บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ได้เฉพาะหน้า เสียอำนาจรัฐ

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_49717

แผนระดมคนเสื้อแดง 1 ล้านคน

ตามที่แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประกาศดีเดย์ เผด็จศึก

นัดชุมนุมใหญ่ปิดล้อมทำเนียบฯ ขับไล่รัฐบาลภายใต้ การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ วันที่ 28 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 2 ธันวาคม

ที่สุดก็ต้องยกเลิก เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด

หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชา วีดิโอลิงค์เข้ามาในที่ประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย

ส่งสัญญาณชัดๆว่า ได้บอกให้ 3 เกลอ แกนนำเสื้อแดง ทบทวนเรื่องการจัดชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดง เพราะเป็นห้วงเวลาที่ไม่เหมาะสม

ขณะที่นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานกลุ่ม นปช. ก็ออกมาประกาศตามหลัง ตามคำสั่งของ "นายใหญ่"

แกนนำ นปช.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้เลื่อนการชุมนุมออกไปโดยไม่มีกำหนด จากเดิมที่จะชุมนุมใหญ่ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน ถึง 2 ธันวาคม

เป็นการสั่งสอนรัฐบาลที่ขาดวุฒิภาวะ ประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรทั่วกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 14 ธันวาคม คาบเกี่ยวกับการจัดงานมหามงคล

รวมทั้งแสดงให้เห็นว่า คนเสื้อแดงมีความรับผิดชอบ และเทิดทูนสถาบัน

อย่างไรก็ตาม แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงจะนัดหารือเพื่อกำหนดท่าทีในการเคลื่อนไหวอีกครั้งในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้

สรุปก็คือ ต้องพับแผนการชุมนุมไปก่อน

ส่วนเหตุผลที่แท้จริงในการยกเลิกการชุมนุมใหญ่ในครั้งนี้ เป็นเพราะแกนนำคนเสื้อแดง มีจิตสำนึกรับผิดชอบ สั่งยกเลิกเอง

หรือเป็นเพราะ "นายใหญ่" สั่งให้ยกเลิก

เนื่องจากเห็นชัดว่า กระแสสังคมไม่เอาด้วย เพราะเป็นการจัดชุมนุมในห้วงคาบเกี่ยวกับการจัดงานฉลองวันมหามงคล ไม่รู้จักกาลเทศะ

หรือเป็นเพราะรัฐบาลเล่นไม้แข็ง ประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษา ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ

เป็นเรื่องที่สังคมต้องใช้วิจารณญาณพิจารณากันเอง

แง่มุมไหน มีน้ำหนักมากกว่ากัน

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนหน้าที่รัฐบาลจะประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ และ "นายใหญ่" จะส่งสัญญาณให้ทบทวน

มีเสียงท้วงติงมาตลอดว่าห้วงเวลาที่แกนนำ นปช.นัดชุมนุมประท้วง ไม่ถูกกาลเทศะ

แต่แกนนำกลุ่มเสื้อแดงก็ไม่ฟังเสียง กระเหี้ยนกระหือรือที่จะจัดชุมนุมกันให้ได้ในวันที่ 28 พฤศจิกายน ถึง 2 ธันวาคม

ทำให้รัฐบาลต้องงัดไม้แข็งออกมาป้องปราม

ด้วยการประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ ทั่วกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน ถึง 14 ธันวาคม บูรณาการใช้กำลังทหาร ตำรวจ เข้าควบคุมสถานการณ์ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย

เพราะเป็นห้วงที่รัฐบาลเตรียมจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม

จนกระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ วีดิโอลิงค์ส่งสัญญาณให้แกนนำกลุ่มเสื้อแดงทบทวนการจัดชุมนุมใหญ่ นำมาสู่การประกาศยกเลิกการชุมนุม

ท่ามกลางเสียงถอนหายใจโล่งอกของสังคม ที่ไม่ต้องการเห็นเหตุการณ์ความวุ่นวายเกิดขึ้นในห้วงวันมหามงคลของคนไทยทั้งประเทศ

แน่นอน การขยับของ พ.ต.ท.ทักษิณในครั้งนี้ ในแง่มุมหนึ่งเหมือนต้องการฉายภาพให้เห็นถึงความจงรักภักดี

สอดรับกับการที่ดึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีต ผบ.ทบ.และอดีตนายกฯ เข้ามาเป็นประธานพรรคเพื่อไทย

รวมถึงการดึงอดีตนายทหาร นายตำรวจ เพื่อนร่วมรุ่น เตรียมทหารรุ่น 10 เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย

เป้าหมายหลักก็เพื่อที่จะให้เป็นตัวช่วย ลบภาพที่ถูกโจมตีเรื่องไม่จงรักภักดี

แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง การออกมาส่งสัญญาณให้แกนนำกลุ่มเสื้อแดงยกเลิกการจัดชุมนุมใหญ่ ก็เท่ากับเปิดหน้าโชว์ตัวว่า

เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง

ในขณะที่แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงบางคน มักแสดงพฤติกรรมที่หมิ่นเหม่ในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันอยู่บ่อยๆ

รวมทั้งตั้งตัวเป็นศัตรูกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อย่างเปิดเผยออกหน้าออกตา

เงื่อนปมเหล่านี้ จึงทำให้สังคมไม่แน่ใจว่า การสั่งให้แกนนำกลุ่มเสื้อแดงยกเลิกการชุมนุมครั้งนี้ ทำด้วยความจริงใจ หรือ เป็นแค่ยุทธวิธี รุก รับ ถอย ตามสถานการณ์

เพราะที่ผ่านมาก็อย่างที่เห็น พ.ต.ท.ทักษิณพยายามขับเคลื่อนเดินเกมทุกวิถีทาง เพื่อให้บรรลุยุทธศาสตร์ที่ตัวเองต้องการ

นั่นก็คือ ได้กลับประเทศไทยโดยไม่ต้องติดคุกในคดีอาญา และได้ขุมทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ที่ถูกอายัดไว้คืน

ยิ่งการตัดสินคดียึดทรัพย์งวดเข้ามา การเดินเกมเคลื่อนไหวก็ยิ่งเพิ่มความร้อนแรงขึ้นเป็นทวีคูณ

ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยุทธวิธี ยืมมือประเทศเพื่อนบ้านกดดันประเทศไทย อย่างกรณีของประเทศกัมพูชา ที่นายกฯฮุน เซน แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชา

นำมาสู่การลดความสัมพันธ์ทางการทูต กลายปัญหาขัดแย้งระหว่างประเทศมาจนถึงทุกวันนี้

ขณะเดียวกัน ก็ใช้ยุทธวิธีขับเคลื่อนเดินเกมการเมืองในประเทศกดดันรัฐบาล ทั้งในสภาและนอกสภา

ในสภาก็อย่างที่เห็นๆกัน ใช้เครือข่าย ส.ส.พรรคเพื่อไทย ตีรวนการพิจารณากฎหมายต่างๆ นับองค์ประชุม วอล์กเอาต์ จนเกิดปัญหาสภาล่มซ้ำซาก

ส่วนนอกสภา ก็มีการโฟนอิน วีดิโอลิงค์ เข้ามาปลุกระดมมวลชนคนเสื้อแดง ให้ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลทุกรูปแบบ

วางเป้า โค่นล้มรัฐบาล ทำลายระบบอำมาตย์

เพิ่มอำนาจต่อรอง เพื่อให้บรรลุยุทธศาสตร์ที่ตัวเองต้องการ

แต่สุดท้ายแล้วจะเดินไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่สังคมต้องติดตามกันต่อไป

อย่างไรก็ตาม มาถึงวันนี้ เมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงประกาศยกเลิกการชุมนุมใหญ่ ก็ถือว่าทำให้บรรยากาศของบ้านเมืองในห้วงจัดงานฉลองวันมหามงคล สามารถดำเนินไปได้ ด้วยความราบรื่นเรียบร้อย

สังคมโล่งใจ คลายกังวลกันไปได้เปลาะหนึ่ง

ขณะเดียวกัน สำหรับสถานการณ์ร้อนๆ จากกรณีที่นายกฯอภิสิทธิ์มีโปรแกรมจะเดินทางไปร่วมงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 27 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน

เพื่อรับฟังปัญหาและแนวทางให้การสนับสนุนภาคเอกชนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว

ท่ามกลางการปลุกระดมต่อต้านจากกลุ่มคนเสื้อแดง "รักเชียงใหม่ 51" ที่ประกาศจะระดมคนเสื้อแดงทั่วภาคเหนือมาขับไล่

รวมไปถึงการโหมกระแส "ลอบสังหารนายกฯ"

ทำให้ฝ่ายความมั่นคง ไล่ตั้งแต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว. กลาโหม แม้กระทั่งนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ต้องออกมาเตือนแกมขอร้อง

ไม่อยากให้นายกฯอภิสิทธิ์ไปเสี่ยงตาย

เพราะรู้ๆกันอยู่ จังหวัดเชียงใหม่เป็นรังใหญ่ของคนเสื้อแดง อาจเกิดปัญหาความรุนแรง ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้นำรัฐบาล

ถ้า "อภิสิทธิ์" จะไปจริงๆ ก็อาจถึงขั้นต้องประกาศ พ.ร.บ. รักษาความมั่นคงฯในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรักษาความปลอดภัย

ยิ่งมีการตรวจค้นบ้าน จับกุมการ์ดของกลุ่มคนเสื้อแดงจังหวัดเชียงใหม่ เจอระเบิดปิงปอง 6,000 ลูก และอาวุธปืนขนาดต่างๆอีก 6 กระบอก สถานการณ์ยิ่งไม่น่าไว้วางใจ

ในที่สุด นายกฯอภิสิทธิ์ก็ตัดสินใจไม่เดินทางไปร่วมประชุมหอการค้าที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยให้เหตุผลว่า

คณะกรรมการหอการค้าไทยได้มีมติขอให้ระงับการเดินทางไปร่วมสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ เพื่อลดโอกาสที่จะเพิ่มความขัดแย้ง ความวุ่นวาย และความปลอดภัยของนายกฯและผู้เข้าร่วมสัมมนา

รวมทั้งอาจเกิดเหตุที่เป็นผลกระทบกับบรรยากาศของเศรษฐกิจและบรรยากาศของจังหวัดเชียงใหม่

พร้อมทั้งออกตัวว่า จริงๆแล้วค่อนข้างมั่นใจว่าปลอดภัย แต่คิดว่ามีความเสี่ยงในเรื่องของความเดือดร้อนของเจ้าหน้าที่หรือผู้เข้าร่วมประชุม เพราะผู้ชุมนุมต้องการให้เกิดปัญหา

อีกทั้งมองว่า บรรยากาศกำลังมาดีๆ การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่กรุงเทพฯก็ยกเลิกแล้ว ทุกคนอยากจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ไม่อยากมีจุดเสี่ยงถ้าเกิดอะไรขึ้นจะเสียบรรยากาศ

แน่นอน การที่นายกฯอภิสิทธิ์ตัดสินใจไม่ไปจังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นการลดการเผชิญหน้า ป้องกันเหตุการณ์รุนแรงประเภทน้ำผึ้งหยดเดียว

เมื่อเป็นการตัดสินใจ เพื่อป้องกันเหตุเฉพาะหน้า ก็ถือว่าพอรับได้

แต่ในระยะยาว ถ้านายกฯอภิสิทธิ์ไม่สามารถเดินทางไปปฏิบัติภารกิจในจังหวัดอื่นๆที่เป็นพื้นที่ของคนเสื้อแดงได้

นั่นก็เท่ากับเสียสภาวะการนำ กระทบต่อสถานะการเป็นฝ่ายบริหารประเทศ

อำนาจรัฐหมดไป

สภาพความเป็นรัฐไทยล้มเหลว ก็จะเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ.


"ทีมการเมือง"

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker