บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โจรลิ้มหัวโจกก่อการร้ายหนีหมายคดียึดสนามบิน

ที่มา Thai E-News


ห้องพระของสนธิ ลิ้มทองกุล- หัวหน้าผู้ก่อการร้ายหนีหมายเรียกคดียึดสนามบิน



มติชน-ชาวบ้านเผาพริกเผาเกลือแช่งโจรมารศาสนาให้ตายใน3วัน7ว้น ส่วนผู้ครอบครองให้ตายตกนรกโดยไว


ที่มา สำนักข่าวVNN
26 พฤศจิกายน 2552

สนธิลิ้มที่คุณไม่รู้จัก - สดุดีความรักชาติของอดีตราชามีเดียของเอเซียอาคเนย์
The Unspoken Patriotism of Former Media King of Southeast Asia


เงินของสาวกผู้จงรักภักดี-พร้อมกับกิจกรรมการเมือง สนธิลิ้มได้จัดกิจกรรมสารพัดระดมทุนจากชาวพันธมิตรผู้จงรักภักดี ทั้งคอนเสิร์ต ขายข้าวสาร น้ำปลา ล่าสุดคือโกเต๊กซ์ ผู้จงรักภักดีบางคนที่หาดใหญ่ยอมขายตึกแถวเพื่อมอบเงินให้สนธิไปกู้ชาติ สถานะล่าสุดของสนธิคือหัวหน้าผู้ก่อการร้ายคดียึดสนามบิน ซึ่งครบรอบ1ปีในวันที่25พ.ย.นี้ แต่เขากับหัวโจกผู้ก่อการร้ายยังหนีหมายเรียก ไม่ยอมเข้ามอบตัวกับตำรวจแต่อย่างใด โดยต้องแลกกับการที่เขาก็ต้องสงบปากสงบคำกับเนรวิน ซึ่งเป็นลูกพี่ของตำรวจที่คุมคดีก่อการร้ายยึดสนามบินแบบห้ามเฉียดเนรวินเลยทีเดียว


นครลอสแองเจลิส (ข่าว VNN) - 22 พฤศจิกายน 2552 - เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว นาย พอล สิทธิอำนวย ซึ่งได้อาศัยฝีมือของนายสนธิ ลิ้มทองกุล

ทำให้สามารถสร้างธุรกิจระดับ ๒๐๐๐ ล้าน โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่หลังจากที่นายพอลต้องฝ่าพายุธุรกิจ ผันตัวเองมาลี้ภัยอยู่ในอเมริกา นายสนธิ ต้องอาสารับภารกิจมีเดียต่อจากนายพอลในฐานะทายาท จากนั้นเป็นต้นมา นายสนธิได้สถาปนาตัวเองอย่างรวดเร็ว กลายเป็นราชาแห่งมีเดียของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Media King of Southeast Asia)

กิจการมีเดียของนายสนธิเจริญขึ้นเรี่อยๆ มีทั้งหนังสือพิมพ์ แมกกาซีน รายการวิทยุและโทรทัศน์ทั้งในและนอกประเทศ จนเป็นที่ประทับใจของนักธุรกิจที่อยู่ในวงการมีเดียเป็นอย่างมาก จะขอกู้เงินจากธนาคารก็มักจะไม่มีปัญหา

สมัยนั้น นายสนธิมีเครดิตมากขนาดซื้อกิจการทุกอย่างที่ขวางหน้าได้ ไม่ว่ามีเดียไหน วิสัยทัศน์ทางธุรกิจมีเดีย คือ การเข้าไปมีชี่อเป็นเจ้าของกิจการมีเดียทุกประเภท เพื่อนายสนธิจะได้เป็นเจ้าพ่อสื่อได้ในที่สุด

และที่สำคัญที่สุด ในฐานะที่เป็นคนไทย ตัวเขาเองไม่เคยลืมตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินเกิด การเข้าครอบครองสื่อต่างๆเหล่านี้ เขาถือว่า เป็นการประชาสัมพันธ์สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไืทย โดยประเทศไทยไม่ต้องเสียเงินไปจ้างบริษัทเอเยนซี่ใดๆ

ตัวอย่างที่ดังที่สุด คือการซื้อแมกกาซีนอเมริกันที่มีฐานในนิวยอรค์และลอส แอนเจลสีส ชื่อ Buzz Magazine ทั้งๆที่เป็นแมกกาซีนที่จะเจ๊งอยู่แล้ว

แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของนายสนธิ ที่อยากเห็นคนไทยเป็นเจ้าของแมกกาซีนฝรั่ง และเห็นประโยชน์เชิงประชาสัมพันธ์ที่จะเกิดแก่ประเทศไทย ก็เลยแสดงความใจป้ำ ซื้อด้วยราคาที่สูงลิ่ว คือ ในราคา ๑๖๐๐ ล้านบาท หรือ ๔๐ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคนขายถึงกับงงในกลยุทธที่แนบเนียนของนายสนธิ

วงการธุรกิจมีเดียแทบไม่เชื่อกับตา เพราะโฆษณาขายแมกกาซีนนี้มานาน แต่ไม่มีหน้าไหนมี “gut” เท่าคนไทย นับว่า เป็นวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของนายสนธิ

ยังจำได้ว่า ตอนเปิดตัวเจ้าของ Buzz ใหม่ ผมได้ถูกเชิญไปร่วมงานเลี้ยงที่โรงแรมหรูใน Beverly Hills ได้เห็นนายสนธิเดินชนแก้วบั่นรีไวน์กับนักธุรกิจมีเดียระดับโลกในแอลแอด้วยความโก้หรู

แต่น่าเสียดาย แค่หนี่งปีสองเดือน Buzz ก็ต้องปิดกิจการ เพราะขาดกระแสเงินสดจ่ายให้กับพนักงานฝรั่งทั้งหลาย หลังจากพยายามจะขายต่อให้คนอื่น แต่ไม่มีใครมี “gut” ทางธุรกิจ(เหมือนนายสนธิ) ที่จะเสนอหน้ามาซื้อ

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของนักธุรกิจระดับโลกอย่างนายสนธิ เพราะตั้งแต่ตอนเข้าซื้อกิจการ นายสนธิได้ ”โปรแกรม” การปิดกิจการนี้ไว้แต่ต้นแล้วแล้ว

ด้วยความมีน้ำใจรักชาติของนายสนธิ นายสนธิสำนึกเสมอว่า สุดท้ายแล้ว เงิน ๑๖๐๐ ล้านบาทที่นำมาซื้อกิจการนี้ เพียงแค่การประชาสัมพันธ์ประเทศไทยในระดับโลก ก็คุ้มค่าแล้ว นายสนธิจึงมองเป็นกุศโลบายว่า เงิน ๑๖๐๐ ล้านบาทนี้ ว่าที่จริงแล้ว ก็มาจากแบงก์ไทย

ดังนั้น จึงถือว่า คนไทยทุกคน มีส่วนร่วมเป็นหุ้นส่วน ในการเทคโอเวอร์ระดับโลกครั้งนี้ด้วย คนไทยทุกคนจึงน่าจะภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

สรุปคือ ภาษีของคนไทยน้อยนิดที่ถูกนำไปโอบอุ้มหนี้เสียเหล่านี้ เทียบไม่ได้กับชื่อเสียงระดับโลกที่นายสนธิได้ทำให้แก่ประเทศไทยนั่นเอง


นายสนธิ ถือว่า เป็นคนสนับสนุนและช่วยให้คุณทักษินเป็นนายกรัฐมนตรี แต่น่าเสียดายที่ นายกทักษิณไม่เคยสำนึกถึงบุญคุณคน ไม่ยอมรักษาคำพูดที่เป็นข้อตกลงว่า เมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว จะร่วมเป็นหุ้นส่วนกอบกู้ชาติกับนายสนธิ กล่าวคือ ไม่ยอมแต่งตั้งคนสนิทของนายสนธิตามข้อตกลงเบื้องต้น

