คอลัมน์ เหล็กใน
ล้มเหลวเละเทะไม่เป็นท่า
เมื่อประมาณต้นเดือนที่ผ่านมา นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.สำนักนายกฯ ในฐานะผู้กำกับฉากการแสดงของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไว้เป็นบันทึกสาธารณะระบุว่า
ประเทศไทยต้องก้าวข้ามเรื่องทักษิณให้ได้ ถ้าชีวิตแต่ละวันเราวนเวียนพูดแต่เรื่องทักษิณทุกวัน ซ้ำซาก ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น คนก็รู้สึกเบื่อ
และเท่าที่ทราบนายสาทิตย์ยังได้พูดเรื่องนี้ในที่ประชุมรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ว่ายุทธศาสตร์การทำงานของรัฐบาลต้องข้ามเรื่องทักษิณ
รัฐบาลจะมัวเสียเวลาวนเวียนพูดเรื่องซ้ำซากทุกวันก็ไม่มีประโยชน์ รัฐบาลต้องพูดและทำงานในสาระที่เป็นปัญหาของประชาชน
ต้องทำให้คนเห็นว่าประเทศนี้อยู่ได้แม้ไม่มีทักษิณ แม้ว่าคนส่วนหนึ่งจะยึดว่าต้องทักษิณเท่านั้น ก็เป็นเรื่องของเขาและเขาก็เป็นคนส่วนน้อย
นายสาทิตย์ให้สัมภาษณ์ครั้งนั้นฟังดู "หล่อ" มากทีเดียว
เนื่องจากเป็นการเสนอยุทธศาสตร์ชี้ทางสว่างให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อย่างแท้จริง (แม้หลายคนถากถางว่าน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วก็ตาม)
แต่จุดอ่อนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นมาตลอดและน่าจะเป็นอย่างนี้ต่อไป
คือการแปรยุทธศาสตร์ไปสู่ภาคปฏิบัติ
พรรคประชาธิปัตย์พูดได้ พูดดี พูดเก่ง พูดแล้วเหมือนพระเอกพูด ไม่ใช่ผู้ร้ายพูด
แต่พอลงมือทำทีไรนางเอกแทบจะเบือนหน้าหนี
ครั้งนี้ก็เช่นกันกับเรื่องที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปรับตำแหน่งที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาที่นายกฯ ฮุนเซนเจียดโยนมาให้
รวมถึงเรื่องกลุ่มคนเสื้อแดงจะจัดชุมนุมใหญ่ช่วงปลายเดือนนี้ 28 พ.ย. ไปจนถึงต้นเดือนหน้า 2 ธ.ค.
ปฏิกิริยาของรัฐบาลเท่าที่แสดงออกก็คืออาการของคนตื่นตูมเกินกว่าเหตุ
แค่ลูกมะพร้าวหล่นก็นึกว่าฟ้าถล่ม
ในทางกลับกันบางเรื่องที่ฟ้าร้องฟ้าคำรามทำท่าจะถล่มลงมาทับหัวเข้าจริงๆ กลับได้ยินเป็นแค่เสียงลมพัดใบไม้ไหว
ตรงนี้แหละคือปัญหาของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
อะไรที่ควรจะก้าวข้ามก็ดันข้ามไม่พ้น
อะไรที่ไม่ควรก้าวข้ามก็พยายามจะก้าวข้าม
แถมยังข้ามไม่พ้นอีกต่างหาก