บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2551

'สนธิ' กับพฤติการณ์แห่งรูปคดี

สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้นำจิตวิญญาณของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เคยชักนำให้ประชาชนหลงเชื่อ และหลงเข้าใจผิดว่า ได้จุดเทียนแห่งปัญญาให้กับประชาชน เพื่อเป็นแสงนำทางให้กับประเทศ เมื่อครั้งประกาศตนโค่นล้มรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

เหตุการณ์ในวันนั้น เป็นที่ประจักษ์ต่อประชาชนในวันนี้ แล้วว่า......

เทียนที่สนธิ จุดขึ้นมานั้น หาใช่เทียนแห่งปัญญาไม่ แต่มันกลับกลายเป็นเทียนแห่งอวิชชา

เพราะเปลวเทียน ที่สนธิจุดขึ้น ได้เผาทำลายประเทศชาติของเราจนย่อยยับตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ถูกทำลายลงจนพินาศ

เปลวเทียนของสนธิ ได้ ทำลายการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เพราะสนธิได้เชื้อเชิญเผด็จการทหารเข้ามายึดบ้านครองเมือง

เปลวเทียนของสนธิ ได้ ทำลายความระบบเศรษฐกิจ เพราะการเชื้อเชิญเผด็จการทหารเข้ามาทำการปฏิวัติรัฐประหารของสนธิ ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในประเทศ จนธุรกิจไทยพังพินาศย่อยยับ และนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจ

เปลวเทียนของสนธิ ได้ ทำลายความเป็นปึกแผ่นของคนในชาติ เพราะสนธิแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ด้วยข้อความบนเสื้อสีเหลือง "เราจะสู้เพื่อในหลวง" สร้างความแตกแยกของประชาชน จนเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งขั้วเลือกข้างอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

และวันนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล กำลังจะหลอกลวง ชักชวนประชาชนให้เดินตามแสงแห่งการทำลายของเทียนอวิชชาอีกครั้ง หลังจากเขาได้หยิบก้านไม้ขีดและจุดมันขึ้น เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา และกำลังจะนำก้านไม้ขีดนั้นไปจุดเทียนที่แอบอ้างว่าเป็นเทียนแห่งปัญญา

แต่ไม่อาจคาดหมายได้ว่าเปลวเทียน ที่สนธิ กำลังจะจุดขึ้นครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่

เพราะเป้าหมายในการจุดเทียนแห่งอวิชชาของสนธิ ขึ้นอยู่กับประชาชนผู้บริสุทธิ์ว่าจะเดินตามแสงที่สนธิจุดขึ้นหรือไม่

พฤติการณ์ของสนธิ ลิ้มทองกุล ที่กำลังเดินในรูปรอยเดิม ด้วยการจุดเทียนแห่งอวิชชา ไม่เพียงแต่ท้าทายรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และต่อประชาชนผู้หวงแหนประชาธิปไตยเท่านั้น

แต่พฤติการณ์ของสนธิ ลิ้มทองกุล ณ. เวลานี้ ยังท้าทายต่ออำนาจของสถาบันตุลาการอย่างไม่ต้องสงสัย

เพราะเป็นพฤติการณ์ที่ไม่แยแส และไม่ยี่หระ ต่อคำพิพากษาของศาลในพระปรมาภิไธย กรณีที่ศาลชั้นต้นตัดสินลงโทษจำคุก สนธิ ลิ้มทองกุล 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา ไปเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2550

ทั้งๆ ที่ คำพิพากษาของศาลเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2550 ได้ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของสนธิ ลิ้มทองกุล ไว้อย่างชัดเจน ว่ามีพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ความมั่นคงของชาติ และความสามัคคีของคนในชาติ ซึ่งคำพิพากษาของศาลว่าไว้ดังนี้

"..พฤติการณ์แห่งคดีเห็นว่าจำเลยที่ 1 (สนธิ ลิ้มทองกุล) กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์ (ทักษิณ ชินวัตร) เป็นลำดับ มีการเปิดประเด็นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ได้มุ่งพิสูจน์ความจริงตามหลักนิติธรรม บางครั้งปล่อยให้เป็นที่สงสัยกำกวม เร่งเร้าให้เกิดความสับสนวุ่นวายในสังคม ก่อให้เกิดความครอบงำบิดเบือนเนื้อหาข้อมูล ทำให้ขาดดุลความจริง หวังมุ่งสร้างกระแสเพื่อโค่นล้มโจทก์ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยไม่ใช้วิธีการที่รัฐธรรมนูญขณะนั้นกำหนด การกระทำดังกล่าวกระทบโครงสร้างทางสังคมครั้งใหญ่ เกิดความขัดแย้งอย่างมาก ระหว่างผู้ที่สนับสนุนโจทก์กับฝ่ายตรงข้ามโจทก์ ต่างมุ่งห้ำหั่นล้างผลาญกันทุกวิถีทางสถานภาพของสังคมไทยเกิดความสูญเสีย ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง

ทางนำสืบจำเลยที่ 1 และพฤติการณ์การกล่าวปราศรัยของจำเลยที่ 1 ตามวัตถุพยานของจำเลยที่ 1 ก็ดี การแต่งการของจำเลยที่ 1 ไม่ว่าสีของเสื้อที่ใช้สีเหลือง อันเป็นสีประจำพระองค์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตัวอักษรที่หน้าอกเสื้อคำว่า"เราจะสู้เพื่อในหลวง" ก็ดี ล้วนพยายามสร้างภาพของโจทก์ และผู้สนับสนุนโจทก์ ให้มีภาพยืนอยู่ตรงข้ามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และพยายามสร้างภาพของจำเลยกับพวกให้อิงแอบแนบชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันสูงสุดที่ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าต้องเทิดทูล เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์กับพวก ไม่จงรักภักดี ทำตัวเสมอพระมหากษัตริย์ หรือไม่ถวายพระเกียรติพระมหากษัตริย์ เป็นการแยกประชาชนคนไทยที่จงรักภักดีบางส่วน ให้เป็นฝ่ายตรงข้ามสถาบันพระมหากษัตริย์ นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ

การที่จำเลยที่ 1 พยายามดึงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพ เทิดทูนสูงสุดของประชาชนทุกหมู่เหล่า มาเป็นเครื่องมือในการกำจัดโจทก์กับพวก ในทางการเมือง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พฤติการณ์แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรง และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคล หรือคณะบุคคลอื่นๆ อีกต่อไป จึงไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1.."

การที่ศาลชั้นต้นชี้ให้เห็นว่า สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นบุคคลอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ พฤติการณ์แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรง จึงต้องลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคล และคณะบุคคลอื่นๆ อีกต่อไป ย่อมจะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นบุคคลที่พึงปรารถนาของสังคมไทยหรือไม่

แม้คดีของสนธิจะยังไม่ถึงที่สิ้นสุด เพราะเป็นเพียงคำตัดสินในศาลชั้นต้น แต่ก็เป็นการพิพากษาของศาลในพระปรมาภิไธย ซึ่งถือเป็นตัวแทนของพระมหากษัตริย์ สนธิ จึงไม่บังควรแสดงพฤติการณ์ใดๆ อันเป็นการละเมิดคำพิพากษา โดยเฉพาะพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ความมั่นคงของชาติ และความสามัคคีของคนในชาติ

พฤติการณ์ของสนธิ ลิ้มทองกุล ที่กำลังเดินไปในลักษณะรอยเดิม ด้วยการจุดเทียนแห่งอวิชชาขึ้นอีกครั้ง คงไม่ได้สุ่มเสี่ยงต่อประโยคทองของสนธิ ที่มักจะกล่าวอ้างเสมอว่า "ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง"เท่านั้น แต่ควรจะเพิ่มอีกประโยคว่า"คุกเป็นคุก"

เพราะพฤติการณ์ของสนธิ ที่กำลังเดินไปในลักษณะซ้ำซาก ซ้ำรอยกับพฤติการณ์แห่งคดีที่ศาลชั้นต้นตัดสินไปเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2550 ท้าทายคำพิพากษาของศาล อย่างชัดแจ้ง

บัดนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้จุดก้านไม้ขีดขึ้นมาแล้ว และเขากำลังจะนำก้านไม้ขีดนั้นไปจุดเทียนที่แอบอ้างว่าเป็นเทียนแห่งปัญญาอีกครั้ง

บรรทัดทอง ก็ได้แต่หวัง และภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วยดับไม้ขีดไฟ ไม่ให้เทียนแห่งอวิชชาของสนธิถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ตกเป็นเหยื่อ หลอกให้เดินตามแสงแห่งการทำลายของเทียนอวิชชาของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เพื่อไม่ให้บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะวิกฤตเหมือนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

เพราะในเมื่อสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นบุคคลอันไม่พึงปรารถนาของสังคมไทย แล้วเราจะปล่อยให้สนธิมาปู้ย่ำปู้ยี...

มาเป็นตัวการทำบ่อนลายการเมืองในระบอบประชาธิปไตย

มาเป็นตัวการทำบ่อนลายระบบเศรษฐกิจ

มาเป็นตัวการทำบ่อนลายความเป็นปึกแผ่นของคนในชาติ

และมาเป็นตัวการทำบ่อนลายประเทศหรืออย่างไร........?

ถึงเวลาแล้วที่เราควรร่วมมือกัน ทำลายเทียนแห่งอวิชา และให้แสงสว่างนำแห่งปัญญาที่เป็นจริงแก่ ประชาชนผู้บริสุทธิ์

ถึงเวลาแล้วที่ศาลสถิตย์ ยุติธรรม จะเป็นธงนำไม่ให้พฤติการณ์แห่งคดีที่สนธิ ลิ้มทองกุล เคยก่อไว้ เกิดซ้ำรอยขึ้นอีกครั้ง ก่อนเทียนแห่งอวิชชาจะถูกจุดขึ้นอีก

บรรทัดทอง

จาก hi-thaksin

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker