“เรา รู้สึกไม่แฟร์นะ ที่มองคนเสื้อแดงว่าที่มาชุมนุมเพราะโดนซื้อมา ทุกคนมาเพราะเงิน ทราบว่ามันต้องมีคนที่มาเองบ้างไหม หรือว่าอย่างพวกนี้ชุมนุมรถติดวะ เฮ้ย...ชุมนุมทุกครั้งรถมันติดไม่ว่าจะใครก็ตาม แต่ทรายไม่เคยว่าเรารู้สึกว่าเขาเองก็คงสุดๆ จริงๆ ไม่งั้นใครจะบ้าออกจากบ้านมานอนกลางถนน มันไม่สนุก อย่างพันธมิตรมาชุมนุมรถก็ติด ทรายก็ไม่ได้ว่าอะไร เรารู้สึกว่าเงินมันคงไม่ใช่ทุกอย่างมั้ง”ที่มา เวบไซต์ASTVผู้จัดการ
25 มิถุนายน 2554
จาก ผลงานบทความชื่อ “แดงทำไม ทำไมแดง” หรือ “91 ศพชีวิตคงน้อยไป”ฝีมือการกลั่นกรองจากสมองและสองมือของ “ทราย เจริญปุระ” ที่เขียนลงคอลัมน์ “รักคนอ่าน” ในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ในฐานะคอลัมน์นิสต์ประจำ ที่ทำงานให้กับสำนักนี้มานานกว่า 9 ปี
กอปร กับก่อนหน้านี้ เจ้าตัวมีชื่อเข้าร่วมในกลุ่มผู้ลงนามกดดันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ให้เปิดประตูสถาบันให้กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปใช้สถานที่ในการทำกิจธุระส่วน ตัวต่างๆ เมื่อครั้งที่กลุ่มคนเสื้อแดงมาชุมนุมประท้วงที่บริเวณสนามหลวง เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ปีที่แล้ว อีกทั้งปัจจุบันทรายยังทำงานเป็นพิธีกรให้กับช่องเคเบิ้ล Voice TV สื่อในมือตระกูลชินวัตร
ล่าสุด ทรายยังมีชื่อเป็นหนึ่งในนักเขียนที่ร่วมเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” โดยนักเขียนกลุ่มดังกล่าวมีความเห็นว่า กฎหมายมาตรา 112 เป็นอุปสรรคต่อเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะการสร้างสรรค์งานเขียนจึงสมควรมีการปรับปรุงแก้ไข
หลายๆ ข่าวคราวและพฤติกรรมทั้งหมดของ “ทราย” ที่กล่าวมาข้างต้น จึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ที่คนภายนอกจะมองว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมีแนวคิด และอุดมการณ์สอดคล้องกับกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งวันนี้เธอยินดีเปิดใจกับ “ทีมบันเทิงASTVผู้จัดการออนไลน์” แบบชัดเจนและตรงไปตรงมา …ทุกบรรทัดด้านล่างนี้ คือคำตอบทั้งหมด ทุกประเด็น!
