สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงาน เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ว่า นายฮอ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ให้สัมภาษณ์ในช่วงเช้าก่อนออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติกรุงพนมเปญ เพื่อร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการที่กรุงจาการ์ตา ว่ากัมพูชายินดีที่ไทยมีความตั้งใจที่จะขอให้อินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามาประจำอยู่กับทหารไทยตามแนวชายแดนพื้นที่พิพาทกับกัมพูชา
"ตอนนี้ไทยยอมรับที่จะให้มีผู้สังเกตการณ์ เป็นเรื่องที่ดีที่สุด และจะเป็นก้าวที่ดีในการพบปะกันที่กรุงจาการ์ตา" นายนัมฮงกล่าว และว่า "นี่เป็นผลของการร้องเรียนของเราต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) เพราะเราได้ขอให้ยูเอ็นเอสซีส่งผู้สังเกตการณ์ไปยังพื้นที่พิพาทแนวชายแดนเพื่อเป็นหลักประกันในการหยุดยิงและเพื่อสังเกตการณ์ว่าใครเป็นผู้รุกรานกันแน่ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษกัน"
ซินหัวระบุว่า การให้สัมภาษณ์ของนายนัมฮง มีขึ้นหลังจากนายกษิต กล่าวว่า ไทยจะขอให้อินโดนีเซียส่งผู้สังเกตการณ์มาประจำอยู่กับทหารไทยตามแนวชายแดนพื้นที่พิพาท
นายเทอกู ไฟซาไซอา โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐมนตรีต่างประเทศชาติสมาชิกอาเซียนจะมาประชุมหารือกันอย่างไม่เป็นทางการที่กรุงจาการ์ตา เนื่องจากอาเซียนอยู่ภายใต้อินโดนีเซียในฐานะประธาน ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย (สุศีโล บัมบัง ยุทโธโยโน) ขอให้หาแนวทางริเริ่มแก้ปัญหาพิพาทของชาติสมาชิกอาเซียน
สำนักข่าวซินหัวยังระบุอีกว่า ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการครั้งนี้ กัมพูชาจะขอให้ไทยลงนามในข้อตกลงหยุดยิงถาวรโดยมีประธานอาเซียนหรือผู้แทนเป็นพยาน และยังจะขอให้ผู้สังเกตการณ์อาเซียนเข้าไปยังพื้นที่พิพาทเพื่อรับรองว่าจะมีการหยุดยิงถาวร
"กัมพูชามีความมั่นใจในอาเซียนมากในการเข้ามาไกล่เกลี่ยปัญหาพิพาทนี้" นายนัมฮงกล่าว
นายนัมฮงให้สัมภาษณ์อีกว่า หลังการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเสร็จสิ้นลง รัฐบาลกัมพูชาจะเตรียมหลักฐานเพื่อยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือไอซีเจ (Internatinal Court of Justice-ICJ) ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อให้ไอซีเจพิจารณาคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2502 อีกครั้งหนึ่ง และขอให้รัฐบาลไทยเคารพในคำพิพากษาที่ระบุว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ท.ฮุน มาเน็ต หัวหน้าหน่วยต่อต้านการก่อการร้าย กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ลูกชายสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เดินทางไปร่วมสมทบกับคณะของนายฮอ นัมฮง ที่กรุงจาการ์ตา
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานอ้างบทวิเคราะห์ระบุว่า สมเด็จฯฮุน เซน แสดงความชื่นชม พล.ท.มาเน็ตที่เข้าไปมีบทบาทสำคัญกำหนดยุทธศาสตร์และเจรจากับฝ่ายไทยในเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตอนหนึ่งสมเด็จฯฮุน เซน กล่าวว่า "มาเน็ตเป็นคนมีชื่อเสียงไปแล้วในไทย" หลังจากสื่อมวลชนไทยเสนอรายงานข่าวเกี่ยวกับ พล.ท.มาเน็ตที่เข้าร่วมวางแผนต่อสู้กับกองกำลังฝ่ายไทยยังมีกระแสข่าวลือว่าได้รับบาดเจ็บจากเหตุปะทะกันแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ก่อนที่ พล.ท.มาเน็ตจะกลับมาปรากฏตัวบริเวณชายแดนอีกครั้ง
ในบทวิเคราะห์รายงานอีกว่า การก้าวขึ้นมามีบทบาทอำนาจอย่างรวดเร็วของ พล.ท.ฮุน มาเน็ต เป็นแผนการสืบทอดอำนาจทางการเมืองของสมเด็จฯฮุน เซน ทั้งนี้ นายชายา ฮาง ผู้อำนวยการบริหารของสถาบันประชาธิปไตยกัมพูชา เปรียบเทียบกรณีของ พล.ท.ฮุน มาเน็ตว่ามีความคล้ายคลึงกับกรณีของนายคิม จอง อุน บุตรชายคนเล็กของนายคิม จอง อิล ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ที่ถูกวางตัวเป็นผู้สืบทอดอำนาจผู้นำเกาหลีเหนือคนใหม่ต่อจากบิดา ซึ่งได้รับการโปรโมตสู่ตำแหน่งระดับสูงภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน