หมายเหตุกองบรรณาธิการ ความสุขของกะทิ เป็นนวนิยายขนาดสั้น ของ งามพรรณ เวชชาชีวะ ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2549[1] และได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2552 ในชื่อเดียวกันคือ ความสุขของกะทิ ซึ่งอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้ไปปรากฏตัวในวันเปิดภาพยนตร์ด้วย ความสุขของกะทิ เล่าเรื่องราวของกะทิ เด็กหญิงวัย 9 ขวบที่กำลังจะต้องสูญเสียแม่ แม่รู้ตัวดีว่าไม่สามารถเลี้ยงดูกะทิได้ จึงฝากกะทิให้ตากับยายเลี้ยง กะทิเติบโตมาด้วยความรักของตาและยาย มีชีวิตอย่างสุขสบายในบ้านหลังน้อยริมคลองอันอบอุ่น (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย) ผู้เขียนบทความฉบับนี้ จงใจวิพากษ์บทบาทของ ‘อภิสิทธิ์’ ในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยผ่านตัวละครในนวนิยายเรื่องนี้ |
ความสุขของมาร์ค
กะทิเข้าใจว่ามาถึงนาทีนี้ มาร์คคงยังไม่มีเวลาคิดถึงกะทิเท่าไหร่นัก ไว้อีกสองสามวันหรือเดือนหน้า ปีหน้า มาร์คลองกลับมาอ่านจดหมายนี้อีกครั้งก็ได้นะ กะทิแค่อยากทวนเรื่องเก่าๆ สมัยเด็กๆเท่านั้นเอง
ตอนที่มาร์คฝันไว้แต่เด็กว่าอยากเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยนั้น ประเทศเราคงช่างสวยงาม สงบเย็นไม่ต่างกับนิยายที่กะทิอยู่ในนั้น นายกใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารที่มาร์คเห็นในทีวีก็ช่างสง่างาม ไปไหนมีคนไหว้เรียกท่าน ทั้งประเทศ ความฝันของเด็กมันดีที่สะอาดสวยงามไม่สกปรกแบบนี้แหละ
วันนี้ 14 เมษายน 2552 เวลา11.30น. มาร์คคิดอย่างไรกับผู้หญิงเสื้อแดงคนนั้น ที่นั่งร้องไห้อยู่ข้างถนน ปากพูดพร่ำอย่างสับสน จับเรื่องราวเรียบเรียงไม่ได้นัก “เขาทำเพื่อนหนูตาย ทำไมต้องทำกันขนาดนี้... มันโหดเกินไป... อยู่ไหน ทำไมไม่มาช่วยพวกเรา” คนแบบนี้หรือที่มาร์คเรียกเขาว่าผู้ก่อการจลาจลอันเป็นภัยต่อสถาบัน คนแบบนี้หรือทั้งๆ ที่ถูกไล่ตี เพื่อนถูกเขายิง ไม่มีคำด่าหยาบคายออกมาจากปากเธอสักคำ นอกจากเสียงร้องไห้โหยหวน สลับกับประโยคนั้น ที่มันเรียกร้องขอความช่วยเหลืออย่างสุดหัวใจ กะทิฟังแล้วยังโกรธแค้นแทนเธอ อยากออกมาตะโกนบอกมาร์คว่าพอแล้ว หยุดได้แล้ว แต่กะทิก็เข้าใจว่ามาร์คกำลังมีบางอย่างในใจ บางอย่างที่มาร์คเองก็คงไม่เคยคิดว่าจะอาจเอื้อมไปถึง ที่เข้ามาพร้อมกับสถานภาพนายกที่มาร์คไต่เต้าจนได้มาในวันนี้
ความฝันในตอนเด็กของมาร์คคงไม่มีผู้หญิงคนนี้ให้นายกปกครอง และในวันนี้ผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงไม่มีตัวตน ไม่มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ให้มาร์คมองเห็น มาร์คจึงเลือกการปราบด้วยกำลัง ด้วยความมั่นใจที่มาร์คออกมายืนยันอีกครั้งทางทีวีว่ามันถูกต้องที่สุดแล้ว อะไรทำให้มาร์คมั่นใจได้มากขนาดนั้นนะ กะทิดูวิดีโอข่าวในวันนี้ย้อนไปมาแล้วมันจุก...แล้วก็ร้องไห้
ทางหนึ่งกะทิเดาว่า มาร์คคงจมปลักกับประเทศไทยในฝันแบบตอนเด็ก ที่สังคมสงบ ไม่มีความเห็นต่าง ทุกคนเป็นคนแสนดี พร้อมจะเข้าอกเข้าใจกันอย่างเหลือเชื่อแบบในนิยายของกะทิ มาร์คจึงเดียงสาเหลือเกินกับการจัดการกับความแตกต่าง ที่เป็นความจริงท้าทายมาร์คมาตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่ง มาร์คคงหลงทางอยู่ในฝัน และเลือกที่จะปิดหูปิดตาประเมินคนเสื้อแดงให้ต่ำเข้าไว้ ว่าเขาคือผู้ร้ายที่มีไม่กี่คน สมควรที่จะถูกพระเอกกำจัด
อีกทางหนึ่งคือสิ่งแวดล้อมตัวมาร์คที่กะทิไม่สามารถสืบรู้ได้ด้วยตัวเอง กะทิก็เป็นเหมือนชาวบ้านธรรมดาอีกหลายคน ที่ไม่ได้อยู่ในวงจรอำนาจที่มาร์คเลือกเข้าไปโคจรอยู่ในนั้น กะทิได้แต่เดาว่าในนั้นคงเต็มไปด้วยการต่อรอง การสร้างเงื่อนไขแห่งผลประโยชน์ และต้องเป็นอำนาจที่มีเหลือล้นที่ไม่มีประชาชนแบบกะทิอยู่ในนั้นแน่ๆ เพราะสามารถทำให้มาร์คตัดสินใจเลือกทำสิ่งที่ไร้สามัญสำนึก แค่สักหนึ่งชีวิตที่เจ็บหรือตายเมื่อคืนนี้ ไม่มีใครมีเวลาเตรียมตัวให้ลูกของเขาเตรียมใจรับมือกับความสูญเสีย แบบที่แม่ทำทิ้งไว้ให้กะทิสักคน ไม่มีคนเห็นใจหรือเข้าใจแบบน้าๆรายรอบตัวกะทิที่คอยปลอบโยนหลังความเจ็บปวด เพราะสื่อต่างๆเลือกที่จะเซนเซอร์ตัวเองตามคำสั่งของมาร์ค เลือกที่จะเสนอข่าวให้ร้ายพ่อแม่ของเขาด้านเดียว พ่อแม่เขาถูกทำให้เป็นผู้ร้ายของสังคม ที่มาร์คออกมาสำทับด้วยการแถลงข่าวอีกสองสามรอบด้วยตัวเอง เอาเถอะ ต่อให้มีอันธพาลอยู่ในกลุ่มผู้ประท้วงจริงก็ตาม มาร์คเลือกวิธีการเหวี่ยงแหด้วยการกราดปืนเพื่อผลของสิ่งที่เรียกว่าสงบเรียบร้อย คนที่บอบช้ำที่จะมีชีวิตอยู่หลังจากนี้นี่หรือคือคนที่มาร์คอยากปกครอง
คงไม่มีคุณค่าในความเป็นมนุษย์ใดๆสำหรับบุคคลที่มีความเห็นต่างในความเห็นของมาร์คอีกแล้ว เพราะมาร์คแสดงตัวออกมาเองด้วยการกระทำที่ไม่มีความเป็นมนุษย์ตอบกลับเขาไปเช่นกัน และไม่ใช่ภาพนายกในฝันที่กะทิเคยเห็นในตัวมาร์คอีกต่อไป
วันนี้กะทิขอบอกว่ามาร์คไปถึงฝันที่เป็นนายก แต่กลับประสบความล้มเหลวในความเป็นมนุษย์ไปทั้งชีวิต ประวัติศาสตร์คงจะจดจำมาร์คไว้เป็นเพียงจิ๊กซอว์อีกชิ้นหนึ่ง ที่เชื่อมโยงไปถึงวงจรอำนาจอุบาจน์ ที่เลือกลงมือกระทำกับประชาชนเพื่อผลแห่งอำนาจอีกครั้ง จดจำอย่างไม่ลืมว่าเป็นนายกผู้สร้างประวัติศาสตร์บาดแผลอีกครั้ง
กะทิหวังเพียงว่ามาร์คจะเลือกจดจำสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงที่รายรอบตัวในวันนี้อย่างไม่บิดเบือน แล้ววันที่เรากลับมาทบทวนประวัติศาสตร์หน้านี้กันอีกครั้ง มาร์คจะบอกเล่าถึงวงจรสามานย์ที่มันกดดันมาร์คได้อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาและไม่บิดเบือนอย่างในวันนี้ กะทิและเพื่อนอีกหลายล้านหรือสิบล้านคนจะรอวันนั้นอย่างมั่นคง
กะทิ