“คอนเซ็ปต์ของคอลัมน์ทรายในมติชน มันเป็นการอ้างอิงถึงหนังสือเล่มต่างๆ งานเขียนคอลัมน์ทรายเป็นการเขียนแนะนำหนังสืออีกที มันเป็นการอ้างถึง ที่อาจจะเป็นผลกระทบที่มีต่อเรา เหมือนเราอ่านแล้วเรารู้สึกยังไง เราก็จะเขียนถึง ทรายก็เขียนตามความรู้สึกนึกคิดของทรายทั้งหมด ก็คือกลางๆ ในฐานะที่เราทุกคนมีความเท่าเทียมกัน สมมติว่าเราตีไว้ว่า สังคมนี้มันมีทั้งหมด 2 สี ทั้ง 2 สีต่างออกมาชุมนุม เราก็จะรู้สึกว่าทำไมอีกฝ่ายออกมาชุมนุมแล้วดี อีกฝ่ายออกมาชุมนุมแล้วไม่ดีล่ะ ถ้าไม่ดีมันก็ต้องไม่ดีทั้งคู่ ถ้าดีมันก็ต้องดีทั้งคู่สิ”
“บางทีมันก็มีกรอบความคิดบ้างอย่างที่พอ เป็นพวกนี้แล้วจะอี๊ จะไปอี๊เขากันทำไม ปัญหาเขากับปัญหาเรามันคนละเรื่องกัน ปัญหาเขามันก็ไม่ได้เล็กกว่าปัญหาของเรา คือเราไม่ควรจะไปดูถูกปัญหาของคนอื่น พอเราเห็นเราก็จะรู้สึกว่าอยากให้มองกันอย่างแฟร์ๆ มันก็ไม่ควรจะเป็นแบบนี้จริงๆ ถึงเขียนออกมา แต่มันก็โดนไปมองว่าเราเลือกข้างรึเปล่า”
“แรงบันดาลใจในการเขียนมา จากสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเรื่องของบุคคล เรื่องของสถานการณ์ ยิ่งเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันต่างๆ มันมีอิทธิพลต่องานเขียนเราอยู่แล้ว ทรายว่างานเขียนมันขึ้นอยู่กับบรรยากาศที่มันมีอิทธิพลต่อนักเขียนคนนั้นๆ มากกว่า”
“การเขียนให้ที่นี่ไม่จำเป็นต้องเขียนเรื่องหนัก หรือต้องเลือกฝั่ง ทรายจะเขียนอะไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นแพรวสุดสัปดาห์ทรายก็จะรู้สึกว่าเราอย่าไปเขียนอะไรที่มันซีเรีย สมาก ไม่มีใครมาสั่งให้เขียนยังไง มีแต่ทรายสั่งตัวเองว่าอาทิตย์นี้เขียนเรื่องนี้นะ แต่ส่วนใหญ่ก็จะถามก่อนว่าอยากจะให้เขียนอะไร ประมาณไหน หนังสืออะไร คอลัมน์อะไร ก็ดูรวมๆ ค่ะ ทรายก็คงจะไม่ไปอยู่ๆ แรง อาละวาดฟาดงวงฟาดงาไม่ดูเหตุผลมันก็ไม่ได้”
“นักเขียนก็ต้องมี จรรยาบรรณค่ะ ในงานแบบทรายเลย ทรายจะไม่ไปเขียนอย่าง แก...แกมันเลวมาก แบบนี้โดยไม่อธิบายกันว่าเขาเลวยังไง แล้วทำไม ทรายจะไม่เขียน ทรายจะนับถือถ้าคุณคิดอย่างนี้เราไม่ว่า agree to this agree แม้ว่าทรายจะไม่ได้เห็นด้วยกับทุกเรื่องบนโลกใบนี้ ว่ามันจะเป็นไปในทางเดียวกันหมด แต่เขาก็มีสิทธิ์ที่จะคิดแบบนั้น เราไม่ควรจะไปว่าเขา แกคิดแบบนี้แกผิด มันไม่ใช่ นอกเสียจากว่าสิ่งที่เขาทำมันลุกล้ำ พอเธอคนนี้คิดไม่เหมือนเรา เราจะไปเผาบ้านเธออันนี้มันก็ผิด แล้วถ้าคุณไม่สามารถอธิบายในสิ่งที่คุณทำได้ แสดงว่ามันก็ไม่ดี มันจะกลายเป็นการขายของกันอย่างเดียว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ควร มันอาจจะไม่ได้มีอิทธิพลกับใครก็ได้ แต่ถ้ามันมีขึ้นมาล่ะ”
“งาน เขียนของทรายจะพาดพิงถึงบุคคลอื่นน้อยมาก เพราะนอกจากงานที่ทรายจะเขียนหนังสือแล้ว ทรายมีอาชีพเป็นนักแสดง เรารู้ว่าอยู่ๆ การที่เราถูกพาดพิงมันนรกมาก เหมือนอยู่ๆ มีคนมาถ่ายรูปเราแชะนึง แล้วเอาไปเขียนว่าทรายพบรักใหม่เป็นผู้หญิง โดยที่ไม่มีใครมาถาม กว่าจะมีคนมาถามเรื่องมันก็ไปถึงไหนๆ แล้วก็ไม่รู้ อย่างข่าวล่าสุดเรื่องมีรายชื่อทรายไปทำแท้ง พบศพเด็กที่วัดไผ่เงิน ซึ่งพอกว่าจะมาถามทรายเรื่องมันก็ได้ออกไปแล้ว ในฐานะนักแสดงทรายเข้าใจว่าการโดนพาดพิง การโดนตัดสินโดยที่ไม่มีโอกาสอะไรเลยมันแย่มาก พอมาเขียนเองทรายเลยไม่อยากพาดพิงใครหรือเขียนชี้หน้าใคร”
พอถามถึงเหตุผลที่เขียนบทความเรื่อง “แดงทำไม ทำไมแดง” ว่าต้องการจะสื่ออะไร? เจ้าตัวก็อธิบายออกมาอย่างอัดอั้นว่า…
“สำหรับ เรื่องนี้ทรายเสียใจ ทรายรู้สึกแย่ หนึ่งคือทรายเขียนถึงหนังสือเล่มนึง ซึ่งคนที่มาด่าทรายเขาก็ไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนั้น ซึ่งถามว่ามันแฟร์ไหม ทำไมถึงทำตัวอย่างนี้ ทรายจะมานั่งคิดว่าเอายังไงดีวะ เดี๋ยวไปเอาหนังสือของอีกฝั่งนึงมาเขียนบ้างดีกว่า อย่างนี้หรอ คือทรายต้องแก้ตัวขนาดนั้นเลยหรอวะ ทรายเชื่อว่าในสิ่งที่ทรายเขียน ทรายไม่ได้ทำให้ใครต้องเจ็บปวดปางตาย”
“อย่างที่ทรายบอกไปแล้ว ว่าถ้าในสิ่งที่อีกฝั่งนึงทำได้ อีกฝั่งเขาก็ต้องทำได้เหมือนกัน เรื่องผิดกฏหมายมันเป็นอีกประเด็นนึง ดังนั้นถ้าเป็นคนที่คุณถูกใจแล้วเขาทำผิด คุณก็จะไม่โกรธอย่างนั้นหรอ ทรายว่ามันก็ไม่ได้นะ มันก็ดูจะใจร้ายกันเกินไปหน่อย แต่พอมันเป็นการเลือกข้าง อีกฝั่งนึงมันก็ต้องดูแย่กว่าอยู่แล้ว เพียงแต่ในมุมที่ทรายเขียน ทรายรู้สึกว่าเขาเองก็มีปัญหาของเขา เขาก็มีชีวิตของเขา ถ้ามันมีหนังสือเรื่องเขื่อนปากมูล ทรายก็จะเขียนหนังสือเรื่องเขื่อนปากมูล ถ้ามันมีหนังสือเรื่องม็อบชาวนา ทรายก็จะเขียนถึงหนังสือเรื่องม็อบชาวนา”
“นั่นคือสิ่งที่ทรายอยากจะ บอก หลายๆ คนที่ทรายรู้จักไม่ว่าจะเป็นครู เป็นหมอที่เขามีแนวคิดทางการเมืองที่โอเคทุกคนเรียกเขาว่าเป็นแดง แต่ไม่มีใครสนใจในข้อย่อยของเขาว่าทำไม แล้วทุกคนก็จะมาคิดว่าแดง อี๊ โง่ อี๊ ต้องชอบทักษิณแน่ๆ เลย ซึ่งมันก็มีตั้งหลายคนที่เปล่าไม่ได้ชอบ แล้วก็ไม่ได้จะต้องออกไปชุมนุม มันก็ไม่ใช่ ทรายก็เชื่อว่าคนที่ไปชุมนุมเขาก็ไม่ได้ซื้อกันมาทุกคน เพียงแต่ว่าเขาเองก็คงมีเหตุผลของเขา ซึ่งทรายเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปถามได้ว่าพี่คะ ทำไมพี่ถึงมา จะให้ทรายไปถามทุกคนมันก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่หนังสือเล่มนั้นเขาเขียนว่าเขาไปสัมภาษณ์มา เขามีทำโพล์ เขามีทำสถิติ เขามีการเก็บข้อมูลเปรียบเทียบมา ทรายก็เลยเขียนถึง มันในแง่นั้นก็เท่านั้นเอง จบ”
“เรารู้สึกไม่แฟร์นะ ที่มองคนเสื้อแดงว่าที่มาชุมนุมเพราะโดนซื้อมา ทุกคนมาเพราะเงิน ทราบว่ามันต้องมีคนที่มาเองบ้างไหม หรือว่าอย่างพวกนี้ชุมนุมรถติดวะ เฮ้ย...ชุมนุมทุกครั้งรถมันติดไม่ว่าจะใครก็ตาม แต่ทรายไม่เคยว่าเรารู้สึกว่าเขาเองก็คงสุดๆ จริงๆ ไม่งั้นใครจะบ้าออกจากบ้านมานอนกลางถนน มันไม่สนุก อย่างพันธมิตรมาชุมนุมรถก็ติด ทรายก็ไม่ได้ว่าอะไร เรารู้สึกว่าเงินมันคงไม่ใช่ทุกอย่างมั้ง”
ซึ่งข่าวคราวที่เกิดขึ้น รวมถึงคอลัมน์นี้อาจทำให้เสื้อแดงคิดว่าทรายอยู่ข้างเขา?
“เฮ้อ...(ถอน หายใจ) แต่มันก็จะมีการอ้างอิงอยู่เรื่อยๆ อยู่แล้วไง สมมติอย่างพ่อทรายเคยเป็นทหาร ฝั่งทหารก็จะออกมาบอกว่าทรายเป็นพวกของเรา เอ้า เป็นอย่างนี้เราจะไม่พูดอะไรเลยในชีวิต เพราะเราพูดอะไรไม่ได้เลย แต่มันเป็นไปไม่ได้ไงที่คนเราจะพูดอะไรไม่ได้เลย มันไม่ได้ มนุษย์ต้องพูดนะ บางทีเราอาจจะพาดพิงอะไรของเราไปเรื่อยเปื่อยเวลาเราพูดกัน จริงๆ แล้วทรายเลือกที่จะมีข้อที่ทรายชอบ และที่ทรายไม่ชอบจากของทั้ง 2 ฝั่ง แล้วมันก็มีข้อที่เขาทำเหมือนกัน แล้วทรายเชื่อว่าถ้าทำเหมือนกันได้ ถ้าจะผิดก็ต้องผิดเหมือนกัน ถ้าจะถูกก็ต้องถูกเหมือนกัน อันไหนที่ไม่เหมือนกันก็ต้องมาแยกเป็นข้อๆ ไป”
“ทรายสามารถมีระบบ ความคิดเป็นข้อๆ ได้ โอเคบางคนอาจจะต้องเลือกข้างเทไปเต็มตัว แต่ทรายสามารถเอ๊ะ อันนี้ทรายไม่ชอบ ไม่เอา ถ้าเปรียบกับการรับน้องใหม่ ทรายก็จะเป็นมนุษย์ที่แบบ วันนี้เหนื่อยไม่ลงแล้วกันนะเดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่ ทรายจะไม่อินกับข้างใดข้างนึงเพราะอันนี้ทรายไม่ชอบ ทำไมต้องทำ แต่อันนี้ชอบเดี๋ยวจะทำเต็มที่ ทรายก็เป็นคนอย่างนี้ ก็เลยรู้สึกว่าถ้าจะมีคนอ้างอิงถ้ามันเป็นข้อมูลที่ถูกโอเค ทรายก็จะยอมรับว่าอันนี้ทรายพูด แต่พอสนับสนุนอย่างนี้แสดงว่าแกอยู่ข้างฉัน ไม่เลย...เปล่า ก็เปล่า แต่ถ้าข้อนี้ใช่ฉันเห็นด้วย แต่แกต้องอยู่ข้างฉันทั้งหมด อย่างนี้ไม่ ทรายว่าทรายก็ชัดเจนนะ จริงๆ แล้วอยากทำตัวให้เป็นสายลม แสงแดดมากกว่านี้ เอาให้มันเข้าข้อกันไปเลย จะได้ไม่ต้องมาถามอะไรกันอีก”
“อย่างที่มาว่าทราย มาว่าถึงพ่อถึงแม่ทราย ถ้าทรายว่าเขาบ้างล่ะ ถามก็ไม่มาถามทราย แต่มาว่าทรายแล้ว แล้วจะมาอ้างว่าก็คุณเป็นคนของประชาชน แล้วไงก็โกรธเป็นนะโว้ย อะไรก็ไม่ได้ทำอ่ะ แล้วทรายว่าอีก 10-20 ปีตอนนั้นทรายไม่รู้ว่าบ้านเมืองจะเป็นยังไง แต่ถ้าทุกคนลองมองกลับมาวันนี้ ต้องมีคำขำว่านาทีนั้นกูเป็นอะไรวะ ทำไมมันอิ๊นอิน ทรายว่ามันต้องมีคนที่รู้สึกแบบนี้ เพียงแต่นาทีนี้เรื่องมันเป็นอย่างนี้ คุณก็เลยไปตัดสินคนอื่นว่ามันเป็นอย่างนี้แค่นั้นเอง”
*******
เปิดตัวตน “ทราย เจริญปุระ”(จบ) : หากเป็นบุคคลอันตรายต่อสถาบันคงไม่ได้เล่น “นเรศวร”
ที่มา เวบไซต์ASTVผู้จัดการ
แน่ นอนว่า หลังจาก “ทราย เจริญปุระ” มีชื่อเอี่ยวเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่สนับสนุนให้มีการรื้อกฎหมาย ม.112 ออกมา ย่อมถูกโจมตีจากคนที่จงรักภักดีต่อสถาบัน รวมถึงมีผลกระทบต่อบทบาทการเป็นหนึ่งในนักแสดงภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ว่ายังสมควรได้รับหน้าที่นี้ต่อไปอีกหรือ? ซึ่งกับเรื่องนี้เจ้าตัวก็เคลียร์ชัดตามแบบฉบับของเธอว่า…
“มันเป็นเรื่องตลกเลย อย่างท่านมุ้ย (ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล) ก็บอก เฮ้ย...ไอ้ทราย เห็นรึยัง ทรายก็บอกว่าเอาออกแล้วมันมีที่ไหนล่ะ ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวเขาก็ต้องมาว่าฉัน ทรายก็บอกไปใครเขาจะไป ว่าท่านล่ะ จะว่าก็ต้องมาว่าทรายนี่แหละ คือคนในกองหรือแม้แต่ตัวท่านมุ้ยเองท่านก็ทรงทราบว่าไม่ใช่ เราทำงานกันมานานเกินกว่าจะมาแอบปลุกระดมอยู่ลับๆ ไม่ใช่ จะบ้าหรอ ตลกจะตาย
ถามว่าทรายรับรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ที่มันกำลังเป็นประเด็นที่พูดถึงอยู่ไหม ทรายรู้ แต่ไม่ได้หมายความว่าทรายจะต้องแสดงออก ว่าทรายเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หรือว่าอยากจะแย้งในมุมนั้นมุมนี้ ตีความมาตรากฎหมายต่างๆ ทรายแค่รับรู้ว่ามันมีเรื่องนี้เกิดขึ้น จบ”
“ท่านรู้ว่าทรายไม่ได้สนใจว่า มันจะต้องมีหรือจะต้องไม่มีอยู่ในบรรดาพิภพนี้ เพราะอะไรก็ไม่รู้ เอาจริงๆทรายไม่รู้กฎหมายสักมาตรานึง ต่อให้ขับรถไปชนคนตาย ทรายรู้ว่าทรายผิด แต่ทรายไม่รู้ว่าตัวเองผิดกฎหมายมาตราอะไร มันคือสิ่งที่จริงเหรอที่เราต้องรู้ เราต้องท่องมาตรากฎหมายได้ใช่ไหม ถ้าทำอย่างนี้มันผิดมาตราอะไร เพียงแต่ว่าพอเขียนงานทรายก็จะพยายามเขียนไม่พาดพิงใครอยู่แล้ว มันยากที่จะไปถามเอาข้อมูลจากเจ้าตัวโดยตรง ทรายไม่มีสิทธิ์อยู่แล้วไง ทรายก็จะไม่แตะไม่ยุ่ง”
“พอมีข่าวเรื่องล่ารายชื่อ ล่าสุดที่เอามาเกี่ยวกับการแสดงหนังนเรศวร ถามหน่อย ถ้าท่านไม่เปลี่ยนตัวแล้วเขาจะ เสียใจไหม จริงๆ นะ นี่ถามจริงๆ ถ้าท่านมุ้ยตอบว่า จะไปเปลี่ยนทรายมันทำไม คนที่เขาเข้ามาคอมเม้นท์จะเสียใจมากไหมที่ท่านไม่เชื่อเขา มันยังไงดีวะ คือทรายไม่รู้จะสะเทือนใจอะไร ทรายเองสะเทือนใจแทนเขาหน่อยๆ ด้วยซ้ำ เพราะว่าทรายรู้ว่าท่านเขาไม่เปลี่ยนไง เพราะพี่เล่นคอมเม้นท์โดยที่พี่ไม่ถามผมไง พี่ไม่ถามผม พี่ไม่ถามท่าน พี่เล่นคอมเม้นท์เลย แล้วเดี๋ยวพี่จะผิดหวังเองนะ ผมขอโทษแทนพี่ด้วยจริงๆ เลย คือทรายไม่รู้จะพูดยังไง บางทีมันเซ็งจนตลก บางทีเอากันเข้าไป ลากเรื่องนั้นมาพูดด้วย เอาสิ เอามาอีกมา”
“สำหรับคนบางประเภททรายรู้ว่าคำอธิบายมันไม่มีปะโยชน์อะไรกับเขาเพราะเขา เชื่อไปแล้ว เขาเลือกที่เขาจะเชื่อแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นก็คงจะต้องแล้วแต่ ปล่อยเขาไป ในขณะที่คนบางคนอาจจะพร้อมที่จะฟังคำอธิบาย คนอย่างนี้ทรายยินดีที่จะคุยด้วย แล้วคนอีกประเภทนึงที่รู้อยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งไม่มีความจำเป็นจะต้องมาพูดอะไรกันอีก และท่านมุ้ยก็เป็นคนแบบที่สาม ส่วนคนประเภทแรก อยากปรับกลุ่มก็ไม่เป็นไร เราไม่ว่ากัน มันเรื่องอะไรวะที่ทรายจะต้องมานั่งอธิบายให้คนอื่นรู้ว่าทรายเป็นคนยังไง แล้วทรายก็คิดอย่างนี้ต่อประเด็นเรื่องของน้ำเสียทรายคิดว่ามันแย่มากเลย ทำไมทรายจะต้องพูดทุกเรื่องวะ เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องส่วนตัวได้ไหม”
“ท่านมุ้ยเองท่านก็อ่านมติชนเป็นประจำ ท่านอ่านแล้วก็โทรมาถามว่า แกอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยเหรอ (แดงทำไม ทำไมแดง) แกก็จะถาม เราก็จะคุยกันเป็นปกติ อย่างท่านเองก็เล่นเว็บบอร์ดอะไรต่างๆ ก็จะมีมาบอก ตอนทรายอกหักท่านก็ล้อกันสนุกสนานมีความสุข คือเราทำงานกันมานานจนเหมือนเป็นครอบครัวไปแล้ว สำหรับนเรศวร ทรายเองเจอท่านมุ้ยมาประมาณ 8-9 ปี จริงๆ แล้วตัวท่านเป็นคนที่เคารพความคิดของคนอื่นมากๆ วันนึงท่านก็ถามทรายเลย เฮ้ย...เสื้อแดงเปล่าวะ ตกลงเลือกสีอะไร ทรายก็บอกว่าหนูไม่ใส่สีสด หนูใส่เสื้อดำกับเสื้อหนังไปรบของท่านเนี่ย จบ”
“ท่านเองก็ถามไม่ใช่ว่าจะจี้เพื่อจะเอาคำตอบชนิดบอกมานะ ถ้าตอบผิดไม่ต้องเล่น มันก็ไม่ใช่ขนาดนั้นเราจะตอบอะไรก็ได้ แล้วทรายก็คิดอย่างนั้นจริงๆ ว่ามันไม่เลือกได้ไหม ทรายขอเป็นฮิปปี้ เป็นสายลม แสงแดด เพราะชอบอันนั้นหน่อย ชอบอันนี้หน่อย อยากกินข้าวหลายๆ อย่างไม่ได้เหรอ ทำไมมันต้องเลือกอะไรสักอย่างด้วยเหรอวะ แต่มันก็จะมีบางครั้งที่ท่านบอกว่า เขียนอะไรก็ให้ระวัง ฉันเข้าใจว่าเธอกำลังพยายามบอกอะไร แต่มันไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะเข้าใจด้วย ก็เตือนในแบบผู้ใหญ่มากกว่า”
“อย่างเคสนี้โอเคเรื่องส่วนตัวของทราย มันก็ไม่เป็นเรื่องส่วนตัวอยู่แล้ว แล้วยังจะต้องมาแถลงสิ ถ้าจะให้ฉันเชื่อเธอแถลงข่าวมาสิว่าเธอ...เฮ้ย...เยอะไปไหม โอ๊ะ! ไม่ใช่นิสัยนะ จะบ้าหรอ แล้วยังไง ทำไมทรายจะต้องสปอยคุณขนาดนั้นวะ ในเมื่อคุณเองก็ด่าทรายแล้วด้วย ทรายต้องมานั่งสปอยคุณอีกหรอ เหมือนมีคนมาด่าทรายเสร็จแล้วทรายยังต้องบอกกับเขาว่ากินน้ำไหมอะไรอย่างนี้ อีกเหรอ ไม่... ไม่มีทาง คุณร้ายกับเราขนาดนี้แล้วยังจะให้เรามาดีด้วย ไม่มีทาง ถ้าทรายจะโกรธ ทรายก็คงจะโกรธตรงที่บางทีก็ด่ากันถึงพ่อถึงแม่ ทำไมอ่ะ เขามาเกี่ยวอะไรด้วย เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไร เวลาเขียนเขาไม่ได้มาจับมือทรายเขียน พ่อทรายไม่ได้มาเข้าสิง เขาตายไปแล้วจะเอายังไงกับเขาอีก”
“พ่อทรายเองก็เป็นทหารนะ จะเอายังไงกันอีกวะ ทรายก็โอเคบางทีมันมาถึงจุดที่ขำนะ เต็มที่ไปอยากจะทำอะไรก็ลากกันไป ระหว่างนี้เดี๋ยวทรายก็ไปกู้ชาติ ขอตัวไปเล่นหนังก่อน เวลาคุยกันในกลุ่มเพื่อนก็จะแซวกันว่าเดี๋ยวไปกู้ชาติแป๊บนึง ก็คือไปถ่ายหนังนเรศวรแหละ ทรายว่าบางอย่างมันเกินไป การตีความข้ามช็อต 18 ช็อตมากๆ ว่าอ๋อ...เข้าข้างพวกนี้แปลว่าล้มเจ้า ไม่รักในหลวง จะ เขียนตรงไหนที่มันตีความกันไปได้ล้ำลึกมาก จริงๆ แล้วคนที่ตีความล้ำลึกพวกนี้น่าจะมาเขียนหนังสือแทนทรายกันทุกคนเพราะว่า เก่งกว่ามาก คือหนึ่งนอกจากจะไม่มีใครถาม”
“แล้วยังไม่มีใครเอะใจบ้างเลยเหรอ ว่าถ้าทรายเป็นจริงๆ ท่านมุ้ยท่านจะไม่รู้ นี่มันคือการดูถูก คือท่านคงไม่เลือกคนที่มีแนวโน้มที่จะเป็นอันตรายต่อสถาบันของท่านเองมาเล่น หนังหรอก นอกจากว่าท่านจะทำหนังแล้ว ท่านเองก็ยังเป็นเจ้าด้วย คือไม่มีใครเอะใจเรื่องนี้กันบ้างเลยเหรอ ทำไมพร้อมใจกันมาว่าเลวๆๆ แต่ก็อย่างที่บอก พอทรายพูดก็แหม...ท่านเขาไม่รู้ไง โอ้ย ถ้าคุณคิดกันอย่างนี้นี่คุณดูถูกท่านมุ้ยกันมากนะ ท่านไม่รู้ จะบ้าเหรอ”
“คุณคิดว่านักแสดงที่เล่นหนังกันมาเป็น 10 ปีขนาดนี้จะไม่รู้ ในกองถ่ายที่เมืองกาญจนบุรี คนที่คิดว่าทรายเลวมากบังอาจมาเล่นนเรศวรได้ไง คุณเคยไปกองละครผมรึเปล่า คุณเคยรู้ไหมว่าเราอยู่กันยังไงเวลาทำงาน บางทีทรายก็สาธุ นิมนต์ เดี๋ยวผมจะเขียนแต่เรื่องดราม่าแล้ว ผมจะไม่เขียนอะไรอย่างนี้อีกแล้ว นี่เรื่องผ่านไปตั้งกี่เดือนแล้วเพิ่งจะมาพูด ถามหน่อยมันแฟร์กับผมไหม ก็ไม่เป็นไรไม่ว่ากัน”
พอถามย้ำว่า เชื่อว่าขบวนการล้มเจ้ามีอยู่จริงไหม? ทรายบอกว่า…
“แบบจริงจัง วางแผน มีสายลับอันนี้ไม่รู้สิ มันยังมีได้อีกเหรอในยุคนี้ แน่นอนเอาเป็นว่าถ้ามีคนชอบ ก็คงจะมีคนไม่ชอบ โลกนี้มันมีอยู่แค่นี้แหละ แต่มันจะมากจะน้อยแค่นั้นเอง แล้วด้วยเหตุผลอะไรซึ่งเราไม่จำเป็นต้องไปรับรู้ ด้วย ทรายเป็นคนอย่างนี้ไง เลยเป็นคนที่โดนตั้งข้อสงสัยอยู่ตลอดเวลา”
“พอ เราบอกว่า เราขออยู่ตรงกลางก็ไม่มีใครเชื่อ ทุกคนอยากให้เราอยู่ข้างเขา ปัจจุบันมันต้องเลือกข้าง เอาจริงๆไม่เลือกได้ไหม ไม่ชอบ ก็บอกแล้วไงใส่สีสดไม่ขึ้น ไม่ว่าจะสีอะไรก็ใส่ไม่ขึ้น เข้าใจไหม จะมายุ่งอะไรกับผมจริงๆเลย คือทรายใส่เสื้อดำจนติดแล้ว อาจจะเป็นด้วยชื่อเราอยู่ตามอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ตามป้าย ตามหนังสือพิมพ์ โดนหมดแล้ว จะให้ทรายทำยังไง ทรายคิดอย่างนี้ไง ว่าเราเลือกมาเป็นดาราเองมันก็ช่วยไม่ได้”
หมายเหตุไทยอีนิวส์:ท้าย ข่าวนี้ในเวบไซต์ASTVคนอ่านเวบไซต์นี้ เข้ามาด่าทรายและครอบครัวแบบสาดเสียเทเสียตามเคย และกล่าวหาว่าเธอไม่จงรักภักดีสถาบันกษัตริย์
******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:
-ทราย เจริญปุระ:91 ชีวิตคงน้อยเกินไป
-ทราย เจริญปุระ:เราอยู่ในประเทศเสรี แต่คนที่พยายามจะให้ทุกคนมีเสรีกลับถูกลงทัณฑ์
-บรู๊ค-ดนุพรขอแรงหย่อนบัตร3กรกฎาพาจตุพรออกคุก
-คลิปนิรุตติ์หลุดเลือกไปก็แค่นั้นเดี๋ยวพวกเผาบ้านเผาเมืองก็มาเป็นรมต. ยักไหล่ใส่มาร์คไม่โกงแต่ไม่เก่ง
-เจ้ย-อภิชาติพงศ์เจ้าของรางวัลหนังเมืองคานส์ และ5ผู้กำกับมือระดับนานาชาติโดดร่วมรณรงค์ตื่นรู้ม.112
-คลิป8-1นักเขียนชื่อดังร่วมกันอ่านจดหมายเปิดผนึกถึงเพื่อนนักเขียนทั่วประเทศ ว่าด้วยมาตรา 112