Fri, 2012-09-28 18:41
กรณีของปัญหาเริ่มจากการที่ นายคณิต ณ นคร
ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ
(คอป.) ได้กล่าวในวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๕ นี้ว่า
เขาได้เขียนบันทึกส่วนตัวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า
ถ้าอยากเป็นรัฐบุรุษ ต้องรู้จักคำว่าเสียสละ แม้ว่าจะไม่กลับประเทศ
ก็สามารถเป็นรัฐบุรุษได้เช่นกัน เหมือนนายปรีดี พนมยงค์
ที่ทำงานเพื่อประเทศโดยที่ไม่เคยกลับประเทศ เพียงเพราะอยากให้บ้านเมืองสงบ
ข้อเสนอของนายคณิต ได้รับการวิจารณ์ทันทีว่า
เป็นข้อเสนอที่มาจากความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ผิดพลาด
และยังไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่แท้จริงของสังคมไทย ส่วนหนึ่ง
ก็มาจากทัศนะของนายคณิตเอง ที่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เป็นต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น
แต่นี่เป็นทัศนะแบบด้านเดียว เพราะปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้
ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย และกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่สนับสนุนการรัฐประหาร
ก็เป็นสาเหตุสำคัญอีกด้านหนึ่งเช่นกัน ยิ่งกว่านั้น ในรายงานของ คอป.เอง
ก็ระบุว่า สังคมไทยมีปัญหารากฐานในทางเศรษฐกิจและสังคมจำนวนมาก เช่น
ปัญหาช่องว่างระหว่างรายได้ ปัญหาความแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบท
ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยทางการเมือง ฯลฯ กรณีเหล่านี้
คงแก้ไม่ได้ด้วยการเสียสละของ พ.ต.ท.ทักษิณ
แต่ที่สำคัญในทางประวัติศาสตร์นั้น นายปรีดี พนมยงค์
ต้องเดินทางออกจากประเทศ เพราะถูกรัฐประหารเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน
พ.ศ.๒๔๙๐ ในครั้งนั้น
กำลังของฝ่ายรัฐประหารได้ใช้รถถังบุกทำเนียบท่าช้างอันเป็นที่พำนักของนาย
ปรีดี ทำให้นายปรีดีต้องลี้ภัยออกจากประเทศ หลังจากนั้น
นายปรีดีก็ได้พยายามที่จะกลับประเทศหลายครั้ง ครั้งสำคัญ ก็คือ
ได้เดินทางกลับมาเพื่อที่จะยึดอำนาจคืนในกรณี "ขบวนการประชาธิปไตย ๒๖
กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒" แต่ล้มเหลว ถูกปราบปรามอย่างหนัก
ซึ่งกรณีนี้จะรู้จักกันนามว่า "กบฏวังหลวง"
นายปรีดีต้องหลบซ่อนอยู่ในบ้านแถวฝั่งธนฯ ๖ เดือน แล้วจึงหลบหนีออกไปได้
แล้วจึงไม่ได้กลับมาเมืองไทยได้อีกเลย
ประเด็นสำคัญต่อมา ก็คือ
นายปรีดีถูกฝ่ายอนุรักษ์นิยมสร้างคดีใส่ร้ายป้ายสีว่า
เป็นผู้อยู่เบื้องหลังกรณีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ ๘
และใช้ศาลเป็นเครื่องมือ ในการตัดสินประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ ๓ คน คือ
นายชิต สิงหเสนี นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายเฉลียว ปทุมรส
เพื่อเป็นการข่มขู่ไม่ให้นายปรีดีกลับประเทศ
ความจริงแล้วเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในเรื่องของนายปรีดี พนมยงค์
ก็มีบทเรียนอันอุดม จากการที่นายปรีดีนั้นมีพื้นฐานเป็นลูกชาวนา
แต่อาศัยความสามารถทางการศึกษาเป็นเครื่องมือสร้างโอกาสจนได้ไปศึกษาต่าง
ประเทศ
และกลายเป็นคนแรกของประเทศไทยที่สำเร็จถึงขั้นปริญญาเอกวิชากฎหมายจากประเทศ
ฝรั่งเศส
แต่นายปรีดีมิได้มุ่งที่จะนำเอากฎหมายมาใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจชน
ชั้นนำสถาบันหลัก และทำร้ายประชาชนเหมือนนักกฎหมายจำนวนมากในยุคปัจจุบัน
หากแต่ต้องการที่จะใช้กฎหมายในการสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคม
และในสมัยที่บ้านเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตย
นายปรีดีก็ได้ร่วมก่อตั้งคณะราษฎร
ซึ่งกลายเป็นสมาคมที่มีบทบาทนำในการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประเทศจากระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕
หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง นายปรีดี พนมยงค์
ก็ยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญอีกหลายประการในการสร้างระบอบใหม่
ตั้งแต่การมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญที่ใช้กันต่อมา
มีส่วนในการปฏิรูปกฎหมายให้ประเทศไทยมีความทันสมัย
และมีระบอบนิติรัฐอย่างแท้จริง จากนั้น
ก็เป็นผู้ผลักดันหลักการปกครองท้องถิ่นเพื่อการกระจายอำนาจ
เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศที่เดินทางไปเจรจาเลิกสัญญาไม่เป็นธรรมกับมหาประเทศ
ทำให้ประเทศไทยมีเอกราชสมบูรณ์ เป็นผู้ผลักดันการปฏิรูปปฏิรูปเศรษฐกิจ
สร้างเศรษฐกิจชาตินิยม สร้างระบบภาษีใหม่ให้มีความเป็นธรรม
และเพิ่มรายได้ให้กับรัฐ เป็นต้น
ต่อมา เมื่อเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา นายปรีดี พนมยงค์
ได้รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของรัชกาลที่ ๘
และกลายเป็นผู้ก่อตั้งขบวนการเสรีไทย
ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้ไทยรอดพ้นจากฐานะที่จะเป็นผู้แพ้ในสงครามโลก
เป็นผู้ผลักดันให้การเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๘
เป็นต้นมา และเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘
เสด็จนิวัติพระนครก็ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐบุรุษอาวุโส และเป็นนายกรัฐมนตรี
จึงสรุปได้ว่า นายปรีดี พนมยงค์ได้มีบทบาทสำคัญ
และสร้างคุณูปการให้กับสังคมไทยเป็นอย่างมาก
ความเป็นนักประชาธิปไตยของนายปรีดี พนมยงค์
ยังเห็นได้จากความพยายามในการประนีประนอมกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม
โดยการนิรโทษกรรมให้นักโทษการเมืองฝ่ายนิยมเจ้าเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๘
และยังเปิดให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมออกหนังสือพิมพ์เพื่อเผยแพร่แนวคิดของตน
และให้ตั้งพรรคการเมืองลงแข่งขันในการเลือกตั้ง
โดยหวังว่าจะใช้กติกาประชาธิปไตยเข้ามาคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมือง
หมายถึงว่า
ถ้าพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้รับความนิยมจากประชาชนด้วยคะแนนเสียงที่มากเพียง
พอ ก็สามารถที่จะเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลได้เช่นกัน
แต่กรณีนี้กลายเป็นความผิดพลาด เพราะกลุ่มอนุรักษ์นิยมนั้น
มิได้มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย เมื่อเปิดทางให้ฝ่ายนี้มีบทบาททางการเมือง
กลุ่มอนุรักษ์นิยมก็ใช้การเมืองแบบใส่ร้ายป้ายสี
เพื่อทำลายภาพลักษณ์ของนายปรีดีและรัฐบาลพลเรือน
โดยเฉพาะการสร้างกระแสใส่ร้ายเรื่องกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ จากนั้น
ก็ได้สนับสนุนให้ฝ่ายทหารก่อรัฐประหาร เพื่อทำลายคณะราษฎร ฉีกรัฐธรรมนูญ
และทำลายประชาธิปไตย และผลจากการรัฐประหารนี้เอง ที่ทำให้ปรีดี
พนมยงค์ต้องลี้ภัยต่างประเทศดังที่กล่าวมา
ดังนั้น ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะรับบทเรียนจากนายปรีดี พนมยงค์
คงไม่ใช่เรื่องการลี้ภัยต่างประเทศโดยไม่กลับ ตามที่นายคณิต ณ นคร นำเสนอ
แต่เป็นเรื่องที่ต้องสรุปว่า พวกอนุรักษ์นิยมอำมาตยาธิปไตยนั้น
ไม่มีแนวคิดประชาธิปไตย ชอบสนับสนุนรัฐประหาร เข่นฆ่าประชาชน
และไว้ใจไม่ได้ คนเหล่านี้ ชอบอ้างสถาบันหลักเพื่อใส่ร้ายทำลายผู้บริสุทธิ์
ดังนั้น ถ้าหากต้องการปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
จะต้องอาศัยการสนับสนุนจากประชาชนไปดำเนินการ
การประนีประนอมอ่อนน้อมต่อฝ่ายกระแสหลักนั้น
ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด
บทเรียนในระยะ ๖ ปี สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เองก็บอกความข้อนี้
เพราะถ้าหากไม่มีการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชนคนเสื้อแดงแล้ว
พ.ต.ท.ทักษิณก็คงหมดบทบาทไปแล้ว คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ก็คงไม่สามารถที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้
กลุ่มชนชั้นนำอำมาตยาธิปไตยก็คงมีอำนาจนำได้อย่างสมบูรณ์
การตื่นตัวและการต่อสู้ของประชาชน จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญแห่งอนาคต
ที่จะทำให้สังคมไทยก้าวหน้าต่อไป