บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สำนักราชเลขาฯ ประกาศเลื่อนพิธีถวายสัตย์-สวนสนาม

ที่มา ประชาไท

วันนี้ (30 พ.ย.) สำนักราชเลขาธิการมีประกาศสำนักราชเลขาธิการ ประจำวันที่ 30 พ.ย.52 เรื่อง การพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พุทธศักราช 2552 ความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ การพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พุทธศักราช 2552 ดังนี้

1. วันพุธ ที่ 2 ธันวาคม 2552 พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ประจำปี 2552 ให้เลื่อนออกไปก่อน

2. วันศุกร์ ที่ 4 ธันวาคม 2552 ตามที่คณะบุคคลและประชาชน ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสเข้าเฝ้า ฯ ถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2552 ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา เช่นทุกปี นั้น ให้เลื่อนออกไปก่อน

3. วันเสาร์ ที่ 5 ธันวาคม 2552

- เวลาเช้า เสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เฝ้า ฯ ถวายพระพรชัยมงคล

- เวลาบ่าย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์

4. วันอาทิตย์ ที่ 6 ธันวาคม 2552 เวลาเช้า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ เลี้ยงพระ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย

5. วันอังคาร ที่ 8 ธันวาคม 2552 เวลาบ่าย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต คณะทูตเฝ้า ฯ ถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2552

ที่มา: สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์

พฤกษ์ เถาถวิล: ปรากฏการณ์เสื้อแดงกับการปรับความสัมพันธ์ทางอำนาจของคนอีสาน

ที่มา ประชาไท

คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้จัดเทศกาล มองและอ่านสัปดาห์หนังสือสื่อสิ่งพิมพ์ครั้งที่ 1 โดยเมื่อ 12 พ.ย. มีการจัดเวทีเสวนา “ความรู้และความไม่รู้และการเมืองของคนเสื้อแดง” โดยเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมดังกล่าว โดยมีผู้ร่วมเสวนาได้แก่ ผศ.ดร.สมชัย ภัทรธนานันท์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม อ.พฤกษ์ เถาถวิล อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และนายอุเชนทร์ เชียงเสน นักศึกษาปริญาญาโท สาขาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินรายการโดย ชัยธวัช ตุลาฑล กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน
พฤกษ์ เถาถวิล ได้เสนอว่า การศึกษาเรื่องคนเสื้อแดงต้องเริ่มจากการรื้อถอนกรอบความคิดที่มองว่า ชาวบ้านเป็นผู้เฉื่อยชาทางการเมือง ตกอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์อย่างไร้ความคิด เลิกมองว่าการเลือกตั้งคือการซื้อขายเสียงอย่างไร้สติ และหลุดจากความคิดแบบสองนัคราประชาธิปไตย ที่ไม่ช่วยให้เข้าใจเงื่อนไขหรือความซับซ้อนของชนบทแต่อย่างใด แต่เราควรเริ่มจากมองเห็นชาวบ้านเป็นผู้กระทำการ มีการเรียนรู้ มีการต่อรองเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น แต่ก็อย่ามองชาวบ้านเกินความเป็นจริง ที่จะต่อสู้ทางการเมืองอย่างมีเป้าหมาย อุดมการณ์ ยุทธศาสตร์ชัดเจน แต่พวกเขาต่อสู้ภายใต้เงื่อนไขที่เผชิญอยู่ ด้วยกลยุทธต่างๆที่พวกเขาจะใช้ได้ “พูดอีกอย่างพวกเขาพยายามปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางอำนาจ ที่เขาเสียเปรียบให้เป็นไปในทางที่ดีเสมอ ด้วยวัสดุอุปกรณ์เท่าที่จะมี”
พฤกษ์เห็นว่า การเลือกตั้งแต่ละครั้งทำให้ชาวบ้านได้เรียนรู้มากขึ้นเสมอ ปัจจุบันการซื้อเสียงไม่อาจใช้เงินอย่างเดียว แต่ชาวบ้านเรียนรู้ว่าต้องมีอย่างอื่นที่เหนือกว่านั้น ชาวบ้านรู้มากขึ้นว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่เขาได้คนอย่างทักษิณมา ได้ประชานิยมมา คือสิ่งที่เข้าต้องการ เขาเป็นเจ้าของ เขาได้ประโยชน์ ถ้าแปลความหมายก็คือ เขาเป็นเจ้าของอำนาจในการกำหนดชีวิตตัวเอง หรืออำนาจในการปกครอง การออกมาแสดง ความรักความภักดีต่อทักษิณ จะแปลความได้ไหมว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องตัวบุคคล แต่คือการแสดงออกซึ่งการปกป้องการมีส่วนแบ่งทางอำนาจของพวกเขา
เมื่อไปเก็บข้อมูล พฤกษ์ ได้พบกับผู้คนที่ไม่เฉพาะเป็นคนรากหญ้าที่ยากจนเท่านั้น แต่กลับมีบุคคลที่หลากหลายฐานะและอาชีพ เมื่อถามว่าพวกเขามาทำไม??? ในเบื้องต้นพวกเขาตอบว่ารักและศรัทธาทักษิณ แต่เมื่อพูดคุยสร้างความคุ้นเคยและสอบถามเจาะลึกลงไป คำตอบที่ได้รับอย่างชัดเจนเพิ่มขึ้นก็คือความชื่นชอบในนโยบายและความสามารถในการบริหาร อย่างนี้จะแปลได้ไหมว่า นี่คือ ความภักดีต่อพรรคการเมืองนโยบายพรรคการเมืองและความสามารถในการบริหารของผู้นำ อย่างนี้ไม่ใช่หรือที่นักรัฐศาสตร์เห็นว่าคือการเมืองที่ก้าวหน้า เหมือนที่เป็นอยู่ในอเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่น
กรณีกลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดที่เก็บข้อมูล มีการแตกตัวออกไปหลายกลุ่ม มีการจัดความสัมพันธ์กับกลุ่มการเมืองในท้องถิ่นอย่างชัดเจน มีด้านที่นักการเมืองพยายามเข้ามามีบทบาทในการชักนำ แต่ก็มีด้านที่กลุ่มคนเสื้อแดงต่อรองกับนักการเมืองให้มาออกหน้า มาสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพวกเขาอย่างเปิดเผย และกำหนดบทบาทหน้าที่ให้แน่ชัดว่าจะต่อสู้ร่วมกับพวกเขาอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจและกำลังศึกษาต่อไป

จาก Twister ของท่านทักษิณ แสดงว่ารับฟัง "เสียงจากคนเสื้อแดง"

ที่มา thaifreenews
โดย..ลูกชาวนาไทย



จากลิงค์นี้

http://www.thairath.co.th/content/pol/50054

ข่าวลือเรื่องการเจรจาระหว่างทักษิณ กับอำมาตย์ ไม่ว่าฝ่ายใดปล่อยออกมา มันมีผลต่อความหวั่นไหวของมวลชน หากไม่มีการแก้ข่าวนี้ จะทำให้ความไว้เนื้อเชื่อใจของมวลชนลดลง

แต่การที่ท่านนายกฯทักษิณมีการสื่อสารผ่าน Twister ทำให้การแก้ไขข่าวให้ข้อมูลที่ถูกต้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว เป็นการสื่อสารทางตรงกับมวลชน ไม่ต้องผ่านสื่อแต่อย่างใด "ผู้สนับสนุน" สามารถเข้าไปอ่าน หรือสอบถามได้โดยตรง

ทำให้ระยะห่างระหว่างนายกฯทักษิณ กับมวลชนที่สนับสนุนมีน้อยลง และไม่ต้องผ่านคนกลางที่ทำให้ข่าวสารบิดเบือนแต่อย่างใด
การทำงานมวลชนนั้น การเคลื่อนไหวต่างๆ จะแยกออกจากมวลชน นั้นไม่มีทางทำได้ "ความต้องการของมวลชน" จะควบคุมทิศทางของผู้นำประชาชนได้ต่อไป

ประชาชนอาจไม่สนใจในรายละเอียดที่ผู้นำดำเนินการไป แต่ "ทิศทางใหญ่ ๆ" จะต้องไม่ "เบี่ยงเบน" จากความต้องการของประชาชน

การเจรจากับอำมาตย์ เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยาก หากไม่มีการ "คืนประชาธิปไตย" ที่แท้จริงให้กับประชาชน "เงื่อนไขตรงนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญ" ที่ประชาชนคงยอมให้เบี่ยงเบนจากตรงนี้ได้ยาก

หยุมหยิม

ที่มา ข่าวสด

เหล็กใน




สภาปิดสมัยประชุมไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

นายกฯ และพรรคร่วมรัฐบาลคงได้หายใจหายคอคล่องขึ้น

หลังปล่อยสภาล่มซ้ำซากฉีกหน้านับครั้งไม่ถ้วน !

จากนี้เข้าสู่ธันวาคม เดือนมหามงคลของคนไทย

และยังเป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญๆ

แต่ภาพนายกฯ สวมเสื้อเกราะอ่อน ท่ามกลางรปภ. ล้อมหน้าหลัง แล้วยังแฝงตัวตามตึกสูงคอยระแวดระวังภัย

มันสร้างบรรยากาศ และความรู้สึกไม่ดียังไงไม่รู้

ถ้าไปพื้นที่สีแดง หรือแดนสงครามก็ว่าไปอย่าง

นี่อยู่ใจกลางเมืองหลวงแท้ๆ ตัวผู้นำยังไม่ไว้วางใจเรื่องความปลอดภัย

แล้วจะให้พี่น้องประชาชนเที่ยวงาน 5 ธ.ค. ฉลองคริสต์มาส สั่งลาปีเก่ากันสนุกๆ โดยไม่วิตกกังวลได้อย่างไร??

ภาพจริงจากตัวนายกฯ ไม่พอ บรรดานักพูด นักจ้อรอบข้างยังขยันสร้างสรรค์ประเด็น

ออกข่าวตั้งค่าหัว 10 ล้านเอาชีวิตนายกฯ

ยั่วยุแหย่ทหารเก่าทหารแก่ฝ่ายตรงข้าม

เมื่อบวกกับพฤติกรรม และวิธีการต่างๆ ที่ผ่านมา

อย่างกรณีทักษิณบินมาเที่ยวเขมร 4-5 วันแล้วก็เผ่น

นายกฯ กับรมต.กลับลากประเทศทั้งประเทศ พลเมืองทั้ง 60 กว่าล้านคนไปทะเลาะกับเพื่อนบ้าน

ผ่านมาแล้วเกือบเดือน ศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ เศรษฐกิจยังสูญเสียไม่จบ

ม็อบเสื้อแดงประกาศเลิกชุมนุมแล้วหลายวัน แต่ยังลากยาวพ.ร.บ.ความมั่นคงไว้

ยกเหตุผลต้องรอประชุมครม. คงไว้ไม่เห็นเสียหายอะไร

รองนายกฯ รมต. ผู้เกี่ยวข้องรุมห้ามปรามไม่ให้ขึ้นเชียงใหม่

ยังยืนยันดึงดันจนกระทั่งทางเจ้าภาพต้องบอกไม่เชิญแล้ว

ตำแหน่งสำคัญอย่างผบ.ตร.ว่างเว้นมาเข้าสู่เดือนที่สาม แต่ยังไม่มีวี่แววแต่งตั้ง

ทั้งๆ ที่เป็นอำนาจนายกฯ เพียงผู้เดียว ทว่าบริหาร จัดการ ตัดสินใจเองไม่ได้

เสียภาวะผู้นำไม่พอ ยังเสียพี่ เสียเพื่อน เสียพวกไปหลายคน

ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ทำเรื่องง่ายเป็นเรื่องยาก

และหยุมหยิม!?

ฟองสบู่ดูไบ

ที่มา ไทยรัฐ

กรณีการไม่ชำระหนี้ของ ดูไบ เวิลด์ ดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่ ในความรู้สึกของคนทั่วไป โดยเฉพาะผลกระทบที่จะตามมา ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าปัญหานี้จะไปสู่การเจรจาในรูปแบบไหน และจะกลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจส่งผลกระทบไปทั่วโลกเช่นเดียวกับปัญหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาหรือไม่

อีกเรื่องการประกาศลดค่าเงินของ ประเทศเวียดนาม จะมีความเกี่ยวโยงกันแค่ไหน หรือจะเป็นการนำไปสู่การปรับตัวเศรษฐกิจหน้าใหม่ในภูมิภาคนี้

นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เตรียมหารือถึงผลกระทบและปัญหาที่จะตามมาในที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจวันพุธที่จะถึงนี้ จะจำกัดขอบเขตความเสียหายได้แค่ไหนอย่างไร

ว่ากันตามจริงผลกระทบที่จะตามมาก็ยังไม่สามารถประเมินได้อย่างละเอียด เพียงแต่เป็นการคาดการณ์บางส่วนเท่านั้น จะไปตกอกตกใจกับเรื่องดังกล่าวจนเกินไปก็ไม่ถูกต้องนัก

ที่ควรจะกังวลให้มากก็คือ การลดค่าเงินดองของเวียดนาม เพราะเวียดนามเป็นประเทศคู่แข่งทางการค้าที่สำคัญสำหรับบ้านเราประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะพืชผลทางการเกษตรและการท่องเที่ยว รวมทั้งฐานการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ

เวียดนามยังขาด โครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง เท่านั้น ถ้าส่วนนี้เวียดนามไล่เราทันเมื่อไหร่ ฐานการลงทุนก็จะเป็นปัญหาตามมา และสุดท้ายเราก็จะต้องตามเวียดนามทุกเรื่อง

ยกตัวอย่างเรื่องของการค้าข้าวเป็นต้น ก่อนหน้านี้เราเคยประมาทว่าเวียดนามมีแต่ข้าวไม่มีคุณภาพ เรามีข้าวหอมมะลิ แต่วันนี้เกือบทุกประเทศที่เคยเป็นลูกค้าเรากำลังหันไปใช้บริการเวียดนาม ข้าวหอมมะลิกำลังถูกลอกเลียนแบบ ตั้งชื่อ กลิ่น รสชาติใกล้เคียงกับหอมมะลิไทย แต่ราคาถูกกว่า

การลดค่าเงินของเวียดนาม ทำให้ได้เปรียบ ทั้งการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวมากขึ้น และทำให้ราคาสินค้าการเกษตรของเวียดนามถูกกว่าบ้านเรามากขึ้น จากที่เคยถูกกว่าอยู่แล้ว

ไม้ตายตรงนี้น่ากังวลมากกว่า เศรษฐกิจดูไบ เพราะอย่างน้อยขึ้นชื่อว่าประเทศในตะวันออกกลางก็ได้รับการการันตีเรื่องความร่ำรวยอยู่แล้ว มีกองทุนต่างๆคอยสนับสนุนเยอะไปหมดและดูเหมือนจะเป็นการเมืองภายในเขามากกว่า

ห่วงก็แต่วิกฤติจากการเมืองบ้านเรา

ประเด็นที่กัมพูชาจะขอ ยกเลิกการกู้เงินกว่า 1,400 ล้านบาท ได้รับการชี้แจงจากนายกฯอภิสิทธิ์ว่า เป็นความเข้าใจผิดของกัมพูชาว่าเราจะยกเลิกการให้กู้เงินเองต่างหาก พูดคุยทำความเข้าใจกันก็คงไม่มีปัญหา ฟังดูแล้วทะแม่ง

ก็ได้แต่หวังว่ารัฐบาลจะละเลยเรื่องการเมืองลงบ้าง และหันมาเอาใจใส่เศรษฐกิจของประเทศและปากท้องของประชาชน เห็นอะไรเป็นดูไบแวบๆก็จะตามไล่ตะครุบ กลัวแม้กระทั่งเงา
ตัวเองก็ไม่ไหว.