มิฉะนั้นแล้ว หนี้ ๖๐๐๐ ล้านบาทของนายสนธิ คงจะได้รับการปรับลดจนเหลือแค่ ๓๐๐ ล้านบาท ซึ่งจะทำให้กิจการของนายสนธิฟื้นตัว และส่งผลพวงเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในที่สุด

น่าอนาจที่คนอย่างนายกทักษิณ ที่คนยกย่องว่า มีวิสัยทัศน์นักธุรกิจที่ดี กลับตอบปฎิเสธทันทีอย่างไม่มีเยื่อไย โดยอ้างเพียงว่า เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทั้งๆที่นายกทักษิณรู้ว่า การผิดกฎหมายในกรณีนี้ อาจส่งผลเป็นลูกโซ่ ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยกลับให้ฟูเฟื่องฟองสบู่แบบเดิมได้อีก

อย่างนี้แล้ว นายทักษิณจะอ้างว่า ตัวเองรักชาติได้อย่างไร


หลังจากนั้นมา ในฐานะที่เป็นคนไทยผู้รักชาติ นายสนธิก็ตั้งความมุ่งมั่นว่า คนซึ่งไม่รักชาติและขาดวิสัยทัศน์เชิงธุรกิจเช่นนี้ ไม่สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีไทยอีกต่อไป จึงยอมสละทุกสิ่งทุกอย่าง มาเป็นแกนนำพันธมิตร และพร้อมจะทำทุกอย่าง เพื่อให้นายกทักษิณออกจากตำแหน่งให้ได้

โดยพร้อมสนับสนุนผู้นำรุ่นใหม่ อย่าง นายอภิสิทธิ ซึ่งแม้จะขาดประสบการณ์ด้านธุรกิจ แต่ก็เหมือนผ้าขาว ย่อมง่ายต่อการฟูมฟัก ให้มีวิสัยทัศน์ร่วมกับวิสัยทัศน์ของนายสนธิได้

พันธกิจที่สำคัญอันดับแรก คือ ต้องมาช่วยกันสลายหนี้ก้อนโตในวงการธุรกิจ ซึ่งถ้าทำได้ จะถือเป็นการกู้้ชาติที่ยิ่งใหญ่ ทำให้นักธุรกิจที่ล้มละลาย (เพราะการโจมตีค่าเงินบาทจากต่างชาติในปี ๑๙๙๗) ได้กลับมามีส่วนร่วมในการสร้างชาติไทยอีกครั้ง

ตัวเขาเองยอมรับว่า ศึกครั้งนี้มีเดิมพันใหญ่หลวงนัก เพราะถ้าทักษิณได้กลับมาอีกครั้ง เขาอาจต้องหนีไปอยู่อเมริกา อย่างไรก็ตาม เขาพร้อมจะเผชิญความยากลำบากของชีวิตในบั้นปลายที่อเมริกา (ถ้านายพอลเจ้านายเก่าของเขาสามารถทนใช้ชีวิตลำบากอยู่ในอเมริกาได้ เขาก็ย่อมทนอยู่ได้เช่นกัน)

ดังนั้น กิจกรรมกู้ชาติและภาษีของประชาชนจึงต้องมาก่อนเสมอ!

ชีวิตวัยเยาว์

นายสนธิ ลิ้มทองกุล มีชื่อจีนว่า “โกตั้บ แซ่ลิ้ม” เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2490 ระหว่างศึกษาอยู่ที่สหรัฐฯ เพื่อนฝูงมักเรียกนายสนธิว่า “SONDY” ภายหลังสำเร็จการศึกษา นายสนธิเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อปี 2516 และแต่งงานกับผู้ช่วยศาสตราจารย์จาก มศว.ประสานมิตร แต่ปัจจุบันแยกกันอยู่

ส่วนพ่อของนายสนธิ คือ คนจีน เป็นทหารสังกัดกองร้อย หวางฟู่ ในกองพล 93แห่งพรรคก๊กมินตั๋งของประธานาธิบดี เจียงไคเชค แต่ถูกกองทัพประชาชน ของเหมาเจ๋อตง ตีรุกจนถอยมาติดชายแดนจีนตอนใต้ยันชายแดนพม่า

กองพล 93 มีชื่อเสียงมากเพราะ ซีไอเอ ของอเมริกันเลี้ยงไว้ ต่อต้านคอมมิวนิสต์ ให้อาหารและอาวุธ ต่อมาทหารจีน ช่วยคนท้องถิ่นปลูกฝิ่น มีรายได้อีกทางหนึ่ง แต่พ่อของนายสนธิ ชื่อ เชียรหนีทหารลอบเข้าชายแดนไทย แล้วลงมาอยู่กรุงเทพทำหนังสือพิมพ์จีน รับเรี่ยไรเงินส่งไปช่วยพรรคก๊กมินตั๋ง นายเชียร จึงพ้นโทษที่หนีทหารภายหลัง นายเชียร ร่ำรวย แล้วทั้งพ่อและแม่ถูกฆ่าตายอย่างลึกลับ(มีข้อกล่าวหากันว่าอาจเกี่ยวข้องกับการโกงเงินเรี่ยไรไม่ส่งให้ก๊กมินตั๋ง)

นายสนธิเข้าทำงานเป็นบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยเมื่ออายุเพียง 27 ปี นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับ นายพร หรือ พอล สิทธิอำนวย ตั้งบริษัท Advance Media ในเครือพีเอส กรุ๊ป ออกนิตยสารดิฉัน แต่ประสบกับภาวะขาดทุน จึงขายให้กับ นายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา

เมื่อครั้งนายสนธิ ลิ้มทองกุล ทำงานที่ นสพ.ประชาธิปไตยนั้น นายสนธิรู้จัก นายพร สิทธิอำนวย (เรียกชื่อฝรั่งว่า นายพอล = Paul) ทำงานธนาคาร แล้วมีธุรกิจส่วนตัว ทำนิตยสาร

ต่อมานายพอล สิทธิอำนวยถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับการโกงเงินธนาคาร 2 พันล้านบาท หนีไปอยู่อเมริกา ก่อนหนีไปได้โอนกิจการพิมพ์ให้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เท่ากับนายสนธิได้สมบัติฟรี ๆ เป็นของส่วนตัวทำหนังสือต่อจนมีฐานะดี สามารถกู้หนี้ยืมสินธนาคารด้วยเครดิตสูง

แต่แล้วนายสนธิ ก็กลับมาโดดเด่นอีกครั้งด้วยการตั้ง บริษัท ตะวันออกแมกกาซีน ออกหนังสือผู้จัดการรายเดือน เมื่อปี 2526 และผู้จัดการรายสัปดาห์ จากความสำเร็จ ในการเป็นหนังสือแนวธุรกิจชั้นนำ ของผู้จัดการรายเดือนและรายสัปดาห์ ทำให้นายสนธินำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2533 พร้อมกับออกหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันตามมาเข้า

ผูกขาดขาย Nokia แต่เพียงผู้เดียว

ต่อมานายสนธิสามารถเข้าเทคโอเวอร์ บริษัทลูกของปูนซีเมนต์ไทย ก็คือบริษัท เอสซีทีคอมพิวเตอร์ จำกัด บริษัทไมโครเนติก จำกัด และบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นจิเนียริ่ง (ไออีซี) จำกัด ซึ่งต่อมาบริษัท ไออีซี เป็นบริษัทที่ทำกำไรให้กับนายสนธิอย่างต่อเนื่องเนื่องจาก บริษัท ไออีซี เป็นบริษัทผูกขาดการขายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย ระบบเซลลูล่า 900 แต่เพียงผู้เดียว

ลงทุนดาวเทียมลาวสตาร์ในลาว

นายสนธิ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแต่การทำธุรกิจสิ่งพิมพ์ในประเทศเท่านั้น เขายังได้ขยายตัวออกไปลงทุนทำหนังสือพิมพ์ “เอเชียไทม์” โดยตั้งฐานผลิตที่ฮ่องกงอีกด้วย พร้อมกับเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น บริษัท แมเนเจอร์มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็ม กรุ๊ป เมื่อ 22 พ.ย. 2537 เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบริหารงานบริษัทในเครือ

จากนั้นเริ่มขยายไปสู่วงการโทรคมนาคมในต่างประเทศ เข้าไปลงทุนในโครงการดาวเทียมลาวสตาร์ ชื่อบริษัท ABCN ที่เป็นบริษัทในเครือ ซึ่งได้รับสัมปทานจากประเทศลาว พร้อมๆ กับเริ่มรุกทำกิจการโรงแรมในลาว และร้านอาหารในจีน

จากการขยายตัวอย่างไร้ทิศทาง การพยากรณ์ธุรกิจอย่างผิดพลาดนำมาสู่สภาพธุรกิจที่ตกต่ำ นับตั้งแต่ปลายปี 2539 ทำให้นายสนธิต้องขายธุรกิจในเครือ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ รวมทั้งโครงการดาวเทียมลาวสตาร์ที่ขายให้กับกลุ่มยูคอม

แต่นายสนธิยังมีหนี้สินอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อ พ.ย. 2542 ธนาคารนครหลวงไทย ได้ยื่นฟ้องนายสนธิ และบริษัท เอ็ม กรุ๊ป ให้เป็นบุคคลล้มละลาย เพราะไม่สามารถชำระหนี้ให้กับธนาคารได้จำนวน 150 ล้านบาท จนกระทั่งศาลได้มีคำสั่งให้นายสนธิ และบริษัท เอ็ม กรุ๊ป เป็นบุคคลล้มละลายไปในที่สุด

ปัจจุบันนายสนธิ ยังคงเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ในการบริหารหนังสือพิมพ์ ในเครือที่เหลือเพียง 3 ฉบับ คือ ผู้จัดการรายเดือน ผู้จัดการรายสัปดาห์ และผู้จัดการรายวัน ซึ่ง นายสนธิ ถือว่าเป็นหัวใจหลัก ที่จะต้องคงไว้ และดำเนินการต่อไป แม้จะไม่มีตำแหน่งใดๆ แล้ว


นายสนธิ มีเครือข่ายความสนิทสนม กับบุคคลในกลุ่มนักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ และข้าราชการจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ นายศิรินทร์ฯ และนาย ธารินทร์ฯ โดย นายสนธิ ได้รับความช่วยเหลือด้านเงินกู้จาก ธนาคารกรุงไทย เพื่อมาพยุงฐานะธุรกิจตลอดเวลา ในช่วงที่นายศิรินทร์ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยเมื่อ พ.ย. 2542

บริษัท Price water house Coopers ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาที่ธนาคารกรุงไทยว่าจ้าง มาปรับปรุงโครงการ ตรวจสอบภายใน ระบุว่า บจ.เอ็ม กรุ๊ป มีหนี้สินอยู่กับธนาคารกรุงไทย จำนวน 2,123 ล้านบาท เป็นหนี้เสีย (NPL) เพราะเป็นการปล่อยสินเชื่อ โดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัว ทั้งที่ไม่มีหลักทรัพย์ใด ๆ มาค้ำประกัน

เปลือยธารินทร์

ต่อมาไม่นานนัก นายสนธิ จึงได้เขียนบทความต่าง ๆ รวมทั้งออกหนังสือชื่อ“เปลือยธารินทร์” โจมตีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และเรื่องส่วนตัวของ นายธารินทร์ฯ อยู่โดยตลอดมา จนเป็นข้อสงสัยต่อสาธารณชน อาจจะเป็นเรื่องไม่พอใจที่ นายธารินทร์ ไม่ยอมช่วยเหลือแก้ไขปัญหาทางธุรกิจให้ กระนั้น นายสนธิ ก็ยังมีความสัมพันธ์กับ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน

เนื่องจากอดีตภรรยาของนายสนธิเป็นญาติของนายบัญญัติ ทั้ง นายสนธิ กับ นายบัญญัติ เคยลงทุนทำธุรกิจโรงแรมด้วยกันที่ประเทศลาว ปัจจุบันมีการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันเป็นประจำ

ลงทุนทำโรงแรมที่ลาวร่วมกับบัญญัติ บรรทัดฐาน

ระหว่างช่วงสมัยรัฐบาลชวน 2 นายสนธิ มีความใกล้ชิดสนิทสนม กับ นายธารินทร์ มาก่อน ตอนแรกก็ดีกัน แต่ต่อมาเกิดความขัดแย้งระหว่างกันอย่างรุนแรง โดยนายสนธิ อ้างว่าเป็นความขัดแย้งกันทางความคิดในการแก้ปัญหาวิกฤติ เศรษฐกิจของประเทศ

จากนั้นจึงพุ่งเป้าโจมตี นายธารินทร์ อย่างรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2 ปี หลังของรัฐบาลชวน 2 ทั้งผ่านทางวิทยุ และหนังสือพิมพ์ต่าง ๆในเครือผู้จัดการ โดยใช้ชื่อว่า พายัพ พนาสุวรรณ มีการทำเทปออกขาย ปรากฏความตอนหนึ่งว่า นายสนธิ กล่าวหา นายธารินทร์ ว่า กระทำการอันเป็นการหมิ่นพระบรมราชานุภาพ ทำให้นายธารินทร์ต้องฟ้องร้องนายสนธิในข้อหาหมิ่นประมาท เรื่องยังอยู่ในศาลจนถึงปัจจุบันนี้

เกาะรัฐบาลทักษิณ ๑

ขณะที่ในช่วงรัฐบาล ทักษิณ 1 เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกนั้น ก็ได้ดึงเอานายสนธิมาร่วมงานด้วย เพราะเขารู้จักกับคนในรัฐบาลหลายคน

ต่อมาในช่วงรัฐบาล ทักษิณ 2 เกิดการขัดแย้งระหว่าง นายสนธิ กับ รัฐบาลอย่างรุนแรง สาเหตุที่แท้จริงไม่ทราบว่าด้วยเรื่องอะไร แต่บางคนอ้างว่า เพราะ นายสนธิ ลงทุนไปซื้ออุปกรณ์ในการทำโทรทัศน์เสรีมาแล้ว เป็นพันล้านบาท แต่กลับไม่ได้ช่องมาทำ ก็เลยหันมาโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ในแบบเดียวกันกับที่เคยโจมตีนายธารินทร์สำเร็จมาแล้ว

ฟอกเงินที่หมู่เกาะเวอร์จินไอส์แลนด์

ไม่เพียงเท่านั้น ข้อสงสัยประการสำคัญ ที่มีต่อ นายสนธิ กับหมู่เกาะในสหรัฐอเมริกาที่ขึ้นชื่อ ในประเด็นที่ถูกมองว่าเป็นหมู่เกาะของนักฟอกเงินนั่นคือ หมู่เกาะ The British Virgin Island

มีหลายฝ่ายต่างแฉข้อมูลของ นายสนธิ จนกลายเป็นข้อกล่าวหา ที่สาธารณชนจะต้องนำมาเป็นฐานข้อมูลในการพิจารณาด้วยเช่นกัน ประเด็นกล่าวหา นายสนธิ มีอยู่ว่า ไปจดทะเบียนบริษัท Manager International Holding Company Limited ที่หมู่เกาะ The British Virgin Island นี้ด้วยเงินเพียงแค่ 1,000 เหรียญสหรัฐ แต่กลับนำมาขายให้ บริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย (มหาชน) ซึ่งเป็นของผู้ถือหุ้นทุกคน ด้วยเงินถึง 7,228,000 เหรียญสหรัฐ

ประเด็นก็คือส่วนต่าง 200 ล้านบาทนี้ หายไปอยู่กระเป๋าใครนอกจากนั้น เงินที่บริษัทเมเนเจอร์ให้บริษัทนี้ยืมไปอีก 700 ล้านบาท หายไปไหนข้อสงสัยจนกลายเป็นข้อกล่าวหาต่อมา คือทำไมมีการเปิด บริษัทส่วนตัว ที่ชื่อ เวิลด์ไวด์ มีเดีย ซึ่งก็ตั้งอยู่บนถนนพระอาทิตย์ เพื่อรับเงินค่าโฆษณาแทนบริษัทมหาชน และทำไมบริษัทนี้ ไม่ยอมจ่ายเงินคืนให้ บริษัทซึ่ง เป็นของมหาชน ทั้งที่รับเงินมา 2-3 ปี แล้ว


ข้อกล่าวหาอีกประเด็นหนึ่งคือ เหตุใด บริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย (มหาชน) ถึงยังให้ บริษัทนี้หาโฆษณาและรับเงินแทนอยู่ ทั้งที่ก็รู้ว่า บริษัทนี้ ยังไม่โอนเงินเข้า บริษัท เมเนเจอร์ฯ มาเป็นปีแล้ว เงิน ๗๐๐ ล้านหายไปไหน

นอกจากนั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยตามมาว่า ทำไมบริษัทเมเนเจอร์ มีเดีย ถึงนับยอดรายได้โฆษณาที่น่าจะได้จาก บริษัท เวิลด์ไวด์ มีเดีย เป็นหนี้ที่สงสัยจะสูญในทันที


จนมีผลทำให้ผลประกอบการรวมของบริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย ซึ่งควรจะเป็นกำไร กลายเป็นขาดทุน จนเป็นที่มาของข้อสงสัยกรณี ผู้ตรวจสอบบัญชีที่ บริษัท เมเนเจอร์ มีเดียจ้างเอง ไม่ยอมเซ็นรับรอง บริษัทเมเนเจอร์ มีเดีย หลายไตรมาสติดต่อกัน

เจิมศักดิ์แฉลดหนี้จาก ๒๐,๐๐๐ ล้านเหลือ ๖,๐๐๐ ล้าน

อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นข้อสงสัยตลอดมา คือ ประเด็นหลังจากที่นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และกลุ่มเนชั่นออกมาปูดข่าวว่า รัฐบาลทักษิณ ช่วยลดหนี้ของกลุ่มผู้จัดการ จาก 20,000 ล้านบาท เหลือแค่ 6,000 ล้านบาท ในปี 2545 แล้วนายสนธิ และ กลุ่มผู้จัดการ ได้รับการลดหนี้จากสถาบันการเงินของรัฐอีกกี่ครั้ง

ต่อมานายสนธิออกมาปฏิเสธว่า กลุ่มผู้จัดการมีหนี้อยู่ในขณะนั้น 8,000 กว่าล้านบาท ไม่ใช่ 20,000 ล้านบาทตามที่นายเจิมศักดิ์กล่าวหาในยุคหนึ่ง

ขณะที่นายวิโรจน์ นวลแข ทำงานที่ธนาคารกรุงไทยมีข้อกล่าวหาว่า ทำไม นายสนธิ ถึงได้รับการลดหนี้ที่เคยลดมาแล้วอีกจาก 1,421.73 ล้านบาท เหลือเพียงแค่ 259 ล้าน บาท และทำไม ธนาคารกรุงไทย ถึงขนาดยอมให้ นายสนธิ ไม่ต้องจ่ายคืนเป็นเงินสด โดยยอมกระทั่งให้ใช้ คืนเป็นค่าโฆษณา ราคาแพง จนเราได้เห็น โฆษณาชุดผู้ใหญ่ลี ที่มีค่าแอร์ไทม์ครั้งละ หลายแสนบาทอย่างถี่ยิบ จนเป็นคำถามว่า ธนาคารของรัฐ อย่างธนาคารกรุงไทยมีความจำเป็นต้อง โฆษณา ตัวเองกับสื่อของ นายสนธิ แค่ที่เดียว เป็นร้อย ๆ ล้านบาทเลยหรือ (จากข้อมูลที่กลุ่มผู้จัดการทำส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ ในปี 2547 ดูข้อมูลได้ที่ตลาดหลักทรัพย์)

ปลุกระดมมวลชนเพื่อแก้วิกฤตการเงินของตัวเอง

ตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง-สนธิลิ้มถึงกับผงะขณะมีการยิงระเบิดลงหลังเวทีพันธมิตรเมื่อ15พ.ย.ที่ผ่านมา และรวบรัดจบการปราศรัยใช้เวลาเพียง15นาที ขณะที่ผู้สนับสนุนเขาเจ็บระนาว12รายจากเหตุระเบิด


ด้วยข้อสงสัยและข้อกล่าวหาหลายประการ จึงนำมาสู่ประเด็นที่ว่า การที่ นายสนธิ ออกมาปลุกระดมมวลชนอย่างเอาเป็นเอาตาย สาเหตุเบื้องต้น เกิดจากกลุ่มผู้จัดการกำลังเกิดวิกฤติทางการเงิน ซึ่งถ้าไม่ได้อำนาจรัฐหรือกลุ่มทุนเข้าช่วยเหลือ อาจถึงขั้นปิดตัวเองเลย ใช่หรือไม่

และอะไรที่ทำให้นายสนธิ อุทานว่า ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊งประเด็นที่เป็นเงื่อนตาย ที่ยากจะปลดล็อก คือ กรณีคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกกฎมานานแล้วว่า จะถอดถอนบริษัท ซึ่งอยู่ในหมวดฟื้นฟูของตลาดหลักทรัพย์ และมีหุ้นส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบออกจากตลาดหลักทรัพย์ ภายในเดือน มีนาคม 2549 รวมถึงประเด็น ศาลล้มละลายกลาง ได้ยินยอมขยายเวลาแผนฟื้นฟู ของ บริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย ออกไปจากเดิมสิ้นสุด วันที่ 26 กรกฏาคม 2548 กลายเป็นสิ้นสุดวันที่ 3 สิงหาคม 2549 เพื่อให้บริษํท เมเนเจอร์ มีเดีย หาผู้ร่วมทุนใหม่มูลค่า 350 ล้าน บาทให้ได้ทันตามกำหนด

ถ้ากลุ่มผู้จัดการหาเงินเพิ่มทุน 350 ล้าน บาท ไม่ได้ภายในเดือน มีนาคม หรือไม่มี อินไซเดอร์ ใน ก.ล.ต.ให้เปลี่ยนแปลงหรือผ่อนผันกฎ บริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย มีสิทธิจะโดนถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์ถ้ายังไม่ได้เงินก่อนเดือนสิงหาคม และศาลไม่ยินยอม ให้ขยายเวลาแผนฟื้นฟูบริษัทอีก บริษัท เมเนเจอร์ ก็อาจจะต้องปิดตัวเองลงภายในปีนี้จึงเป็นที่มาของคำว่า “ตายเป็นตาย” ของนายสนธิ

Net Assets of Sondhi

ยอดหนี้สินที่พอรวบรวมได้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหนี้ 6,687 ล้านบาท,


กู้เงินจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการกว่า 300 ล้านบาท

กู้ธนาคารกรุงไทย 495,080,556.13 ล้านบาท

กู้ธนาคารกสิกรไทย 30,791,780.82 ล้านบาท

กู้ธนาคารเอเซีย 741,728,446.00 ล้านบาท

กู้ธนาคารกรุงไทย 900,978,279.31 ล้านบาท

กู้ธนาคารไทยธนาคาร 431,419,178.07 ล้านบาท

กู้ธนาคารดีเอสบี (ไทยทนุ) 64,621,463.90 ล้านบาท

กู้กฟผ. 63 ล้านบาท

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker