชีวิตตั้งแต่ช่วง เย็น
“การปรากฏตัวของชายชุดดำ เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ต้องจับกุมดำเนินคดี ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์สิบเมษาจำนวนมากอาจมองว่า ชุดดำมาช่วย แต่จริงๆ แล้วมันสร้างปัญญาให้ขบวนการเสื้อแดงโดยรวม ทำให้สร้างความชอบธรรมว่าเสื้อแดงใช้ความรุนแรงและรัฐสามารถจัดการได้เต็ม ที่” พวงทองกล่าว
พวงทองกล่าวว่า รายงาน คอป.อ้างชายชุดดำ อธิบายเรื่องนี้ในทุกพื้นที่ที่เกิดเหตุ แต่เราเสนอว่า ยกเว้น 10 เมษาแล้ว ไม่มีหลักฐานภาพถ่ายหรือวิดีโอของชายชุดดำที่อื่นๆ จึงขอให้ คอป.เสนอหลักฐานเหล่านี้ให้ชัดเจน เพื่อให้ถูกตรวจสอบได้โดยประชาชนด้วย ที่สำคัญเราจะแยกแยะอย่างไรเพราะการ์ดนปช. หรือเจ้าหน้าที่จำนวนมากก็ใส่เสื้อดำ
ตัวแทนจากศปช.กล่าว่า ในขณะที่อ่านรายงาน คอป. พบว่ามีโครงเรื่องที่ชัดเจน เพื่ออธิบายว่ารัฐบาลและ ศอฉ.ห่วงใยผู้ชุมนุม โดยอ้างแถลงการณ์หรือคำให้สัมภาษณ์ของรัฐ ตามด้วยการเน้นย้ำเรื่องชายชุดดำประกอบการตายในทุกจุด การวางโครงแบบนี้ชี้ว่า ชายชุดดำสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนขึ้น จนเจ้าหน้าที่ต้องใช้กำลังอาวุธคุมสาถานการณ์ การชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่ใช่สันติวิธี ขาดความชอบธรรม และเป็นสิทธิให้เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรง
คอป.ไม่เห็นว่าความรุนแรง ที่เกิดจากฝั่งผู้ชุมนุมเป็นปฏิกริยาตอบโต้ความรุนแรงของฝ่ายรัฐ แต่เห็นว่าความรุนแรงของฝ่ายรัฐเป็นการตอบโต้ผู้ชุมนุมที่ใช้ความรุนแรง เท่านั้น
“นี่เป็นการเล่าเรื่องที่จะเป็นข้อแก้ตัวให้ ศอฉ.และรัฐบาลอภิสิทธิ์ในอนาคต” พวงทองกล่าว
พวงทอง เสนอว่า คอป.ต้องคิดใหม่ว่าทำไมการปรากฏตัวของชายดำ ทำให้เจ้าหน้าที่ยิงใส่ผู้ชุมนุมมือเปล่า อาสากู้ชีพที่เสียชีวิต 6 คนสัมพันธ์อย่างไรกับชายดำ อาวุธของทหารมีกล้องส่องระยะไกลช่วยในการยิง ทำไมจึงเล็งไปที่เขา
พวงทองกล่าวว่า ต่อให้ผู้ชุมนุมบางคนมีอาวุธ ก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่ต้องติดตามจัดการกับผู้ชุมนุมรายนั้น แต่ไม่ใช่จะนำมาเป็นเป็นข้ออ้างใช้ความรุนแรงกับคนทั้งหมด การมีอาวุธของบาง ไม่สามารถทำให้ทั้งหมดเป็นผู้ก่อการร้าย ไปด้วย โดยสามารถใช้กระสุน 1.2 แสนนัด ใช้กำลังพล 6.7 หมื่นนายเข้าจัดการ คอป.ต้องแสดงข้อมูล บทวิเคราะห์ที่ชัดเจนกว่านี้ เพื่อจะได้มีการพิสูจน์กันต่อไป
“คอป.อธิบายเรื่องนี้มาก แต่ไม่พยายามวิเคราะห์การตายผู้ชุมนุมเป็นกรณี กลับสรุปความตายเป็นก้อน เป็นพื้นที่ ซึ่งเป็นวิธีการที่แตกต่างกับ ศปช. ที่มุ่งเน้นเป็นรายกรณีหากมีหลักฐาน เราไม่เหมารวมกันเป็นก้อน เราเชื่อว่าถ้าคอป.วิเคาะห์เป็นรายกรณี จะทำให้เห็นว่า ศอฉ. เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตอบโต้ชายชุดดำจนเป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมเสียชีวิตจำนวนมาก แต่เป็นการใช้กำลังเกินกว่าเหตุตามอำเภอใจอย่างเข้าใจไม่ได้” พวงทองกล่าว
กรณี เผาเซ็นทรัลเวิลด์ รายงานคอป.ระบุว่า ทหารเข้าถึงพื้นที่เวลาประมาณ 15.00 นง แล้วถอนกำลังเพราะมีการยิงเข้าใส่ทหาร แต่ภาพถ่ายปรากฏว่าทหารมาถึงสี่แยกราชประสงค์แล้ว มีนักข่าวติดตามด้วย เจอคุณผุษฏี ซึ่งนั่งอยู่ไม่ได้ไหน ทหารก็พาเดินออกจากพื้นที่ คุณผุษฏีเคยให้สัมภาษณ์ว่า ระหว่างที่ทหารเดินออกไปกับนักข่าว เห็นรถดับเพลิงจอดอยู่ไม่ไกล แต่กลับไม่เข้าไปดับเพลิงที่กำลังไหม้เลย ส่วนนี้ชี้ว่าทหารคุมพื้นที่หมดแล้ว เราไม่ได้บอกว่าทหารเผา แต่การบอกว่าทหารเข้าไม่ถึงนั้นมีการตรวจสอบหรือไม่
พวงทองพูดถึง วิธีการนำเสนอของ คอป. ว่า 1.ในรายงานมีการกล่าวถึงภาพถ่าย วิดีโอ แต่กลับไม่ปรากฏภาพถ่าย วิดีโอ ในโลกออนไลน์ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญเลย 2.การสัมภาษณ์จำนวนมากเพิ่งกระทำ 2-3 เดือนก่อน คป.หมดอายุการทำงานในราวเดือนมิถุนายน ซึ่งในจำนวนนั้นมีรายสำคัญอยู่หลายราย เช่น ข้อมูลที่สัมภาษณ์ผู้ดูแลบ้านโบราณตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทย แล้วนำสู่ข้อสรุปว่า เชื่อว่าชายชุดดำโยนระเบิดเข้าใส่กองบัญชาการทหาร
“รายงานที่ซับซ้อนขนาดนี้ เพิ่งได้ข้อมูลสดๆ ร้อนๆ มันสามารถทำได้จริงหรือ หรือเอาข้อมูลมาใส่ในโครงเรื่องที่วางไว้แล้ว”
คอป.ชี้ ว่าผู้ชุมนุมเท่ากับความรุนแรง บอก โดยอธิบายว่า รัฐบาล ศอฉ.พยายามระมัดระวัง ขณะที่ผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรง ต่อสู้ขัดขวาง ประทุษร้ายเจ้าหน้าที่ ยึดอาวุธ ยึดสายพานลำเลียง ถอดเป็นชิ้นๆ เข้าข่ายความรุนแรง แกนนำปลุกเร้าสร้างความเกลียดชัง มีสิ่งเทียมอาวุธ เช่น ท่อนไม้ ตะไล พลุ ระเบิดขวด การสร้างป้อมด้วยไม้ไผ่
“ในทางกลับ กันอธิบายว่า ความตายของผู้ชุมนุมเกิดจากความผิดพลาดในการประเมินสถานการณ์ของทหาร เพราะเจ้าหน้าที่เชื่อว่าผู้ชุมนุมจะใช้ความรุนแรง ในแง่นี้ไม่ใช่เราไม่เสียใจกับเจ้าหน้าที่ที่บาดเจ็บเสียชีวิต แต่สมดุลในการอธิบายความรุนแรงมันหายไป” พวงทองกล่าว
“นอกจากนี้ คอป.ยังละเลยการตัดสินใจส่งกำลังจำนวนมากและอาวุธสงครามเข้าสลายการชุมนุม คอป.ไม่สนใจว่า สิบเมษา แม้ท้องฟ้ามืด ทหารก็ไม่ถอนกำลง คอป.รับฟัง ศอฉ.โดยไม่มีการตรวจสอบ ศอฉ.บอกว่าได้สั่งให้ถอนกำลังตั้งแต่ 16.15 น. แล้วคอป.ก็เชื่อ แต่ถ้าคอป.สัมภาษณ์ผู้ชุมนุม จะพบว่าก่อน 18.00 น. จนท.ยังพยายามเสริมกำลังจุดต่างๆ รุกเข้าห้าผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง โยนแก๊สจากเฮลิคอปเตอร์ต่อเนื่อง”
ขณะที่บทสรุปของรายงานเสนอว่า รัฐบาล และเจ้าหน้าที่ต้องแสดงความรับผิดชอบโดยต้องขอโทษต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ที่ใช้มาตรการที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ แต่ในบทวิเคราะห์ทั้งเล่มกลับไม่ชี้เลยว่ากรณีใดบ้างที่ทหารใช้กำลังเกิน กว่าเหตุ
พวงทองกล่าวย้ำว่า คอป.เห็นว่า รัฐบาลและ ศอฉ. แค่ประมาท เลินเล่อ ไม่ตรวจสอบการใช้กำลังเคร่งครัด ซึ่งเท่ากับโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ระดับล่าง แต่ปกป้องผู้สั่งการ ซึ่งหากผู้สั่งการไม่ไร้สติสัมปชัญญะ ก็ย่อมเล็งเห็นผลเสียหายต่อชีวิตประชาชน นี่คือสงครามในเมืองและปราบปรามขบวนการเสื้อแดง
“การที่คอป.สรุปว่า ผิดทั้งคู่ การใช้คำพูดทำนองนี้ ตั้งใจทำให้ความรุนแรงของรัฐพล่าเลือน ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าขนาดกำลังและอาวุธสองฝ่ายไม่มีทางเทียบกันได้เลย ศปช.อยากฝากให้ คอป.ทบทวนว่า การสรุปว่าผิดพอกัน คอป.อาจดูมีวุฒิภาวะ เป็นกลางในสายตาคนต่อต้านคนเสื้อแดงและองค์กรระหว่างประเทศ ที่อ่านภาษาไทยไม่ได้ แต่ความเป็นกลางของคอป.แลกมาด้วยการละเลยการปกป้องศักดิ์ศรี สิทธิความเป็นมนุษย์ของผู้ชุมนุมอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น” พวงทองกล่าว
พวงทอง กล่าวถึงสันติวิธีของคนเสื้อแดงว่า เราทราบกันดีว่าไม่ได้เป็นไปตามทฤษคานธี สำหรับคนเสื้อแดง เขามองว่า เรามาเรียกร้องให้ยุบสภาให้เลือกตั้งใหม่ ไม่มีอาวุธใดๆ แต่ถ้ามีใครมาทำร้ายเขาก็ต้องป้องกันตัวเอง จะให้นั่งเฉยๆ ให้ทหารยิงคงไม่อาจทำได้ แต่ปัญหาคือ นักสันติวิธีในประเทศนี้เอาแต่นั่งดูและคอยจับผิด มากกว่าจะมาช่วยกำหนดยุทธวิธีในการต่อสู้ว่าต้องระวังอะไร
สำหรับ นปช.ก็ถูกวิจารณ์อย่างมากตลอดมา ในการชุมนุมที่ยืดเยื้อยาวนาน แกนนำนปช.ก็ได้สรุปบทเรียนและทราบดีว่ามันยากในแง่ผู้ชุมนุม แกนนำย่อยมีหลากหลายมากแม้เป็นข้อดี แต่ขณะเดียวกันก็ควบคุมกันไม่ได้ ไม่มีความเด็ดขาด
พวกทองกล่าวสรุปว่า มีหลายเรื่องเราน้อมรับคำแนะนำของ คอป. เช่น การเอาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีโดยเคร่งครัด กองทัพไม่ควรเกี่ยวการเมือง แต่กองทัพไม่ได้ยืนโดดๆ ในสังคม เราต้องพูดถึงพลังการเมืองต่างๆ ที่อยู่ข้างหลังและผลักให้กองทัพออกมาทำรัฐประหารด้วย