หมัดเหล็ก

อภิสิทธ์ เกาะโพเดี้ยม

ที่มา thaifreenews

“มาร์ค”เผยอาศัย “คอลัมน์หน้า3” วางแผนรับมือ“ศัตรู”


นายกรัฐมนตรี เปิดตัวสมาคมวิชาการนิเทศศาสตร์และการสื่อสารมวลชน แห่งประเทศไทย ชี้วิกฤตการเมืองไทยมาจากสื่อเทียม เผยอาศัยคอลัมน์หน้า3 วางแผนรับมือศัตรู...

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในการเป็นประธานในพิธีเปิดสมาคมวิชาการนิเทศศาสตร์และการสื่อสารมวลชน แห่งประเทศไทย ที่ห้อง 111 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตอนหนึ่งว่า

“วิกฤตการเมืองของไทยส่วนหนึ่งเริ่มต้นมาจากการพยายามควบคุมปิดกั้นสื่อมวลชน สุดท้ายผู้ที่ไม่ยอมรับกับผู้ที่มีอำนาจก็โดนบีบจนหมดทางเลือกไปเรื่อยๆ และนำไปสู่การนำความขัดแย้งมาสู่ถนน”

“จากนั้นก็มีการพัฒนาสื่อเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ให้ผู้ที่มีความเห็นตรง กันมีจุดรวมข่าวสารในการเคลื่อนไหวทางการเมือง ในเมื่อฝ่ายหนึ่งทำได้อีกฝ่ายก็ทำได้เช่นกัน”

“วันนี้จะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติของสื่อและเทคโนโลยี ทำให้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นคือสงครามข่าวสาร”

“ความพยายามการแก้ไขและสร้างสมานฉันท์ในเรื่องนี้ฝ่ายวิชาการบางฝ่ายเสนอกับ ตนว่าต้องเริ่มบัญญัติสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ๆด้วย เช่น การปลุกระดมความเกลียดชังแม้จะไม่นำไปสู่การกระทำผิดกฎหมายอย่างในปัจจุบัน ที่ต้องเริ่มควบคุม แต่มันยากเพราะหากกระทำแบบนั้นจะเกิดปัญหาว่าผู้ที่มีอำนาจอาจใช้กติกาใหม่ ในทางที่ผิดในการจำกัดสิทธิ ที่สุดแล้วปัญหาทั้งหลายหากจะแก้โดยกฎหมายนั้นคงไม่ได้เพราะเรื่องนี้มัน อยู่ที่วัฒนธรรมผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สังคมจะก้าวข้ามความขัดแย้งนี้ไปได้”

“การนำเสนอข้อเท็จ จริงที่ควรใช้ภาษาที่เป็นกลางเพื่อให้รับทราบข้อมูลและจุดใดคือการเสนอความ เห็นตรงนี้เพื่อให้ผู้รับสารนำไปใช้ดุลพินิจพิจารณาเองมันจะช่วยได้มาก การเสนอความเห็นนั้นจะใช้ทักษะทางภาษาในการโน้มน้าวผู้รับสารนั้นตนถือว่า เป็นศิลปะที่จะทำอย่างไรก็ได้ ตนไม่ค่อยเชื่อเรื่องความเป็นกลางในการแสดงความเห็นในเรื่องราวต่างๆเพราะ ทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเองที่ต้องการให้ทุกฝ่ายยอมรับ”

“คอลัมน์ต่างๆนั้นตนไม่ติดใจเลย เพราะเป็นพื้นที่แสดงความเห็นและวิเคราะห์ น.ส.พ.บางฉบับหน้า 3 เขียนคอลัมน์ 6 วันไม่เคยเขียนถึงตนในเรื่องดีในรอบกว่า 10 เดือนนี้แต่ไม่เป็นไรเพราะเป็นสิทธิของฝ่ายนั้น ตรงนี้ทำให้ตนก็รู้ว่าศัตรูของตนคิดอย่างไรอยู่ และตนวางแผนได้ง่ายขึ้น”


(ที่มา ไทยรัฐ ,28 พฤศจิกายน 2552)

หยุนฉางผู้ยอมหักไม่ยอมงอ

ที่มา thaifreenews

ถ้าเอ่ยชื่อว่า “หยุนฉาง” แล้วถามว่าคือใครในหนังสือสามก๊ก ก็คงจะน้อยคนนักที่จะรู้จัก แต่ถ้าเอ่ยชื่อว่า “กวนอู” ทุกคนก็คงจะร้อง อ๋อ..และพยักหน้ารู้จักกันทุกคน กวนอู มีชื่อรองว่า “หยุนฉาง” บางทีก็เรียกชื่อว่า “กวน หยุงฉาง อู” ใครก็ตามที่ได้อ่านหนังสือสามก๊ก จะเห็นว่าในนั้นมีเรื่องราวที่เป็นอุทาหรณ์และเกร็ดประวัติที่น่านำมา พิจารณากันไม่น้อยทีเดียว.. ตัวละครที่ปรากฎอยู่ในนั้นล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง และสามารถนำมาเป็นบทเรียนได้อย่างดี......เฉกเช่นเดียวกันกับเรื่องราวของ กวน หยุนฉาง อู ผู้ยอมหักไม่ยอมงอผู้นี้......



กวน หยุนฉาง อู เป็นขุนพลคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการก่อร่างสร้างตัวของ เล่าปี่ และยังเป็น “น้องรอง” ของ 3 พี่น้องแห่งสวนท้อ อีกด้วย.. กวนอูเป็นผู้ที่มีหลักการ, เป็นคนซื่อสัตย์ในสิ่งที่ตนเองศรัทธาอย่างไม่เปลี่ยนแปลง และที่สำคัญกวนอูเป็นคนกล้าหาญและหยิ่งในเกียรติของตนอย่างที่สุด...ครั้ง เมื่อถูกลกซุน บัญฑิตแห่งกังตั๋ง ล้อมจับโดยใช้อุบาย ทำให้ตกลงไปในหลุมและถูกจับได้ ตนเองก็ยังไม่ยอมแพ้ แต่ยอมให้ซุนกวนตัดหัวอย่างกล้าหาญ..สิ่งที่กวนอูได้กระทำเมื่อหลายพันปีที่ แล้วส่งผลให้ในทุกวันนี้ กวนอูได้รับการยกย่องประดุจเทพเจ้า..

มีคำกล่าวว่า “คนกล้าตายครั้งเดียว...ส่วนคนขลาดนั้นตายหลายครั้ง” ภายหลังการถึงอาสัญกรรมของท่านนายกสมัคร สุนทรเวช มีคนมากมายที่แสดงออกถึงการสดุดี... มีบทความมากมายที่เขียนถึงเรื่องราวของท่าน โดยเฉพาะพี่น้องผู้ที่เคารพยกย่องให้ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ท่านหนึ่งของการ ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประเทศนี้...

ผมเป็นเพียงชั้นลูกชั้นหลาน ของท่านแต่ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในบุคคลิก และความเป็นคนตรงไปตรงมาของท่าน...สิ่งที่จดได้ไม่เคยลืมก็คือการที่ ท่านออกรายการ “ทำอาหารชิมไปบ่นไป” ลีลาการพูดที่เป็นเอกลักษณ์ และเป็นเพียงท่านเดียวที่ตั้งแต่หนุ่มจนสูงวัยท่านก็ยังคงไปเดินจ่ายตลาด ด้วยตนเองสม่ำเสมอ... แม้ท่านจะถูกวางเอาไว้ว่าเป็นบุคคลที่อยู่ฝ่ายศักดินาเพราะบรรพบุรุษของท่าน สืบเชื้อสายมาดังนั้น แต่ดูเหมือนว่าท่านกลับรู้จักและเข้าใจพีน้องคนหาเช้ากินค่ำ และคนรากหญ้ามากเสียยิ่งกว่านายกรัฐมนตรีบางท่านที่เที่ยวประกาศว่า “ตนเองเป็นลูกหลานคนจน” เสียด้วยซ้ำ...

หลัง จากที่ท่านนายกสมัครได้พ้นจากภาระงานทางการเมืองในฐานะสมาชิกวุฒิสภา...ที่ แม้จะไม่ได้มีโอกาสแสดงฝีมือเพราะถูกรัฐประหารไปเสียก่อน แต่ด้วยความที่ท่านเป็นบุคคลที่ไม่อยู่นิ่งเฉยท่านจึงไปดำเนินงานเป็นพิธีกร รับเชิญในรายการหลายรายการที่ท่านชื่นชอบ... ท่านนายกสมัครห่างหายไปจากบทบาทวงการเมืองระยะหนึ่ง แต่หลังจากที่เกิดการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 การเมืองไทยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่เป็นการรัฐประหารเพียงเพื่อเปลี่ยนขั้วอำนาจเหมือนเดิมดังเช่นอดีตที่ ผ่านมา...แต่การรัฐประหารในคร้งนี้เป็นการทำลายประเทศกันเลยทีเดียว

ท่าน นายกสมัครเป็นบุคคลที่ปากกับใจตรงกัน พูดจาโผงผาง ไม่มีลับลวงพราง รักความถูกต้องยุติธรรม มั่นคงและจริงใจกับสิ่งที่ท่านเคารพเชื่อถือ และด้วยบุคคลิกเช่นนี้เองทำให้ท่านมีทั้งคนรัก และคนชังมากมาย กลุ่มหนึ่งที่มักจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับท่านเสมอ ๆ ก็คือ “สื่อมวลชน” หลายต่อหลายครั้งที่สื่อมวลชนติดตามทำข่าวท่านในหลายกรณี แล้วถูกท่านพูดจาตอบโต้อย่างคนไม่ยอมคน จนถึงกับต้องมาเขียนบทความเหน็บแนมท่านลับหลัง...

การยอมเข้ามารับ ตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชนในครั้งล่าสุดนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดว่าท่านนายกสมัคร รักประชาชนและศรัทธาความยุติธรรมเพียงไร ท่านเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองที่กำลังถูกโจมตีว่า “เป็นนอมินีของคนขายชาติ” แต่ท่านก็ยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งดุจดังหินผา เหมือนดังต้นไม้ใหญ่ที่ยืนทนงต้านลมพายุรุนแรงให้กับนกกาเล็ก ๆ ได้เกาะอาศัยคุ้มภัย ในยามที่ภัยร้ายกำลังกล้ำกรายมาเยือน...


ไม่ มีใครปฏิเสธได้อย่างแน่นอนว่า ท่านนายกสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ก่อร่างให้การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประเทศนี้ได้เกิดขึ้นได้ อย่างเป็นรูปเป็นร่าง และยืนหยัดมั่นคงเติบใหญ่มาได้จนถึงขณะนี้...ถ้าในวันนั้นหัวหน้าพรรคพลัง ประชาชนไม่ใช่คนที่ชื่อสมัคร สุนทรเวช วันนี้พลังของผู้ที่รักประชาธิปไตยและต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของประเทศนี้ อาจจะไม่สามารถเติบโตกล้าแข็งได้ถึงเพียงนี้

แม้ความตายจะไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะมาถึงเมื่อใด..แต่สำหรับผมเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า “ถ้า ท่านนายกสมัคร ไม่เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชนและขับเคลื่อนการต่อสู้เพื่อ ประชาธิปไตยในครั้งนั้นท่านจะยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกนาน” การจากไปของท่านนายกสมัครในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความอำมหิตเฮียมโหดของเผด็จการอมาตย์ที่ได้พยายามทำลายความ เป็นประชาธิปไตย และจะไม่ยอมให้ประชาชนไทยได้มีโอกาสเงยหน้าอ้าปากทัดเทียมกับชาติ ประชาธิปไตยอื่นๆ ได้ เผด็จการอมาตย์จะทำทุกวิถีทางที่จะกดขี่ให้ทุก ๆ คนในชาติต้องตกอยู่ภายใต้อุ้งมืออำมหิตนี้และจะไม่ยอมปล่อยให้หลุดพ้นไปได้ ...ถ้าใครขืนเข้ามาขวางทาง “การสูญเสียอย่างใหญ่หลวง” ก็จะเกิดขึ้นกับคน ๆ นั้น...

ท่านนายกสมัคร ได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชน โดยให้เหตุผลว่า “ได้ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคและรักษาระบอบประชาธิปไตยอย่างดีที่สุดแล้ว จึงขอยุติบทบาททางการเมือง”... คำพูดนี้แสดงถึงนัยยะที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจของท่านอย่างชัดเจน...แต่อย่างไรก็ตามด้วยความ “หยิ่งในเกียรติ” จึงไม่เคยมีคำพูดในด้านลบใด ๆ ต่อแรงกดดันนั้น ผ่านออกมาจากปากของท่าน จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิต...

ใคร จะรู้ได้ว่าภายใต้ชุดขาวเต็มยศที่ห่อหุ้มร่างที่นอนสงบนิ่งของท่านนายกสมัคร สุนทรเวช อยู่ที่ศาลาร้อยปี ณ วันเบญจมาบพิตรนั้น ร่าง ๆ นี้ได้ผ่านพบและเผชิญสิ่งใดมาบ้างในบั้นปลายชีวิตก่อนที่ท่านจะจากไป... ภายใต้ใบหน้าอันสงบเย็นนั้น ท่านได้เก็บงำความลับและความภักดีอันใดไว้บ้าง... ภายใต้ดวงตาที่ปิดสนิทนั้น..ท่านได้เคยหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ เพราะถูกแรงบีบคั้นในยามที่อยู่ตามลำพังหรือไม่... ริมฝีปากที่ปิดสนิท ที่ได้เคยตอบโต้และแสดงความจงรักภักดีอย่างที่สุดนั้น ได้ปิดไปแล้วตลอดกาลแต่ทว่าภายใต้ริมฝีปากนั้นมีอะไรอีกมากมายหรือเปล่าที่ ท่านไม่อาจกล่าวออกมาเป็นถ้อยคำได้....

กวนอูยอมถูกตัดศีรษะแต่ไม่ ยอมคุกเข่าให้กับ ซุนกวน แม้ตนเองจะพ่ายแพ้ในศึกฉันใด...ท่านนายกสมัคร สุนทรเวช ได้ยืนหยัดประกาศตนเองว่า “จะไม่ยอมให้ความยุติธรรมเข้ามาครอบงำประเทศนี้” แม้ตนเองจะต้องกล้ำกลืนฝืนทนต่อความยากลำบากและแรงกดดันรอบด้าน จนในที่สุดท่านก็ต้องเสียชีวิต เฉกเช่นเดียวกับ กวนอู ฉันนั้น....

ถ้า กวน หยุนฉาง อู ผู้หยิ่งในเกียรติได้รับการยกย่องว่าเป็น “เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์” ก็คงจะไม่แปลกถ้า ผมจะยกย่องท่านนายกสมัคร สุนทรเวช ผู้หยิ่งในเกียรติ์เช่นกันว่า เป็น “นายกสมัครผู้ยอมหักไม่ยอมงอ”

น้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อรู้ว่าได้สูญเสียแม่ทัพประชาธิปไตยนั้นคงน้อยกว่าที่จะบอกเป็นถ้อยคำที่ว่า สิบนิ้วนี้ขอกราบคารวะที่หัวใจของแม่ทัพประชาธิปไตย ที่ชื่อสมัคร สุนทรเวช “ผู้ยอมหักไม่ยอมงอ”

ปูนนก

ยุคบูชาเทพ

ที่มา thaifreenews

บทความโดย..ลูกชาวนาไทย


ไม่มีอะไร เขียนเล่นๆ

วันนี้เขียนเรื่องศาสนานิดหน่อยนะครับ

เพราะผมนับถือศาสนาพุทธ พระพุทธองค์สอนไม่ให้นับถือ ผีสาง เทวดา บูชาเทพเจ้า อะไรพวกนี้
ให้ยึด พระำพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง

ส่วนศาสนาคริสต์ อิสลาม เขาไม่บูชาคนธรรมดาเป็นเทพเจ้า ถือเป็บบาปด้วย

มีแต่ศาสนาฮินดูเท่านั้นที่สอนว่า เทพเจ้าอวดารมาเกิด อะไรพวกนี้ ก็มีการบูชายันต์บวงสรวงเทพเจ้าประจำ เรียกว่างมงายเลยก็ได้ เพราะหากได้ผลจริง คนอินเดียคงรวยทุกคน หรือขึ้นสวรรค์ทุกคนแล้ว


แต่ไทยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ

การบูชาเทพเจ้าพระพุทธเจ้าไม่ให้เอาเป็นสรณะ


ไม่รู้่ตอนนี้นับถือศาสนาอะไรกันบ้าง กราบไหว้บูชาแล้วได้ขึ้นสวรรค์ักันหรือเปล่า
ก็ไม่ แล้วทำไปทำไม อวิิชชาโดยแท้

ผมดูหน้งเรือ่ง "เซียนกระบี่พิชิตมาร"
ที่หลิวอี้เฟยแสดง

ตัวร้ายในเรื่องคือ "เจ้าลัทธิบูชาจันทร์" สอนให้ประชาชนงมงาย เป็นต้น

วันนี้ขี้เกียจเขียนเรืองที่เป็นสาระ ก็ตั้งกระทู้่เรือยเปื่อย ไม่มีจุดหมายครับ

เขียนเล่นๆ ไม่มีอะไร

คือ พอตาสว่าง แล้ว เห็นอะไร มันรู้สึกสะทกสะท้อนใจ เรามีพุทธศาสนาที่สอนให้คนเราเลิกงมงายแท้ๆ แต่บางทีประชาชนก็งมงาย หลงไปกับการบูชาเทพเจ้า สุดท้ายก็ไม่ต้องทำอะไรกันทั้งปีทั้งชาติ บูชาเทพ สรรเสริญเทพเจ้ากันอยู่นั่นแล้ว

ทำไปเพื่อทำไม ทำแล้วได้ขึ้นสวรรค์หรือไม่ ทำแล้วเป็นทาสหนักกว่าเดิม

สู้ "ปล่อยวาง หลุดพ้น ดีกว่า"

อย่างนี้ถึงจะเรียก 'ตุลาการภิวัตน์'

ที่มา Thai E-New


โดย ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์
ที่มา เวบไซต์ Pub-law.net
ภาพจาก คุณ met, คุณเซียร์ ไทยรํฐ และ มติชนออนไลน์
30 พฤศจิกายน 2552

ไม่ว่าใครก็ตาม ที่ได้อ่านคำแปลการให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุน เซ็น เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ถ้าไม่ทราบมาก่อนว่า นั่นคือคำให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุน เซ็น ก็คงนึกว่า เป็น “ส่วนหนึ่ง” ของการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล เพราะมีความ “ดุเด็ดเผ็ดมัน” ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจเท่าไรเลยครับ!!!

มีหลายส่วนของคำแปลการให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ที่ผมอ่านแล้ว ก็ต้องนำกลับมาคิดทบทวนดูหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแยกความโกรธแค้นและผลประโยชน์ส่วนตัว ออกจากผลประโยชน์ของประเทศชาติ การตั้งรัฐบาลโดยการได้เสียงสนับสนุนมาอย่างไม่เหมาะสม รวมไปถึงการรัฐประหารในบ้านเราด้วยครับ

ใครจะว่าอย่างไรก็สุดแล้วแต่ แต่สำหรับผม ผมว่า คำให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุน เซ็น ทำให้เราต้องมาคิดกันใหม่อีกรอบถึง “ท่าที” ของต่างประเทศที่ “มอง” ประเทศไทยว่า เขามองเราอย่างไร!!!


เราอาจคิดอยู่เสมอว่ากัมพูชานั้น “ด้อย” กว่าเราในทุก ๆ เรื่อง เราจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเขา แต่ไปมุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับประเทศใหญ่ ๆ




แต่ในวันนี้ คนในประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชาก็ได้ “ระเบิด” ความรู้สึกของตนที่มีต่อประเทศไทย และต่อรัฐบาลไทยออกมาให้ชาวโลกได้รับรู้ และก็เป็นเรื่องที่แปลก เพราะสื่อต่างชาติให้ความสนใจกับสิ่งที่สมเด็จฮุน เซ็น พูดกันมาก


ประเด็นที่เป็นสิ่งที่ต้องนำมาวิเคราะห์ก็คือ การที่สมเด็จฮุน เซ็น แสดงความไม่เห็นด้วย กับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ที่ไม่สอดคล้องกับหลักการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกใช้กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรัฐประหาร การตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่ขัดกับหลักการของระบอบประชาธิปไตย การสร้างประเด็นทางการเมืองด้วยการหยิบยกเรื่องบางเรื่องขึ้นมาโดยหวังผลให้มีการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้อง


หลาย ๆ สิ่งที่สมเด็จฮุน เซ็น พูดออกมา สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่มาจากผู้นำของประเทศเล็ก ๆ ที่เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขาเท่าไรนัก การพูดของสมเด็จฮุน เซ็น ทำให้ผมมานั่งนึกดูว่า แล้วประเทศอื่น ๆ เขาคิดอย่างนั้นกับเราด้วยหรือไม่


การไม่พูด ไม่ได้หมายความว่า เขายอมรับหรือเห็นด้วย แต่อาจจะไม่มี “โอกาส” ที่จะพูดเหมือนสมเด็จฮุน เซ็น ก็ได้


หากจะให้ผมเดาคำตอบก็คงเดาได้ว่า แนวคิดเรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง คงไม่ต่างกันเท่าไร ระหว่างสมเด็จฮุน เซ็น กับประมุขของชาติอื่น ๆ เพราะหลักการดังกล่าว เป็นหลักการสากล ที่บรรดาผู้บริหารประเทศและพลเมือง ต่างก็คงต้องมีความรู้ความเข้าใจกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เอง ที่ผมคิดว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย ก็คงยอมรับการรัฐประหาร หรือการเข้าร่วมกับคณะรัฐประหาร หรือการยืมมือคณะรัฐประหาร มาทำลายศัตรูทางการเมืองของตนไม่ได้ครับ

พร้อม ๆ กับข่าวการให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุน เซ็น มีผู้ที่ผมคุ้นเคยคนหนึ่ง ได้เล่าให้ฟังถึง “ความกล้า” ของผู้พิพากษาคนหนึ่ง ที่ออกมาปฏิเสธการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549


โดยเมื่อวันที่ 28 กันยายน ที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาที่ อม.9/2552 ในคดีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ โดยศาลได้มีคำพิพากษา ให้ลงโทษจำคุกนายยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นเวลา 2 เดือน และปรับ 4 พันบาท แต่เนื่องจากไม่ปรากฏว่า นายยงยุทธ ติยะไพรัช เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี

เรื่องคงไม่มีอะไรมาก หากไม่มีผู้พิพากษาคนหนึ่ง ได้แสดงความเห็นของตนไว้ในคำวินิจฉัยส่วนตัว โดย 1 ใน 9 ผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คือ นายกีรติ กาญจนรินทร์ ได้กล่าวไว้ในคำวินิจฉัยส่วนตัว ซึ่งผมขอคัดลอกมานำเสนอไว้ในที่นี้ ดังนี้

“ปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีอำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้อง) คดีนี้หรือไม่ เห็นว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ศาลเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นของประชาชน ศาลจึงต้องใช้อำนาจดังกล่าวเพื่อประชาชนอย่างสร้างสรร ในการวินิจฉัยคดี เพื่อให้เกิดผลในทางที่ขยายขอบเขตการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และหากศาลไม่รับใช้ประชาชน ย่อมทำให้ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมถูกท้าทายและสั่นคลอน

นอกจากนี้ ศาลควรมีบทบาทในการพิทักษ์ความชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงพันธกรณีในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จากการใช้อำนาจโดยมิชอบ และพันธกรณีในการปกปักรักษาประชาธิปไตยด้วย

การได้อำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือการได้อำนาจในการปกครองประเทศ โดยความไม่ยินยอมพร้อมใจจากประชาชนส่วนใหญ่ เท่ากับเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย การปฏิวัติหรือรัฐประหาร เป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ย่อมเป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย

หากศาลรับรองอำนาจของบุคคล หรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้ว เท่ากับศาลไม่ได้รับใช้ประชาชน จากการใช้อำนาจโดยมิชอบ และเพิกเฉยต่อการปกปักรักษาประชาธิปไตยดังกล่าวมาข้างต้น ทั้งเป็นการละเลยหลักยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่า บุคคลใดจะรับประโยชน์จากความฉ้อฉล หรือความผิดของตนเองหาได้ไม่ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหาร เป็นวงจรอุบาทว์อยู่ร่ำไป ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นช่องทางให้บุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าว ยืมมือกฎหมายเข้ามาจัดการสิ่งต่างๆ

ข้อเท็จจริงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ปัจจุบันอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์ นานาอารยะประเทศส่วนใหญ่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่ยอมรับอำนาจที่ได้มาจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ฉะนั้นเมื่อกาละและเทศะในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้วจากอดีต ศาลจึงไม่อาจที่จะรับรองอำนาจของบุคคล หรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติ หรือรัฐประหารว่าเป็นรัฎฐาธิปัตย์

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปเช่นกันว่า ผู้ร้องประกอบด้วยคณะกรรมการที่เป็นผลพวงของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) แต่ คปค. เป็นคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหาร เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 จึงเป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย ดังเหตุผลข้างต้น ย่อมไม่อาจถือได้ว่า เป็นรัฏฐาธิปัตย์ แม้จะได้รับการนิรโทษกรรมภายหลังก็ตาม หาก่อให้เกิดอำนาจที่จะสั่งการ หรือกระทำการใดอย่างรัฏฐาธิปัตย์

ผู้ร้องประกอบด้วยคณะบุคคล ที่เป็นผลพวงของ คปค. ย่อมไม่มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามการทุจริต พุทธศักราช 2542 ด้วยเช่นกัน ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้อง) คดีนี

อำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้อง) เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ปัญหาว่า ผู้คัดค้านจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและเอกสาร ประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย”


ในประเทศไทย เรามีการรัฐประหารมาแล้วกว่า 10 ครั้ง แต่ละครั้ง ก็จะมีการออกคำสั่งหรือประกาศมาใช้บังคับ และเมื่อประเทศเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว คำสั่งหรือประกาศเหล่านั้น ก็ยังมีผลใช้บังคับต่อไป ภายใต้ชื่อเดิม คือประกาศของคณะปฏิวัติ ผมยังจำได้ว่า สมัยที่ทำวิทยานิพนธ์อยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างปี พ.ศ. 2525 – 2530 ผมได้อ้างประกาศของคณะปฏิวัติฉบับหนึ่งไว้ในวิทยานิพนธ์ด้วย ซึ่งก็มีปัญหาอย่างมาก เมื่อแปลคำว่า ประกาศของคณะปฏิวัติออกมาเป็นภาษาฝรั่งเศส อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ไม่ยอมเข้าใจเรื่องดังกล่าว อธิบายอย่างไรก็ถูกโต้ตลอด จนกระทั่งในที่สุด ก็ต้องเขียนคำอธิบายเอาไว้ด้วยว่า ประกาศของคณะปฏิวัติ มีสถานะอย่างไร


แม้กระทั่งตอนที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เข้ามาให้ความช่วยเหลือทางวิชาการกับประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2540 – 2542 ก็มีการถกเถียงกัน คือ เรื่องการให้สัมปทานสาธารณูปโภค ที่กำหนดไว้ในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ว่า คืออะไรกันแน่ และทำไมถึงมีสภาพบังคับอยู่ทั้ง ๆ ที่การปฏิวัติก็จบสิ้นลงไปนานแล้ว


ดังนั้น ปัญหานี้ต้องทำความเข้าใจก็คือ บรรดาคำสั่งหรือประกาศของคณะปฏิวัติรัฐประหาร ที่มีสภาพบังคับเช่นกฎหมาย ถือเป็นกฎหมายโดยชอบด้วยระบอบประชาธิปไตย ที่จะนำมาใช้ต่อไปภายหลังช่วงเวลาของการปฏิวัติรัฐประหารได้หรือไม่ ครับ


ที่มาของความชอบธรรมของคำสั่งหรือประกาศของคณะปฏิวัติรัฐประหาร เกิดจากศาลฎีกาครับ!!!




คำพิพากษาฎีกาที่ 1662/2505 ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อใน พ.ศ. 2501 คณะปฏิวัติให้ทำการยึดอำนาจปกครองประเทศไทยได้เป็นผลสำเร็จ หัวหน้าคณะปฏิวัติ ย่อมเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบ้านเมือง ข้อความใดที่หัวหน้าคณะปฏิวัติสั่งบังคับประชาชน ก็ต้องถือว่าเป็นกฎหมาย แม้พระมหากษัตริย์จะมิได้ทรงตราออกมา ด้วยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎรหรือสภานิติบัญญัติของประเทศก็ตาม ฉะนั้น ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 21 ซึ่งประกาศคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิวัติ บังคับแก่ประชาชนดังกล่าว จึงเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในการปกครองในลักษณะเช่นนั้นได้ จำเลยจึงอาศัยอำนาจตามประกาศฉบับนี้ ทำการจับกุมควบคุมโจทก์ได้โดยชอบ”


คำพิพากษาดังกล่าว ถูกนำมาใช้เป็นฐานในการรองรับการใช้อำนาจในการออกกฎหมายของคณะรัฐประหารเรื่อยมา จนกระทั่งทุกวันนี้


ในบรรดากฎหมายระดับพระราชบัญญัติ ที่ใช้บังคับอยู่ในประเทศไทยกว่า 600 ฉบับ เรามีกฎหมายที่ใช้ชื่อว่า ประกาศของคณะปฏิวัติหรือของคณะรัฐประหารอยู่กว่า 55 ฉบับ กฎหมายเหล่านี้ เป็นกฎหมายที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติที่ถูกต้อง ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ก็ยังมีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน น่าแปลกใจไหมครับ ที่ประเทศประชาธิปไตยแบบเรายินยอมใช้กฎหมายที่ออกโดยคณะปฏิวัติแม้การปฏิวัติจะจบสิ้นไปแล้ว!!!


เมื่อผู้พิพากษาคนหนึ่งในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้แสดงความเห็นของตนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้อย่างชัดเจน ถึงการไม่ยอมรับการรัฐประหารและอำนาจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหาร ก็ย่อมเป็นสิ่งที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่มี “ผู้กล้า” ออกมาบอกด้วยเสียงอันดังว่า การปฏิวัติรัฐประหาร เป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย


ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผมจึงได้นำเสนอข้างต้นว่า บรรดาคำสั่งและประกาศต่าง ๆ ของคณะรัฐประหารนั้น “สมควร” หรือไม่ ที่จะนำมาใช้ต่อไป ภายหลังจากที่การรัฐประหารจบลง และเราได้กลับเข้าไปสู่ระบอบประชาธิปไตยตามเดิมครับ!!!


มองย้อนกลับไปข้างหลัง เมื่อเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีการออกคำสั่งและประกาศจำนวนมาก ที่นำมาใช้กับการดำเนินกิจการทางการเมืองในช่วงเวลาดังกล่าว เช่น การยุบพรรคไทยรักไทย เป็นต้น ซึ่งต่อมา ก็เกิดสิ่งที่มีผู้เรียกว่า “ตุลาการภิวัตน์” ในประเทศไทย ที่หมายถึงการที่ตุลาการ เข้ามามีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาการเมืองของประเทศ


กระแสตุลาการภิวัตน์ ถูกนำมาอ้างในหลาย ๆ โอกาส ที่มีการพิจารณาพิพากษาคดีที่ “ลงโทษ” นักการเมืองอีกฝ่ายหนึ่ง ตุลาการบางคนก็ออกมา “ขานรับ” ในเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง จนมีนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง ต้องออกมาท้วงติงว่า ฝ่ายตุลาการมีหน้าที่เพียงพิจารณาพิพากษาคดีตามกฎหมาย และไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับ “การเมือง” เพราะสักวันหนึ่ง กระแสตุลาการภิวัตน์ จะย้อนกลับมา “ทำลาย” ตุลาการที่ออกมานอกกรอบเหล่านั้น


ในวันนี้ เมื่อผมได้อ่านคำวินิจฉัยส่วนตัวของคุณกีรติ กาญจนรินทร์ แล้วก็รู้สึกว่า ผมได้พบกับ “ตุลาการภิวัตน์” ของแท้และของจริงแล้วครับ


เพราะการที่นักกฎหมายคนหนึ่ง ออกมาชี้ให้สังคม มองเห็นโครงสร้างของรัฐ และระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นคนละทิศทางกับที่ศาลฎีกาได้เคยวางบรรทัดฐานเกี่ยวกับการปฏิวัติรัฐประหารเอาไว้แล้ว ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1662/2505 และก็คนละทิศทางกับที่บรรดาศาลทั้งหลาย ก็ได้วางบรรทัดฐานเอาไว้อีกใ นกระบวนการตุลาการภิวัตน์ที่เกิดขึ้นมา ตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่ผู้พิพากษาคนนี้ ก็กล้าที่จะนำเสนอสิ่งที่ “ถูกต้อง”


ความกล้าที่จะนำเสนอสิ่งที่ถูกต้องด้วยระบอบประชาธิปไตยดังกล่าว จึงเป็นสิ่งที่น่ายกย่องและชื่นชมเป็นอย่างมาก
ที่ผมต้องขอแสดงความคารวะอย่างจริงใจไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

ต่อจากนี้ไป ก็คงเป็นหน้าที่ของนักวิชาการ ที่จะนำความเห็นดังกล่าวไปเผยแพร่ ไปใช้สอนหนังสือ เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันว่า การรัฐประหาร เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและไม่ควรยอมรับ นักกฎหมายที่ดีก็ไม่ควรเข้าไปข้องแวะกับเรื่องดังกล่าว คำวินิจฉัยส่วนตัวนี้ จะเป็นสิ่งที่ถูกนำไปใช้อ้างอิงมากอย่างไม่น่าเชื่อในวันข้างหน้าครับ!!!


ใครที่คิดจะทำรัฐประหารอีก ก็อย่าลืมเอาคำพิพากษานี้ไปอ่านก่อนนะครับ จะได้รู้ว่า สิ่งที่ตนจะทำนั้น เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 และหากยังดื้อทำการรัฐประหาร ผู้ทำรัฐประหารและผู้สมรู้ร่วมคิด ก็จะกลายเป็น “ผู้ทำลายระบอบประชาธิปไตย”!!! ครับ


นอกจากนี้แล้ว นักกฎหมายทั้งหลาย และบรรดาสมาชิกรัฐสภา คงต้องมาช่วยกันคิดแล้วว่า จะปล่อยให้คำสั่งหรือประกาศของคณะรัฐประหาร มีผลใช้บังคับต่อไปหรือไม่ อย่างน้อยก็คงต้องเริ่ม “อาย” กันบ้างแล้วนะครับ ที่ประเทศที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ใช้กฎหมายที่มีชื่อว่าประกาศของคณะปฏิวัติ!!!


ส่วนตุลาการภิวัตน์ “รุ่นเก่า” คงต้องหยุดกันเสียทีนะครับ สร้างความเข้าใจผิดและสับสนให้กับสังคมมามากแล้ว


วันนี้เจอ “ตุลาการภิวัตน์” ของแท้และของจริงเข้า เปรียบเทียบกันดูก็ได้ จะได้รู้กันไปเลยว่า ตุลาการอาชีพและนักกฎหมายที่ดีนั้น คืออะไร


แถลงการณ์ชาวเชียงใหม่ผู้รัก ปชต.ถึง อภิสิทธิ์ 'โมฆะบุรุษ ปชต.'

ที่มา Thai E-News


โดย คุณกำลังดี
ที่มา เวบบอร์ด ประชาไท
29 พฤศจิกายน 2552

แถลงการณ์ชาวเชียงใหม่ผู้รักประชาธิปไตย
ศูนย์ประสานงานกลาง แดงเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตย
ณ. อนุสาวรีย์สามกษัตริย์
วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “ โมฆะบุรุษประชาธิปไตย” ที่ชาวเชียงใหม่ไม่ต้อนรับ

เรียน พี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน

ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ประกาศงดการเดินทางเข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนชาวเชียงใหม่ ในการเข้ามายึดโพเดียมเพื่อปาฐกถา และรับรายงานการประชุมสัมมนาหอการค้าในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ โดยบอกว่า จะหาทางเข้ามาจังหวัดเชียงใหม่อีกครั้งหากมีโอกาส

ในนามของประชาชนชาวจังหวัดเชียงใหม่ เราขอประกาศว่า หากไม่มีหัวโขนในตำแหน่งนายกฯที่ปล้นแย่งชิงอำนาจไปจากของประชาชน พวกเรายินดีต้อนรับนายอภิสิทธิ์ ในการเดินทางมาเชียงใหม่เป็นการส่วนตัว ในฐานะประชาชนคนไทยผู้หนึ่ง ที่มีสิทธิ์ในการเดินทางไปไหนได้ทั่วประเทศตามกฎหมาย

แต่การประท้วงขับไล่นายอภิสิทธิ์ของชาวเชียงใหม่ในครั้งนี้ เราประท้วงนายอภิสิทธิ์ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่พวกเราเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ ได้มาโดยไม่ชอบธรรม ได้มาโดยไม่เป็นประชาธิปไตย ได้มาโดยการเหยียบย่ำระบอบการปกครองของประเทศชาติ ที่เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

นายอภิสิทธิ์ได้ตำแหน่งนายกฯ มาจากการร่วมมือกับเผด็จการทหารไม่กี่คน ที่ปฏิวัติรัฐประหารล้มรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน เมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นการสืบทอดอำนาจของเหล่าขุนนางอำมาตย์ตกยุคล้าหลัง ที่ไม่มีหัวใจประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่นายอภิสิทธิ์ ประกาศตัวตนว่า เป็นคนประชาธิปไตย เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเก่าแก่ทางฟากฝั่งประชาธิปไตย ที่ความจริง น่าจะเป็นหัวหอกในการต่อสู้กับเหล่าเผด็จการขุนทหาร ที่ทำร้ายประเทศชาติให้ถอยหลังตกต่ำมาทุกยุคทุกสมัย

แต่เพียงแค่ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยสักครั้งหนึ่งในชีวิต โดยไม่คิดถึงหัวใจหลักของประชาธิปไตย คือต้องมาจากประชาชน โดยไม่คิดว่า ประเทศชาติจะเสียหายเท่าไหร่ โดยไม่คิดว่า จะเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญทัดเทียมนานาอารยะประเทศอย่างไร นายอภิสิทธิ์กลับมีพฤติกรรมทำตัวเป็นขี้ข้าเผด็จการ รับใช้อย่างนอบน้อมกับคนชั่ว แต่กลับขึงขังบ้าอำนาจ ทำร้ายพี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตย

พฤติกรรมเยี่ยงนี้ของนายอภิสิทธิ์ จึงไม่อาจเรียกเป็นอย่างอื่นไปได้ นอกจากคำว่า นายอภิสิทธิ์ “โมฆะบุรุษประชาธิปไตย ”

ดังนั้นในนามประชาชนชาวจังหวัดเชียงใหม่ เราจึงขอประกาศไม่ต้อนรับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในการเดินทางมาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ทุกกรณี หากนายอภิสิทธิ์ยังอยู่ในตำแหน่ง นายกฯขี้ข้าเผด็จการ

แถลงการณ์มาให้เป็นที่รับทราบโดยทั่วกัน

ชาวเชียงใหม่ผู้รักประชาธิปไตย
ศูนย์ประสานงานกลาง แดงเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตย

ชมภาพของท่านโจนาทานภาพ ...กลุ่มแดงเชียงใหม่ เดินขบวนต้านมาร์ค ที่เชียงใหม่ ได้จาก ลิงก์

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จดหมายจากคุณยายUSAถึงหลานลิ้ม-ทหารไทย

ที่มา Thai E-News


โดย คุณยายศรีลัดดา คาลิฟอร์เนีย
29 พฤศจิกายน 2552

บุชนำสหรัฐฯไปสู่ความล้มละลายหมดความน่าเชื่อถือ เราชาวอเมริกันก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่เฝ้ารอให้เวลาของการเป็นประธานาธิบดีของเขาสิ้นสุดลง ไม่มีการทำรัฐประหารยึดอำนาจขับไล่ผู้นำในสหรัฐฯ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้นำประเทศที่สร้างความระทมทุกข์ให้พวกเราปานใด...อะไรคือความแตกต่างระหว่างประชาธิปไตยของไทยกับสหรัฐฯ?...ก็กองทัพไทยไม่สามารถที่จะทนรอให้ทักษิณอยู่ในตำแหน่งนายกฯจนครบเทอมนั่นแหละ





เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ยายยังนอนอยู่บนเตียง ตอนที่เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังลั่น ก็ได้แต่แปลกใจว่าใครกันนะโทรมาหาตั้งแต่เช้าอย่างนี้ อ้อที่จริงเป็นลูกสาวที่อยู่ในยุโรปนั่นเอง
"แม่คะ รีบเปิดทีวีตอนนี้เลย เกิดสิ่งที่น่าสพรึงกลัวมากในนิวยอร์ก!!"


ในตอนนั้นยายก็เลยได้เปิดโทรทัศน์ดู แล้วยายก็ได้เห็นภาพของตึกคู่แฝดกำลังโดนโจมตีจากเครื่องบินโดยสาร แล้วตึกทั้งสองก็ค่อยพังครืนลงมา คนที่ติดอยู่ในตึกเวิล์ดเทรดพากันกระโดดหนีเอาชีวิตรอดจากหน้าต่างที่สูงถึงระดับ 100 ชั้น

มันเป็นภาพที่ทารุณโหดร้าย สำหรับใครที่ได้เห็นเป็นประจักษ์พยานแก่สายตาคงจะไม่มีวันลืมเลือนลงได้ ประธานาธิบดีจอร์จดับเบิ้ลยูบุชรีบเข้ามาบัญชาการแก้ไขวิกฤตการณ์หนนั้น และได้ประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้าย โดยเฉพาะกับบินลาเด็น

ประชาชนชาวอเมริกันทั้งชาติพากันให้การสนับสนุนบุชในเวลานั้น เขาอ้างว่าจะจับตัวบินลาเด็นให้ได้ และจะนำเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

แต่อย่างไรก็ตามหลังจากไล่กวดจับบินลาเด็นนานนับปี บุชก็เปลี่ยนเป้าหมายไปยังซัดดัม ฮุสเซน ประธานาธิบดีอิรักแทน โดยอ้างว่าซัดดัมครอบครองอาวุธมหาประลัยนิวเคลียร์พร้อมที่จะใช้โจมตีสหรัฐ!! บุชและเชนนี่,คอนโดรีสซ่า ไรซ์ และนายพลพาวเวลล์พยายามโน้มน้าวให้สหประชาชาติเชื่อว่าซัดดัมเป็นภัยคุกคามต่อโลก

ในตอนแรกประชาชนอเมริกันก็เออออไปกับบุช แต่เมื่อหลายปีผ่านไป และมีการทุ่มเทเงินไปหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อการสงคราม แต่ทว่าสงครามในอิรักก็ยังดำเนินต่อไปไม่มีทีท่าจะยุติลงให้เห็นแต่อย่างใด บินลาเด็นก็ถูกลืมๆไปแล้ว ประชาชนก็จึงพากันต่อต้านคัดค้านสงครามนี้

เมื่อการปลุกความรักชาติเริ่มต้นขึ้น ใครที่ไม่สนับสนุนกิจการสงครามก็จะถูกกล่าวหาตราหน้าว่า"ไม่รักชาติ"เหมือนๆกันในทุกที่ หลังผ่านไป 8 ปีของระบอบปกครองของบุชในตำแหน่งประธานาธิบดี ประชาชนชาวอเมริกันก็พบกับความจริงว่า บุชนำพาประเทศชาติไปสู่ความล้มละลาย และทำให้ความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯสูญสิ้นลง

เราในฐานะประชาชนชาวอเมริกันก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่เฝ้ารอให้เวลาของการเป็นประธานาธิบดีของบุชสิ้นสุดลง ไม่มีการทำรัฐประหารยึดอำนาจขับไล่ผู้นำในสหรัฐฯ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้นำประเทศที่สร้างความระทมทุกข์ให้พวกเราปานใด

เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 ยายได้เดินทางกลับไปกรุงเทพฯ แล้วก็เปิดทีวีติดตามดูการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยายมีความสุขซะจริงที่โอบาม่าชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีแบบฟ้าถล่ม

อะไรคือความแตกต่างระหว่างประชาธิปไตยของไทยกับสหรัฐฯ...กองทัพไทยไม่สามารถที่จะทนให้ทักษิณอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนครบเทอมนั่นแหละ

นี่แหละคือสิ่งที่เป็นความผิดพลาดที่เลวร้ายที่สุด เมื่อมีการประกาศข่าวการยึดอำนาจรัฐประหารในประเทศไทยผ่านเครือข่ายโทรทัศน์CNN ยายก็แทบจะไม่อยากเชื่อเลย เพื่อนบ้านของยายเองก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับประเทศซึ่งอ้างว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ในประทศที่ได้ชื่อว่า"สยามเมืองยิ้ม"ทว่าตอนนี้กลายเป็น"สยามเมืองเศร้า"ไปเสียแล้ว

อีกเรื่องหนึ่งที่อยากพูดถึงก็คือว่า เมื่อคืนนี้ยายนอนไม่หลับเมื่อเห็นนายสนธิ ลิ้มทองกุลกล่าวประณามอดีตนายกฯสมัครผู้ล่วงลับ

ดูซิแม้แต่ผู้ที่วายชนม์ลงแล้วก็ยังไม่อาจพ้นพิษร้ายของเขาได้ จนยายอยากฝากไปถึงสนธิและพวก"สมุนนักเลงอันธพาล"ซักหน่อย

นายสนธิเอ๋ย นายอ้างตลอดเวลาว่านายกับพรรคพวกเป็นเพียงคนพวกเดียวที่พิทักษ์รักษาสนับสนุนราชบัลลังก์ คนที่เหลือในประเทศไม่มีใครเลยที่"รักชาติ"

กลุ่มก๊วนการเมืองของนายที่ชื่อ พธม.ย่อมาจาก"พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย"มันก็เลยเป็นแค่เรื่องตลก เพราะนายไม่รู้จักความหมายประชาธิปไตยที่แท้

สิ่งที่นายกระทำลงไปนั้นไม่เป็นผลดีอะไรเลยกับประเทศชาติบ้านเมือง แต่กลับเป็นการทำลายชาติในทุกทาง ทั้งเศรษฐกิจ เมื่อพวกนายกับพวกเสื้อเหลืองเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล และสนามบินนานาชาติ และฉุดเอาสถาบันลงต่ำการจากแอบอ้าง เมื่อไหร่ที่นายเปิดปาก มันก็ไม่มีอะไรหรอก นอกจากการพ่นพิษร้ายโทสจริตจิตอาฆาตโกรธเกลียด

นายสาปแช่งประนามอดีตนายกฯสมัคร แต่นายรู้หรือไม่ ยายหละกลัวเสียจริงว่า จุดจบจวนเจียนมาถึงนายแล้ว มันไม่ง่ายเลยสำหรับนาย เพราะอภิสิทธิ์กับรัฐบาลฉ้อฉลของเขาคงไม่มีอำนาจไปตลอดกาลหรอก เมื่อพวกเขาล้มลงนายก็คงต้องล้มลงตาม

นายฉุดรั้งเอาศีลธรรมของคนไทยลงสู่ห้วงเหวแห่งความตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย นายมันไม่ใช่อะไรซักอย่างนอกเสียจากเจ้าหมาบ้าจอมสกปรกที่ไร้ศีลธรรมอย่างที่ไม่เคยมีใครเป็นอย่างนี้มาก่อน ยายหละรังเกียจกับพฤติการณ์ และเล่ห์กระเท่สกปรกของนายเสียจริง ไปลงนรกซะเถอะ

จากคุณยายผู้น่ารักของนาย/แคลิฟอร์เนีย

********
เกี่ยวกับคุณยายศรีลัดดา แคลิฟอร์เนีย


คุณยายศรีลัดดา ขณะนี้อายุ 86 ปี อยู่อาศัยในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

สมัยยังสาวๆเคยทำงานด้านการบินที่กรุงเทพฯเป็นเวลา 21 ปี ก่อนจะย้ายมาอยู่ในสหรัฐฯในปีพ.ศ.2515 จนปัจจุบันร่วมๆ37ปีแล้ว

สมัยอยู่เมืองไทยครอบครัวของคุณยายศรีลัดดาเป็นชาวพรรคประชาธิปัตย์ ถึงขนาดสมาชิกในครอบครัวเคยลงสมัครส.ส.ของพรรคเก่าแก่นี้ ในช่วงที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ยังเป็นผู้นำพรรคอยู่ แต่เวลานี้คุณยายบอกว่าน่าเศร้าใจและผิดหวังกับพรรคประชาธิปัตย์ ช่างน่าละอายใจกับพรรคที่เคยมีเกียรติคุณชื่อเสียงกลับมามีพฤติกรรมฉ้อฉลในตอนนี้

ปัจจุบันนี้คุณยายอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมกับแมวตัวหนึ่งชื่อจัสมิน(ชื่อไทยๆว่า"ดอกมะลิ") และไม่รู้สึกเหงาเลย เพราะเมื่อ 2 ปีก่อนได้หัดใช้อินเตอร์เน็ต แล้วก็ใช้อินเตอร์เน็ตติดตามข้อมูลข่าวสารทางเมืองไทยได้คล่อง ตอนนี้คุณยายดีใจมากเลยที่ได้ท่องอินเตอร์เน็ตท่องโลก

ตอนนี้อินเตอร์เน็ตก็ทำให้คุณยายสามารถคุยกับลูกสาวและสามีของเธอที่อาศัยอยู่ในฝรั่งเศส หลานๆในเยอรมนี และเพื่อนๆในอเมริกาได้สบาย แน่นอนว่ารวมถึงข้อมูลข่าวสารทางเมืองไทยด้วย

*************
ต้นฉบับภาษาอังกฤษที่คุณยายเขียน

On Sept 11 2001, I was still in bed when the phone rang. I was wondering who would call so early in the morning.Turned out to be my daughter in Europe.She said.."Mom, turn on your tv, something terrible is happening in New York!!".

I got up at once,turned on the tv and that's when I saw the picture of the Twin Towers being attacked by an airplane.Then the building started to collapse, people jumping out of the windows from the 100th floor.

It was the most horrible sight that for those who witnesed the incident would never forget it.Bush rushed to the site atonce, and declared war on the terrorist, especially Bin Laden .

The whole nation supported him at that time.He claimed he will catch Bin Laden and bring him to justice.Well, after chasing Bin Laden for a year, Bush switched his target to Sadam Husane instead, claiming Sadam had nuclear weapons,ready to use it against US!! He and Chenny, Condirisa Rice, Gen.Powell tried to convince the UN to beleive that Sadam was athreat to the world.

At first most people went along with him,but when severl years and billions of dollars went by and the war seems to go on and on with no ends insight,Bin Laden was forgotten, people start to protest against the war.That was when the patriot games started.

Anybody who did not support the war was "Unpatriotic" sounds familiar?After eight years of Bush Administration,people realized that he had led the country to bankruptcy and lost US credability.

we the people had no choice but had to wait until his presidency term came to an end, no coup d'tat here in the US.no matter how unhappy we were.In November 2008, I was in Bangkok, glued to the tv, watching the election in US.

I was so happy when Obama won with a landslide. Now that is the differnce between Thai Democracy and the US. The military could not wait for Taksin's term to end in a couple of years.

That was their worst mistake. When the news of the coup in Thailand was annouced on CNN, I could'nt believe it.My neigbors could'nt understand how could it happen in the country that claim to be a Democracy like Thailand. Now, "Siam the land of Smile" is now.."Siam the land of Grief"That is all for now.


last night I could'nt sleep thinking about Sondhi cursing Samak.Even a dead man could not escape from his venoms, so here is a message for him and his "samoon nak-leng an-ta-parn"

Nai Sondhi,You always claim that you and your party are the only one that protect and support the Instition, the rest of the country is "unpatriotic" mai rak chart.

Your party's name is The PAD..meaning "People Alliance for Democracy",it is a joke because you do not know the meaning of Democracy.

So far you have done nothing good for the country but have caused more damagesto the country in every way,the economy,when you and the Yellowshirt took the Government House and the airpors, dragging down the Institutions by using their name.Every time you open your mouth,there is nothing but VENOMS.

You cursed Samak wishing him to go to hell,but you know,I am afraid when your end comes ,it would not be easy for you.Abhisit and his corrupted government are not going to be in power forever.When they go down you are going down wwith them.

You have dragged down the level of conscience of Thai people to the lowest level in the history of Thailand.You are nothing but the meanest, dirtiest rabid dog who has no conscience whatsoever.I am so disgusted with your actions and your dirty tactis, so go to hell! from your loving grandma.

sawasdee ka, Khun Yai from California..

ได้เฉพาะหน้า เสียอำนาจรัฐ

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_49717

แผนระดมคนเสื้อแดง 1 ล้านคน

ตามที่แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประกาศดีเดย์ เผด็จศึก

นัดชุมนุมใหญ่ปิดล้อมทำเนียบฯ ขับไล่รัฐบาลภายใต้ การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ วันที่ 28 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 2 ธันวาคม

ที่สุดก็ต้องยกเลิก เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด

หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชา วีดิโอลิงค์เข้ามาในที่ประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย

ส่งสัญญาณชัดๆว่า ได้บอกให้ 3 เกลอ แกนนำเสื้อแดง ทบทวนเรื่องการจัดชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดง เพราะเป็นห้วงเวลาที่ไม่เหมาะสม

ขณะที่นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานกลุ่ม นปช. ก็ออกมาประกาศตามหลัง ตามคำสั่งของ "นายใหญ่"

แกนนำ นปช.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้เลื่อนการชุมนุมออกไปโดยไม่มีกำหนด จากเดิมที่จะชุมนุมใหญ่ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน ถึง 2 ธันวาคม

เป็นการสั่งสอนรัฐบาลที่ขาดวุฒิภาวะ ประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรทั่วกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 14 ธันวาคม คาบเกี่ยวกับการจัดงานมหามงคล

รวมทั้งแสดงให้เห็นว่า คนเสื้อแดงมีความรับผิดชอบ และเทิดทูนสถาบัน

อย่างไรก็ตาม แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงจะนัดหารือเพื่อกำหนดท่าทีในการเคลื่อนไหวอีกครั้งในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้

สรุปก็คือ ต้องพับแผนการชุมนุมไปก่อน

ส่วนเหตุผลที่แท้จริงในการยกเลิกการชุมนุมใหญ่ในครั้งนี้ เป็นเพราะแกนนำคนเสื้อแดง มีจิตสำนึกรับผิดชอบ สั่งยกเลิกเอง

หรือเป็นเพราะ "นายใหญ่" สั่งให้ยกเลิก

เนื่องจากเห็นชัดว่า กระแสสังคมไม่เอาด้วย เพราะเป็นการจัดชุมนุมในห้วงคาบเกี่ยวกับการจัดงานฉลองวันมหามงคล ไม่รู้จักกาลเทศะ

หรือเป็นเพราะรัฐบาลเล่นไม้แข็ง ประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษา ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ

เป็นเรื่องที่สังคมต้องใช้วิจารณญาณพิจารณากันเอง

แง่มุมไหน มีน้ำหนักมากกว่ากัน

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนหน้าที่รัฐบาลจะประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ และ "นายใหญ่" จะส่งสัญญาณให้ทบทวน

มีเสียงท้วงติงมาตลอดว่าห้วงเวลาที่แกนนำ นปช.นัดชุมนุมประท้วง ไม่ถูกกาลเทศะ

แต่แกนนำกลุ่มเสื้อแดงก็ไม่ฟังเสียง กระเหี้ยนกระหือรือที่จะจัดชุมนุมกันให้ได้ในวันที่ 28 พฤศจิกายน ถึง 2 ธันวาคม

ทำให้รัฐบาลต้องงัดไม้แข็งออกมาป้องปราม

ด้วยการประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ ทั่วกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน ถึง 14 ธันวาคม บูรณาการใช้กำลังทหาร ตำรวจ เข้าควบคุมสถานการณ์ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย

เพราะเป็นห้วงที่รัฐบาลเตรียมจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม

จนกระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ วีดิโอลิงค์ส่งสัญญาณให้แกนนำกลุ่มเสื้อแดงทบทวนการจัดชุมนุมใหญ่ นำมาสู่การประกาศยกเลิกการชุมนุม

ท่ามกลางเสียงถอนหายใจโล่งอกของสังคม ที่ไม่ต้องการเห็นเหตุการณ์ความวุ่นวายเกิดขึ้นในห้วงวันมหามงคลของคนไทยทั้งประเทศ

แน่นอน การขยับของ พ.ต.ท.ทักษิณในครั้งนี้ ในแง่มุมหนึ่งเหมือนต้องการฉายภาพให้เห็นถึงความจงรักภักดี

สอดรับกับการที่ดึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีต ผบ.ทบ.และอดีตนายกฯ เข้ามาเป็นประธานพรรคเพื่อไทย

รวมถึงการดึงอดีตนายทหาร นายตำรวจ เพื่อนร่วมรุ่น เตรียมทหารรุ่น 10 เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย

เป้าหมายหลักก็เพื่อที่จะให้เป็นตัวช่วย ลบภาพที่ถูกโจมตีเรื่องไม่จงรักภักดี

แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง การออกมาส่งสัญญาณให้แกนนำกลุ่มเสื้อแดงยกเลิกการจัดชุมนุมใหญ่ ก็เท่ากับเปิดหน้าโชว์ตัวว่า

เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง

ในขณะที่แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงบางคน มักแสดงพฤติกรรมที่หมิ่นเหม่ในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันอยู่บ่อยๆ

รวมทั้งตั้งตัวเป็นศัตรูกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อย่างเปิดเผยออกหน้าออกตา

เงื่อนปมเหล่านี้ จึงทำให้สังคมไม่แน่ใจว่า การสั่งให้แกนนำกลุ่มเสื้อแดงยกเลิกการชุมนุมครั้งนี้ ทำด้วยความจริงใจ หรือ เป็นแค่ยุทธวิธี รุก รับ ถอย ตามสถานการณ์

เพราะที่ผ่านมาก็อย่างที่เห็น พ.ต.ท.ทักษิณพยายามขับเคลื่อนเดินเกมทุกวิถีทาง เพื่อให้บรรลุยุทธศาสตร์ที่ตัวเองต้องการ

นั่นก็คือ ได้กลับประเทศไทยโดยไม่ต้องติดคุกในคดีอาญา และได้ขุมทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ที่ถูกอายัดไว้คืน

ยิ่งการตัดสินคดียึดทรัพย์งวดเข้ามา การเดินเกมเคลื่อนไหวก็ยิ่งเพิ่มความร้อนแรงขึ้นเป็นทวีคูณ

ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยุทธวิธี ยืมมือประเทศเพื่อนบ้านกดดันประเทศไทย อย่างกรณีของประเทศกัมพูชา ที่นายกฯฮุน เซน แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชา

นำมาสู่การลดความสัมพันธ์ทางการทูต กลายปัญหาขัดแย้งระหว่างประเทศมาจนถึงทุกวันนี้

ขณะเดียวกัน ก็ใช้ยุทธวิธีขับเคลื่อนเดินเกมการเมืองในประเทศกดดันรัฐบาล ทั้งในสภาและนอกสภา

ในสภาก็อย่างที่เห็นๆกัน ใช้เครือข่าย ส.ส.พรรคเพื่อไทย ตีรวนการพิจารณากฎหมายต่างๆ นับองค์ประชุม วอล์กเอาต์ จนเกิดปัญหาสภาล่มซ้ำซาก

ส่วนนอกสภา ก็มีการโฟนอิน วีดิโอลิงค์ เข้ามาปลุกระดมมวลชนคนเสื้อแดง ให้ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลทุกรูปแบบ

วางเป้า โค่นล้มรัฐบาล ทำลายระบบอำมาตย์

เพิ่มอำนาจต่อรอง เพื่อให้บรรลุยุทธศาสตร์ที่ตัวเองต้องการ

แต่สุดท้ายแล้วจะเดินไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่สังคมต้องติดตามกันต่อไป

อย่างไรก็ตาม มาถึงวันนี้ เมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงประกาศยกเลิกการชุมนุมใหญ่ ก็ถือว่าทำให้บรรยากาศของบ้านเมืองในห้วงจัดงานฉลองวันมหามงคล สามารถดำเนินไปได้ ด้วยความราบรื่นเรียบร้อย

สังคมโล่งใจ คลายกังวลกันไปได้เปลาะหนึ่ง

ขณะเดียวกัน สำหรับสถานการณ์ร้อนๆ จากกรณีที่นายกฯอภิสิทธิ์มีโปรแกรมจะเดินทางไปร่วมงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 27 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน

เพื่อรับฟังปัญหาและแนวทางให้การสนับสนุนภาคเอกชนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว

ท่ามกลางการปลุกระดมต่อต้านจากกลุ่มคนเสื้อแดง "รักเชียงใหม่ 51" ที่ประกาศจะระดมคนเสื้อแดงทั่วภาคเหนือมาขับไล่

รวมไปถึงการโหมกระแส "ลอบสังหารนายกฯ"

ทำให้ฝ่ายความมั่นคง ไล่ตั้งแต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว. กลาโหม แม้กระทั่งนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ต้องออกมาเตือนแกมขอร้อง

ไม่อยากให้นายกฯอภิสิทธิ์ไปเสี่ยงตาย

เพราะรู้ๆกันอยู่ จังหวัดเชียงใหม่เป็นรังใหญ่ของคนเสื้อแดง อาจเกิดปัญหาความรุนแรง ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้นำรัฐบาล

ถ้า "อภิสิทธิ์" จะไปจริงๆ ก็อาจถึงขั้นต้องประกาศ พ.ร.บ. รักษาความมั่นคงฯในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรักษาความปลอดภัย

ยิ่งมีการตรวจค้นบ้าน จับกุมการ์ดของกลุ่มคนเสื้อแดงจังหวัดเชียงใหม่ เจอระเบิดปิงปอง 6,000 ลูก และอาวุธปืนขนาดต่างๆอีก 6 กระบอก สถานการณ์ยิ่งไม่น่าไว้วางใจ

ในที่สุด นายกฯอภิสิทธิ์ก็ตัดสินใจไม่เดินทางไปร่วมประชุมหอการค้าที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยให้เหตุผลว่า

คณะกรรมการหอการค้าไทยได้มีมติขอให้ระงับการเดินทางไปร่วมสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ เพื่อลดโอกาสที่จะเพิ่มความขัดแย้ง ความวุ่นวาย และความปลอดภัยของนายกฯและผู้เข้าร่วมสัมมนา

รวมทั้งอาจเกิดเหตุที่เป็นผลกระทบกับบรรยากาศของเศรษฐกิจและบรรยากาศของจังหวัดเชียงใหม่

พร้อมทั้งออกตัวว่า จริงๆแล้วค่อนข้างมั่นใจว่าปลอดภัย แต่คิดว่ามีความเสี่ยงในเรื่องของความเดือดร้อนของเจ้าหน้าที่หรือผู้เข้าร่วมประชุม เพราะผู้ชุมนุมต้องการให้เกิดปัญหา

อีกทั้งมองว่า บรรยากาศกำลังมาดีๆ การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่กรุงเทพฯก็ยกเลิกแล้ว ทุกคนอยากจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ไม่อยากมีจุดเสี่ยงถ้าเกิดอะไรขึ้นจะเสียบรรยากาศ

แน่นอน การที่นายกฯอภิสิทธิ์ตัดสินใจไม่ไปจังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นการลดการเผชิญหน้า ป้องกันเหตุการณ์รุนแรงประเภทน้ำผึ้งหยดเดียว

เมื่อเป็นการตัดสินใจ เพื่อป้องกันเหตุเฉพาะหน้า ก็ถือว่าพอรับได้

แต่ในระยะยาว ถ้านายกฯอภิสิทธิ์ไม่สามารถเดินทางไปปฏิบัติภารกิจในจังหวัดอื่นๆที่เป็นพื้นที่ของคนเสื้อแดงได้

นั่นก็เท่ากับเสียสภาวะการนำ กระทบต่อสถานะการเป็นฝ่ายบริหารประเทศ

อำนาจรัฐหมดไป

สภาพความเป็นรัฐไทยล้มเหลว ก็จะเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ.


"ทีมการเมือง"

นายกฯ สวมเสื้อเกราะอ่อนเปิด “ชุมชนดี มีรอยยิ้ม” ฝ่ายความมั่นคงอารักขาเข้ม

ที่มา ประชาไท

วันแรกของการใช้ พ.ร.บ. ความมั่นคง สถานการณ์ยังปกติ “นายกอภิสิทธิ์” สวมเสื้อเกราะอ่อนเปิดกิจกรรม “ชุมชนดี มีรอยยิ้ม” ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ส่วนที่เชียงใหม่เสื้อแดงเดินขบวนไม่ต้อนรับนายก/เสื้อแดงหนองบัวลำภู ยกพลขับไล่ มท.2“จตุพร”ระบุเสื้อแดงเตรียมลงพื้นที่เพิ่มมวลชน

สำนักข่าวไทย รายงานว่าเช้าวันนี้ (28 พ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเป็นประธานเปิดกิจกรรม ชุมชนดี มีรอยยิ้มครั้งที่ 5 ที่ สำนักระบายน้ำ และสำนักงานเขตพระนคร ร่วมกับ บริษัท ไทย เบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จัดขึ้นเพื่อร่วมถวายเป็นพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามโครงการ รอยยิ้มของคนไทย คือรอยยิ้มของพ่อบริเวณด้านหลังพระแม่ธรณีบีบมวยผมสนามหลวง
เป็น สิ่งที่ดี ที่วันนี้มาเห็นรอยยิ้มของคนไทย มาร่วมกันทำความดี และมีความรักสามัคคี ในการรักษาสิ่งแวดล้อม เชื่อว่า รอยยิ้มและความสามัคคีที่เกิดขึ้น จะสร้างความสุขให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงอยากให้คนไทยมีความสามัคคีกันนายกรัฐมนตรี กล่าว
จากนั้น นายกรัฐมนตรีร่วมกับประชาชน เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร นักเรียน และทหาร ทำความสะอาด บริเวณคลองคูเมืองเดิม (คลองหลอด) และบริเวณทางเท้าโดยรอบสนามหลวง พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด มีการวางกำลังเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังบนตึกสูง โดยเฉพาะพื้นที่รอบสนามหลวง ขณะที่ นายกรัฐมนตรีสวมเสื้อเกราะอ่อน มีเสื้อยืดคอกลมสวมทับไว้
ต่อ มา เวลา 10.00 น. นายกรัฐมนตรีเดินทางไปเปิดงานเพลินจิต แฟร์ ที่ โรงเรียนShrewsbury ถ.เจริญกรุง โดยนายกรัฐมนตรีได้ร่วมทำกิจกรรม อาทิ เตะฟุตบอลให้เข้าช่องวงกลม ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ปะลองทักษะการเตะฟุตบอล ร่วมกับเอกอัคราชทูตอังกฤษ ประจำประเทศไทย
เสื้อแดงเชียงใหม่เดินขบวนไม่ต้อนรับนายก
28 พ.ย. 52 สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น รายงานว่า กลุ่มรักเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตย ร่วม 100 คน นำโดย นายวีระพล มรกต รองเลขาธิการศูนย์ประสานงานกลาง กลุ่มรักเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตย ทยอยรวมตัวชุมนุม บริเวณสนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ ก่อนเดินขบวนรณรงค์เคลื่อนไหวทางการเมือง โดยชูป้าย ชาวเชียงใหม่ไม่ต้อนรับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ แม้ว่า นายกฯ จะยกเลิกการเดินทางเข้าร่วมงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศที่ จ.เชียงใหม่ แล้วก็ตาม อย่างไรก็ตาม นายธีระพล กล่าวว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าว เป็นไปตามกำหนดการเดิม เพื่อแสดงจุดยืนของกลุ่มคนเสื้อแดงเชียงใหม่ ที่ไม่ต้อนรับนายกฯ แต่ก็ต้องขอบคุณที่ นายกฯ เห็นแก่บ้านเมือง ทำให้ไม่มีการเคลื่อนไหวรุนแรงเกิดขึ้นใน จ.เชียงใหม่
ทั้งนี้ ขบวนรณรงค์จะเดินไปตามถนนท่าแพ รอบคูเมืองเชียงใหม่ สี่แยกกลางเวียง และไปสิ้นสุดที่ลาน อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ โดยไม่ผ่านบริเวณหน้าโรงแรมเลอ เมอร์ริเดียน ที่ใช้ในการประชุมสัมมนาแต่อย่างใด ขณะที่ การเคลื่อนไหวของกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 วันนี้ นายเพชรวรรต วัฒนพงษ์ศิริกุล แกนนำกลุ่ม ได้ประกาศงดการเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่เปิดเวทีรับบริจาคเงิน เพื่อทำบุญอุทิศให้กับ นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ ที่เสียชีวิตลง
เสื้อแดงหนองบัวลำภู ยกพลขับไล่ มท.2
เว็บไซต์ไทยรัฐ รายงานว่าเวลา 16.30 น. ของวันนี้ หลังจากทราบข่าวการเดินทางมามอบผ้าห่มกันหนาวให้แก่ผู้ประสบภัยหนาวใน พื้นที่ จ.หนองบัวลำภู ที่หอประชุม อบต.หนองสวรรค์ อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู ของ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย บรรดาชาวกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือกลุ่มคนเสื้อแดง จำนวนกว่า 150 คน ได้พากันมาร่วมขบวนถือป้ายต่อต้านนายบุญจง โดยใช้รถขยายเสียงและพากันเดินเท้าเพื่อจะเข้าไปในบริเวณงาน แต่ถูกตำรวจ นำโดย พล.ต.ต.สุพรรณ ประเสริฐสม ผบก.ตร.จ.หนองบัวลำภู นำกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนพร้อมโล่ห์และอุปกรณ์กว่า 300 นาย มาตั้งจุดสกัดที่ถนนทางเข้า อบต.หนองสวรรค์ โดยชาวเสื้อแดงได้มาชุมนุมกันตั้งแต่เวลา 13.00 น.
จนกระทั่ง เฮลิคอปเตอร์ของ นายบุญจง มาถึงและลงจอดที่สนามฟุตบอลหน้า สนง.อบต.หนองสวรรค์ บรรดาคนเสื้อแดงต่างพากันควักหัวใจตบ เท้าตบ และป้ายออกมาตะโกนขับไล่แต่ไม่สามารถฝ่าแนวกั้นของตำรวจไปได้จากนั้น นายบุญจง ได้กล่าวปราศรัยเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลด้านต่าง ๆ ก่อนทำพิธีมอบผ้าห่มให้กับนายก อบต. 3 แห่ง ซึ่งเป็นตัวแทนของชาวบ้านที่มารับมอบจำนวน 1,500 ผืน ก่อนจะเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์
โดยที่คนเสื้อแดงยังคงยืนเกาะรั้ว สนง.อบต.หนองสวรรค์ ร้องตะโกนขับไล่อยู่ จนกระทั่งเฮลิคอปเตอร์บินขึ้นจึงพากันหยุดและสลายตัวกลับบ้านในที่สุด
เสื้อแดงปรับยุทธศาสตร์เคลื่อนไหวปูพรมดาวเทียมเหนือ-อีสาน
ด้านเว็บไซต์มติชน รายงานว่านาย จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) แกนนำ นปช. กล่าววันที่ 28 พฤศจิกายนว่า หลังเสร็จช่วงการจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันสุดท้ายคือวันที่ 13 ธันวาคม แกนนำคนเสื้อแดงจะมีการประเมินสถานการณ์กันอีกครั้งสำหรับการนัดชุมนุมใหญ่
แหล่งข่าวจากแกนนำคนเสื้อแดงเปิดเผยว่า แกนนำคนเสื้อแดงได้หารือกันเพื่อปรับยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหว ภายหลังจากประกาศเลื่อนการชุมนุมใหญ่ออกไปแบบไม่มีกำหนด ล่าสุด ได้ปรับแนวทางให้แกนนำคนเสื้อแดงลงพื้นที่ไปทำงานจัดตั้งในพื้นที่ต่าง จังหวัด เพื่อเสริมความแข็งแกร่งเรื่องมวลชนเพิ่มเติม โดยจะมีการรื้อฟื้นรูปแบบของ โรงเรียน นปช.-แดงทั้งแผ่นดินขึ้นมาอีกครั้ง
นอกจากนั้นมีแผนที่จะติดตั้งจานดาวเทียมที่รับสัญญาณสถานีโทรทัศน์พี เพิลชาแนล เพิ่มเติมในพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ โดยประสานกับบริษัทตัวแทนจำหน่ายจานดาวเทียมและติดตั้งจานดาวเทียม ให้สั่งจานดาวเทียมที่รับสัญญาณในเครือข่าย ซียูแบนด์ หรือจานดำ ราคาถูกจากจีนเข้ามา จำนวน 10,000 จาน โดยจะจัดจำหน่ายราคาเพียงจานละ 1,300 บาท และเสียค่าติดตั้งเพียง 700 บาท
พ.ร.บ.ความมั่นคงฯวันแรกยังปกติ ทหาร-ตร.ตรึงกำลัง
เว็บไซด์โลกวันนี้ รายงานว่าวันนี้ (28 พ.ย.) ซึ่งเป็นวันแรกของการประกาศใช้พรบ.มั่นคง พล.ต.ดิฏฐพร ศศะสมิต โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ทหารยังเตรียมพร้อมในที่ตั้ง เพราะไม่มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่พร้อมเคลื่อนพลทันทีหากมีเหตุฉุกเฉิน แต่จากการข่าวขณะนี้สถานการณ์ยังคงเป็นปกติด้าน พ.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะโฆษกศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงมีการตั้งด่านทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานครใน ช่วงกลางคืน ส่วนกำลังพลส่วนอื่นยังอยู่ในที่ตั้งและพร้อมเคลื่อนไหวทันที

สุดท้ายเรื่องกัมพูชา เมื่อรัฐบาลนี้ หายบ้า "แล้วก็คงต้องหาทางแก้ปัญหาต่อไป"

ที่มา thaifreenews

บทความโดย..ลูกชาวนาไทย



ก็บ้าไปชั่วขณะเท่านั้นกับรัฐบาลนี้ กับยุทธศาสตร์ปลุกกระแสชาตินิยม ที่คิดว่าจะจุดติด
แต่สุดท้ายก็คิดผิด เป็นจุดไม่ติด

เมื่อจุดไม่ติดแล้ว ก็ต้องกลับเข้าสู้ "ชีวิตแ้ห่งความเป็นจริง" ที่ต้องหาทางแก้ปัญหาครับ

ครัั้งก่อนแก้ปัญหา กรณี กษิต โดย "เอาโบารณวัตถุไปคืนเขมร" สิบกว่าชิ้น

เชื่อผมเถอะว่าอีกไม่นาน จะมีมาตรการ "ประจบเอาใจกัมพูชา" ออกมา เพื่อหาทางคืนดี ด้วย

แบบซื้อขนม "ง้อเพื่อน" อะไรประมาณนี้

แต่ผมคิดว่า ประเทศอาเซียนและรัฐบาลหลายประเทศเขาเลือกข้างไปนานแล้วว่า เขาไม่แคร์รัฐบาลชุดนี้

สุดท้ายก็คงพยายาม "เงียบ" เพื่อปกปิดปัญหากันต่อไป

รัฐบาลแบบนี้ อยู่ต่อไป ก็ทำให้สถาบันต่างๆ เสื่อมและ อายุสั้นลงไปเรือยๆ

อยากอยู่ผมก็ไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่ เพราะเป็นรัฐบาลอำมาตย์ ยิ่งอยู่ "อำมาตย์ใหญ่ยิ่งเสื่อม"

รัฐบาลเหลืองเข้ม

ที่มา สยามรัฐ

โดย จักรดาว บุณยดิษฐ์27/11/2552

2มาตรฐาน จะเป็นวาทกรรมทางการเมืองที่ตอกย้ำให้เห็นถึงความ อยุติธรรมในสังคมเราอีกครั้งหนึ่งจาก อำนาจรัฐ ที่มักจะเป็น กับดัก ของผู้ขึ้นมาบริหารบ้านเมือง

รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศเป็นสัญญาประชาคมว่า จะเป็นรัฐบาลของประชาชนทั่วประเทศ แต่แล้วธาตุแท้ก็เปิดให้เห็นแก่นของขั้วหัวใจว่า เขาเป็นรัฐบาลสีเหลือง และเริ่มเพิ่มความเหลืองขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนขณะนี้เป็นรัฐบาลเหลืองเข้ม-เข้ม

เขาได้แปรสภาพจาก แนวร่วม ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในการโค่นล้มศัตรูทางการเมืองอย่างรัฐบาลทักษิณและนอมินี พอครองอำนาจนานวันเข้า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็น แก่นแกน ของการบดขยี้ขบวนการเสื้อแดงและพลพรรคทักษิณ โดยมีคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อเขียวเป็น แนวร่วม

ฉะนั้น วินาทีนี้ ขั้วความขัดแย้งในสังคมที่ก่อวิกฤติทางการเมืองแจ่มชัดยิ่ง ขั้วแรกคือขั้วรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์กับขั้วคุณทักษิณ การเมืองของเราจึงวางฐานอยู่บนการต่อสู้ที่เข้มข้น-รุนแรง

รัฐบาลมาร์คจึงไม่ใช่รัฐบาลที่เป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศ แต่เป็นรัฐบาลของคนเสื้อเหลืองและกลุ่มอำมาตยาธิปไตย เห็นคนเสื้อแดง คนรากหญ้า พรรคเพื่อไทยและรากเหง้าของคุณทักษิณเป็น ศัตรู

เครือข่ายทักษิณ ต้องการโค่นล้มรัฐบาลมาร์ค ภายใต้ความเชื่อและเรียกร้องความเป็นธรรม ประกาศตัวว่าเป็นนักประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม ทว่าก็ซ่อนปมผลประโยชน์ทั้งทางอำนาจทางการเมืองและอำนาจของกระบวนการยุติธรรมด้วยการปลด โซ่ตรวน ทั้งทางคดีและเงินตรา

ความปรองดอง หรือ ความสมานฉันท์ มันจึงเป็นเพียงประติมากรรม น้ำลาย เป็นเพียงกลยุทธ์ในการเอาชนะศัตรูทางการเมืองเท่านั้น

สงคราม เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในสังคมแล้ว และจะเห็นความรุนแรงที่ปรากฎและที่ซ่อนเร้น รอวันปะทุ-ระเบิด นำสู่ความสูญเสียชีวิต-เลือดและน้ำตา

สิ่งที่เจ็บช้ำน้ำใจและปวดร้าวก็คือ ทั้งสองขั้วอำนาจที่ต่อกรกัน ต่างก็อ้างสถาบันสูงสุดอันเป็นที่รักยิ่งของมวลมหาประชาชน นำมาใช้เป็น เครื่องมือ นำมาเป็นอาวุธที่สาดใส่อีกขั้วอำนาจหนึ่ง ด้วยความไม่ระมัดระวังและใส่ใจ-รักษาและเทิดทูลจริง-จริง

เฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลที่เคยเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จับปืนต่อสู้กับอำนาจรัฐ มีอุดมการณ์ที่ตรงกันข้ามกับระบอบประชาธิปไตย ไม่เลื่อมใส-ศรัทธาสถาบันใด-ใด มาวันนี้ทิ้งปืนเข้าสู่แวดวงทางการเมืองทั้งในระบบรัฐสภาและการเมืองข้างถนน กลับมาบอกว่า ตัวเองเทิดทูล-จงรักภักดี สุดจิตสุดใจ แล้วอีกฝ่ายหนึ่ง-ไม่ว่าจะแดงหรือเหลืองก็ตาม ไม่จงรักภักดี จนเกิดคำถามว่า พวกนี้กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ???

อำนาจพิเศษและบริสุทธิ์ของสถาบันอันเป็นที่รัก นับเป็น ยูโทเปีย ของเราชาวไทย ที่เข้าแก้ไขปัญหาทั้งทางการเมือง ในเหตุการณ์สำคัญๆให้สงบลงอย่างนุ่มนวล และถอดปมความอยุติธรรมทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ให้เดินหน้ามุ่งสู่ความสุขที่ยั่งยืน เป็นตัวของตัวเองอย่างสง่างาม รู้จักรับและทิ้งด้วยการคัดสรรแนวทางแห่งความสุขสู่มวลชน

ฉะนั้น อย่าให้อาจมของนักการเมืองหรือคู่ต่อสู้ทางอำนาจ ระรานก้าวเข้ามาจนสถาบันพิเศษนี้ต้องแปดเปื้อน-ดีกว่ากระมัง

กล่าวสำหรับคุณอภิสิทธิ์และคุณทักษิณ พร้อมกับพลพรรคของทั้งสองฝ่าย ใช้เวลาว่างๆสงบๆทำจิตให้โปร่งใส เปิดทางให้กับปัญญาแล้วทบทวนพฤติกรรมของตัวเอง ท่านจะค้นพบสัจธรรมที่จะนำทางให้ทั้งส่วนตัวและสังคม

รากเหง้า แห่งปัญหาและจำต้องแก้ไขให้ ลดทอน ลงเรื่อยๆ คือความยุติธรรมในสังคม...

ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับคุณนิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ ที่ชี้ว่า ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา น่าจะมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ

เนื่องจากความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ มีอยู่ในระดับสูงมาก นโยบายของรัฐเปิดช่องให้มีการแสวงหา ผลกำไรส่วนเกิน ในรูปแบบต่างๆ มีการผูกขาดด้วยการแสวงหาผลประโยชน์จากโครงสร้างของรัฐ

ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง จึงมีโอกาสเรื้อรังต่อไป เพราะการปฏิรูปทางการเมืองที่เน้นเฉพาะการเปลี่ยนแปลงกฏ กติกา การเลือกตั้ง การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาทางการเมืองต่างๆได้ ตราบใดที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประชาชนกลุ่มต่างๆยังไม่ได้รับการแก้ไข

ครับ โจทย์ใหญ่ของเราก็คือ จะต้องมีการลงมือปฏิรูปหรืออาจจะปฏิวัติทางเศรษฐกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลี่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ถ่าง-ห่าง กันอย่างลิบลับ

รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ป่าวประกาศเต็มๆรูหู แบบกรอกเช้า สาย บ่าย เย็น ทั้งก่อนอาหารและหลังอาหารวันละ 4 เวลา ว่า จะสร้างเศรษฐกิจให้ไทยเข้มแข็ง แต่เมื่อเจาะเข้าไปดูนโยบายหรือมาตรการที่ออกมารองรับเงินกู้ 8 แสนล้านบาทแล้ว มันไม่ใช่ มันเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้น เป็นโคตรประชานิยม หาเสียงล่วงหน้าเพื่อฐานทางการลงคะแนนเท่านั้น และก็เป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งในการเอาชนะอีกขั้วอำนาจหนึ่ง ขาดความจริงใจในการรังสรรนโยบายสาธารณะ

ซึ่งคุณบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารกสิกรไทยเห็นว่า โครงการไทยเข้มแข็งที่ออกมาเป็นมาตรการชั่วคราวทั้งนั้น

โครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น การคมนาคม การศึกษา กฏหมาย

หรือจะให้รวบรัดที่สุดก็คือ รัฐบาลนี้ไม่ได้นำแนวทางปฏิรูประบบเศรษฐกิจ ไม่ได้มองไปที่รากเหง้า แต่ผลิตมาตรการมาอย่างฉาบฉวย

ขณะที่มีการต่อสู้ของสองขั้วอำนาจ จะมีกระแสข่าวถึงการยึดอำนาจรัฐประหารจากผู้นำในกองทัพที่มีอาวุธออกมาเป็นระยะๆเช่นกัน เพื่อว่าจะ ล้างไพ่ ใหม่

ในวิธีการอย่างนี้ ยังไม่รู้ว่า จะเป็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง หรือยิ่งเป็นการสร้างปมปัญหาขึ้นมาอีก บทเรียนในอดีตของวงจรอุบาทว์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เฉพาะอย่างยิ่งในการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มันได้กดหัวจักรของความเจริญและระบอบประชาธิปไตยที่เป็นอุดมการณ์ของสังคมโลกให้ จมดิ่ง ลงไป-ลงไป เพราะการจะใช้วิธีการยึดอำนาจมาสร้างประชาธิปไตยนั้น ผมว่าดูจะเป็นเรื่องที่ ไร้เดียงสา ยิ่งนัก

และความไร้เดียงสานี้ไม่ได้อยู่ที่พื้นฐานความรู้ใด-ใด แต่อยู่ที่จิตวิญญาณและความโปร่งใสในอำนาจ-ในผลประโยชน์ ทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ

ผมเห็นด้วยและอยากเห็นจริงๆอย่างเร่าร้อนในลักษณ์ของ ว่าด้วยการปฏิบัติ หาใช่เพียงเล่ห์เพทุบายทางการเมืองในสิ่งที่คุณอภิสิทธิ์สร้างเป็นเงื่อนไขหากจะมีการยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชนตัดสินไว้ 3 ประการ

1.อยากเห็นเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง (แต่นโยบายที่ออกมามันระยะสั้น- ฉาบฉวยและขาดความจริงใจ มันจะยั่งยืนได้อย่างไร)

2.อยากเห็นกติกาในการเลือกตั้งใหม่ (เป็นถึงนักการเมืองดาวสภา เป็นถึงผู้บริหารสูงสุด มองสั้นมากแค่ กติกาเลือกตั้ง)

3.อยากเห็นทุกฝ่ายเลิกขัดขวางการทำงานการเมืองของอีกฝ่ายหนึ่ง (แล้วตอนเป็นฝ่ายค้านไปสุมหัวกับใครเล่า ตอนเป็นรัฐบาลก็ใช้กลไกรัฐเพื่อประชาชนหรือเพื่ออะไร)

ฉะนั้น เงื่อนไขทั้ง 3 ข้อ ไม่ได้เป็นประเด็นที่คุณอภิสิทธิ์มีความจริงใจจะทำให้เกิดขึ้นจริง เพียงพูดสร้างเกมเท่านั้น หรือว่าไม่จริง-เด็กแสบ

"ฮุน เซน"ส่งวิศวกรจีนรังวัดถนน ช่องจอม ส่งทหารกู้ระเบิด

ที่มา มติชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2552 บริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ( ตม. ) ช่องจอม เปิดประตูด่านเพื่อให้บริการชาวไทย และต่างชาติเข้าและออกนอกประเทศ มีพ่อค้าชาวกัมพูชา และประชาชน ข้ามไปมาประมาณ 1,500 คน โดยนายจักรกฤษณ์ โตมาซา เจ้าพนักงานศุลกากรช่องจอมคอยอำนวยความสะดวกตรวจสินค้าต่าง ๆประเภทของป่า และเสื้อผ้ามือสองเพื่อนำเข้าไปขายที่ตลาดช่องจอม ขณะที่นักพนันไทยข้ามไปฝั่งเขมรกว่า 700 คน


บรรยากาศชายแดนค่อนข้างคึกคัก นอกจากนี้ชาวกัมพูชามีการพูดถึงการสร้างถนน ว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา ส่งนายช่างวิศวกรจาก ประเทศจีน 7 คน พร้อมส่งหน่วยทหารช่างจากพนมเปญ 20 นาย มารังวัดถนนสายช่องจอม-เสียมราฐ พร้อมเครื่องมือตรวจหาทุ่นระเบิด และกู้วัตถุระเบิดได้จำนวนมาก

เสื้อแดงปรับยุทธศาสตร์เคลื่อนไหวปูพรมดาวเทียมเหนือ-อีสาน

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) แกนนำ นปช. กล่าววันที่ 28 พฤศจิกายนว่า หลังเสร็จช่วงการจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันสุดท้ายคือวันที่ 13 ธันวาคม แกนนำคนเสื้อแดงจะมีการประเมินสถานการณ์กันอีกครั้งสำหรับการนัดชุมนุมใหญ่


แหล่งข่าวจากแกนนำคนเสื้อแดงเปิดเผยว่า แกนนำคนเสื้อแดงได้หารือกันเพื่อปรับยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหว ภายหลังจากประกาศเลื่อนการชุมนุมใหญ่ออกไปแบบไม่มีกำหนด ล่าสุด ได้ปรับแนวทางให้แกนนำคนเสื้อแดงลงพื้นที่ไปทำงานจัดตั้งในพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อเสริมความแข็งแกร่งเรื่องมวลชนเพิ่มเติม โดยจะมีการรื้อฟื้นรูปแบบของ โรงเรียน นปช.-แดงทั้งแผ่นดินขึ้นมาอีกครั้ง


นอกจากนั้นมีแผนที่จะติดตั้งจานดาวเทียมที่รับสัญญาณสถานีโทรทัศน์พีเพิลชาแนล เพิ่มเติมในพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ โดยประสานกับบริษัทตัวแทนจำหน่ายจานดาวเทียมและติดตั้งจานดาวเทียม ให้สั่งจานดาวเทียมที่รับสัญญาณในเครือข่าย ซียูแบนด์ หรือจานดำ ราคาถูกจากจีนเข้ามา จำนวน 10,000 จาน โดยจะจัดจำหน่ายราคาเพียงจานละ 1,300 บาท และเสียค่าติดตั้งเพียง 700 บาท



"อาถรรพ์"ผู้นำกับเวทีหอการค้าสัญญาณเตือนอายุสั้น

เป็นประเพณีปฏิบัติของงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศประจำปี ที่ต้องมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไปร่วมงาน แต่ทว่างานสัมมนาครั้งที่ 27 ระหว่างวันที่ 28-29 พฤศจิกายน ที่โรงแรมเลอ เมอริเดียน จ.เชียงใหม่ เป็นอีกปีหนึ่งที่นายกฯไม่ได้ไปร่วมงาน ด้วยเหตุปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง


ก่อนหน้านั้น งานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 26 ที่ จ.สงขลา เมื่อปี 2551 ในสมัยรัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็มีเหตุให้นายกฯและรัฐมนตรีไม่สามารถไปร่วมงานได้ ครั้งนั้นไม่ใช่เป็นเพราะความวิตกต่อความปลอดภัยของนายกฯและรัฐมนตรีที่เข้าประชุม แต่เนื่องจาก กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกเข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิ จึงไม่สามารถเดินทางไปร่วมงานได้ ทำให้การประชุมกร่อยไปมากทีเดียว

ส่วนงานสัมมนาครั้งนี้ ตามกำหนดการเดิมวันที่ 29 พฤศจิกายน นายอภิสิทธิ์ จะไปปิดงานสัมมนาและปาฐกถาพิเศษเรื่อง"บทบาทความร่วมมือภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเพื่ออนาคตประเทศไทย"
แต่เมื่อกลุ่มเสื้อแดงประกาศที่จะระดมพลมาประท้วงนายกฯ และอาจมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น ทำให้ในที่สุดนายอภิสิทธิ์ ต้องยกเลิกการเดินทางไปร่วมงาน ขณะที่รัฐมนตรีต่างๆ ที่จะไปร่วมงานก็ยกเลิกตามไปด้วย


หลังนายกฯและรัฐมนตรียกเลิกการเดินทางไปร่วมงาน บรรยากาศการสัมมนาเงียบเหงาไปมาก ห้องที่เตรียมรองรับผู้เข้าประชุมกว่า 1,000 คน มีคนไปร่วมเพียงไม่กี่ร้อยคน และเมื่อเปิดงานเสร็จผู้เข้าร่วมประชุมบางส่วนก็ขอเลื่อนการเดินทางกลับเร็วขึ้นทันที


เคยมีการพูดกันถึงอาถรรพ์ของการประชุมหอการค้าทั่วประเทศว่า หากปีไหนที่นายกฯไม่ได้ไปร่วมงาน นายกฯและรัฐบาลชุดนั้นจะอยู่ไม่ครบเทอม


ในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย 1 ก่อนที่จะพ้นจากเก้าอี้ ปีก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้ไปร่วมงานประชุมหอการค้าไทย


หรือในสมัยรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ทางหอการค้าไทยได้ทำหนังสือเชิญไป แต่ได้รับการปฏิเสธไม่ไปร่วมงาน ต่อมาอีกไม่นานรัฐบาลนายสมัครก็ต้องพ้นเก้าอี้ไป


ล่าสุดก็คือรัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ไม่ได้ไปร่วมงาน รัฐบาลก็อยู่ได้ไม่นาน


ส่วนรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ จะเป็นไปตามอาถรรพ์นี้หรือไม่ ต้องรอติดตามกันดูการประชุมหอการค้าทั่วประเทศในปีหน้า

"ทักษิณ"ย้ำเป็นหนี้"ในหลวง"ต้องกลับมาทดแทน"หมอลักษณ์"ฟันธง"แม้ว"ฟื้นหลัง26เม.ย.ท้าไม่แม่นให้ฉิบหาย

ที่มา มติชน

"น้องสาวแม้ว" จัดงานทำบุญแด่ "ในหลวง" เงียบเหงา "แม้ว" แจกรูปนั่งใต้ต้นโพธิ์พระพุทธเจ้าพร้อมอนุโมทนาบุญ "หมอลักษณ์" ฟันธงหลัง 26 เม.ย. ดวง "แม้ว" ฟลิกฟื้น คาดอีกต้นปีบ้านเมืองเปลี่ยนแปลง "แม้ว" วิดีโอลิงก์นำทำบุญถวาย "ในหลวง" ร้องเพลงสรรเสริญ เผยพร้อมให้อภัยคนป้ายสีไม่จงรักภักดี ย้ำเป็นหนี้บุญคุณ "ในหลวง" ต้องกลับมารับใช้พี่น้อง เจ้าอาวาส วัดสามพระยา รับ "แดง" ทั้งหัวใจแม้จีวรเหลือง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน เวลา 07.00น. ที่หอประชุมสงฆ์ วัดสามพระยา ถนนสามเสน ซอย 5 นางเยาวเรศ ชินวัตร น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพจัดงาน "น้อมดวงใจรักภักดีปฏิบัติธรรมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" โดยภายในงานมีเครือญาติและผู้ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าร่วมงาน อาทิ น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ น.ส.ลีลาวดี วัชโรบล อดีตผู้สมัครส.ส.กทม.พรรคพลังประชาชน เป็นต้น ซึ่งภายในงานผู้เข้าร่วมงานได้แต่งกายในชุดขาวประมาณ 500 คน ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีบรรดาส.ส.พรรคเพื่อไทยและญาติผู้ใกล้ชิดที่คุ้นหน้าและมีชื่อเสียงมาร่วมงานแต่อย่างใด บรรยากาศภายในงานจึงเป็นอย่างเงียบเหงาเพราะเป็นการทำกิจกรรมนั่งสมาธิและบรรยายธรรม


ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังได้จัดผ้าป่าเพื่อระดมทุนสร้างตึกสงฆ์ หรือตึกร่มธรรม และได้แจกภาพถ่ายจำนวน 5,000 ใบแก่ผู้มาร่วมงานซึ่งเป็นรูปของ พ.ต.ท.ทักษิณนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ประเทศศรีลังกา โดยอ้างว่าเป็นต้นโพธิ์ที่มาจากต้นเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ทั้งนี้รูปดังกล่าวได้ระบุข้อความว่า “ผมขออนุโมทนา บุญกับท่านที่มาปฏิบัติธรรมถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมา ณ ที่นี่ด้วยครับ” ลงวันที่ไว้ 28 พฤศจิกายน2552


เวลา 14.00 น. นายลักษณ์ หรือหมอลักษณ์ เรขานิเทศ โหรฟันธงชื่อดัง บรรยายธรรมภายในงานตอนหนึ่งว่า ดวงชะตาของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ยิ่งใหญ่ก้าวหน้า แต่ดวงชะตาพ.ต.ท.ทักษิณเป็นดวงชะตาที่แปลก เป็นเกณฑ์ที่ตายแล้วเกิดใหม่หลายครั้ง โดยช่วงนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องระวัง เพราะจะทำให้จิตแตกหากไม่ปฏิบัติธรรมให้ดี และอาจจะกลายเป็นคนเบลอได้ เพราะตั้งแต่วันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมาดวงชะตาของพ.ต.ท.ทักษิณจะแข็งแกร่งขึ้น แต่จากนี้ไปอีก 2 ปี อาจมีเคราะห์ถูกปองร้ายได้ และช่วงระหว่างวันที่ 14 ธันวาคม 2552 – 25 เมษายน 2553 จะมีดาวพฤหัสบดีโคจรเป็นอริกับดวงชะตา พ.ต.ท.ทักษิณ จึงต้องระวัง แต่ดวงชะตาราศีของพ.ต.ท.ทักษิณจะเปิดและพลิกฟื้นหลังวันที่ 26 เมษายนนี้แน่นอนฟันธง หากไม่ถูกขอให้ตนฉิบหายวายวอด อีกทั้ง ช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2553 จะเกิดเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของบ้านเมือง


จากนั้น เวลา 17.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณ สวมชุดสูทสีดำติดเน็กไทด์สีแดงยืนข้างพระบรมฉายาลักษณ์พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและธงสีเหลืองอักษรพระปรมาภิไธย "ภปร." ได้วิดีโอลิงก์ จากที่พักส่วนตัวในเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต (ยูเออี) มายังหอประชุมสงฆ์ วัดสามพระยา ตอนหนึ่งว่า ตอนนี้ตนมีความสบายใจถึงแม้จะคิดถึงบ้านก็สบายดี ตนเป็นห่วงพี่น้องคนไทยที่น่าจะทุกข์ เพราะสภาพปัญหาต่างๆเยอะแยะเศรษฐกิจที่หนักหน่วง ความวุ่นวายบ้านเมืองหาจุดจบไม่เจอ ส่วนอากาศที่ดูไบตอนนี้กำลังพอดี อีกไม่กี่วันคงจะหนาวแล้ว


จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พนมถือกล่าวนำอาราธนาศีลถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็นพระเจ้าอยู่หัวเมื่อกล่าวจบ ได้ให้ตัวแทนเครือญาติและผู้ใกล้ชิดมอบกองผ้าป่าจำนวน 5 กอง โดยมีนางเยาวเรศ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นประธานมอบแด่พระสงฆ์ และกล่าวว่า ดีใจที่ต้องขออนุโมทนาบุญ มีตัวแทนช่วยทำบุญให้พี่น้องส่งใจให้ เพื่อชาติหน้าเราจะได้เป็นพี่เป็นน้องร่วมกันต่อไป


ต่อมานายลักษณ์ ถามว่า ที่ผ่านมาท่านทำอะไรให้คนไทย และท่านมีความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ขอบคุณอย่างสูง เพราะตนทุ่มเททำด้วยหัวใจ เรื่องใส่ร้ายป้ายสี เรื่องธรรมดาเป็นเรื่องเข้าใจและพร้อมให้อภัยคนที่ใส่ร้ายป้ายสี แต่ทั้งหลายทั้งปวงอยู่ที่ใจ ถ้าใจเราเป็นอย่างไรพฤติกรรมเราก็ปรากฎชัดเจน ทั้งนี้การนั่งสมาธิทำให้จิตใจผ่องใสขึ้น

นายลักษณ์ ถามว่า ท่านดวงจิตใจจงรักภักดีและอยากทดแทนบุญคุณแผ่นดินที่ผ่านมาท้อใจอยากเลิกการเมืองหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า บางครั้งก็มีอารมณ์ขึ้นลง แต่หลังจากได้นั่งสมาธิอาการขึ้นลงก็น้อยมาก บางครั้งเคยท้อบ้างและเจ็บบ้าง แต่พอนั่งสมาธิสบายๆ เราต้องอย่ายอมแพ้กับสิ่งที่ไม่ดี อย่ายอมแพ้กับสิ่งที่คนมาติฉินนินทาโดยที่ไม่จริง เพราะเรามีความตั้งใจดี กระทำดี ตนคิดว่าใจที่สุดกรรมบุญจะตอบสนองเรา เราต้องใจเย็นๆอดทนไป

"ผมเป็นหนี้บุญคุณต่อพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะคนเสื้อแดงและคนที่ปรารถนาดีต่อผม เพราะมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะผลักดันให้ผมกลับมารับใช้พี่น้อง เมื่อเป็นหนี้บุญคุณต้องหาทางตอบแทนบุญคุณ ผมคิดแต่ต้นแล้วว่าเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าอยู่หัว ผมได้พึ่งพระบรมโพธิสมภารในฐานะพสกนิกรคนไทยทำมาหากินในไทยจนสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ถึงเวลาที่เราต้องทดแทนบุญคุณแผ่นดินและถวายความจงรักภักดีด้วยเพื่อช่วยเหลือพี่น้องคนไทยด้วย เพราะเราเคยผ่านพ้นความทุกข์ยากมาแล้ว จึงอยากช่วยเหลือพี่น้องคนไทย หากผมได้กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งหนึ่ง วันแรกก็คงต้องจุดธูปให้คนไทยพ้นจากความทุกข์ยาก เหมือนผมฝนตกมาแล้วไม่ท้อ หากมีขันรองน้ำฝนก็ได้น้ำกิน เมื่อเราได้กลับมาก็จะทำหน้าที่ตรงนี้" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว


พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว่ว่า ยิ่งถูกรังแกยิ่งสู้ หากเราไม่สู้ให้ความจริงและความยุติธรรมปรากฎ มันเท่ากับว่าปล่อยให้แผ่นดินนี้ตนถูกรังแกได้ คนไทยก็ถูกรังแกได้ ความจริงหนีความจริงไม่พ้นถึงแม้วันนี้คนก่อความชั่วร้ายบ้านเมืองก็คงอยู่ได้สักพักหนึ่ง ดังนั้นความจริงต้องต่อสู้ต่อไป ขอให้พี่น้องอย่ายอมแพ้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระธรรมคุณาภรณ์ เจ้าคณะภาค14 เจ้าอาวาสวัดสามพระยา ได้สนทนากับพ.ต.ท.ทักษิณว่า "อาตมาได้ดูท่านนายกฯ เวลามาออกรายการทุกวัน ดูทีวีเสื้อแดงทุกวัน รายการเสียงประชาชน เมื่อเช้าญาติโยมมาที่วัดใส่เสื้อแดงมาตำรวจก็มามากมาย ไม่รู้ตำรวจมาสงสัยอะไรกัน ทั้งนี้อาตมาได้ยินคนพูดกันมาว่าวัดนี้เข้าข้างเสื้อแดง ทำไมไม่เข้าข้างเสื้อเหลืองบ้าง ความจริงแล้วอาตมามีทั้งสองสี เพราะจีวรสีเหลืองแต่หัวใจสีแดง"

จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตั้งใจจะนำศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาประจำชาติและขณะนี้ได้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อเผยแพร่พระศาสนาด้วย ทั้งนี้ประเทศไทยมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาและไม่ได้กีดกันศาสนาอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตามศาสนาพุทธก็คือศาสนาหลักประจำชาติ


ทั้งนี้ช่วงท้ายของงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้นำผู้ร่วมงานทั้งหมดจุดเทียนชัย โดยพ.ต.ท.ทักษิณได้จุดเทียนชัยต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ จากนั้นได้นำร้องเพลงสดุดีมหาราชาเพื่อถวายเป็นเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน พร้อมกับร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีเมื่อร้องจบได้กล่าว "ไชโยๆ" 3 ครั้ง และกล่าวว่า "ทรงพระเจริญ"

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker