ศานติ เพียงใจ
ความพยายามที่จะดึงเอาความขัดแย้งทางการเมืองเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคาดหวังว่าสถาบันการเมืองแห่งนี้จะลดระดับความขัดแย้ง แสวงหาทางออก แต่เอาเข้าจริงก็เป็นแค่ฉายภาพซ้ำและตอกย้ำความคิดความเชื่อเดิมของฝ่ายตน
ยิ่งกว่านั้นยังได้เปิดเผยการดำรงอยู่ของอีกขั้วในมุมมืด นั่นก็คือกลุ่มไทยน้ำเงิน ที่ยกตนอย่างเลิศลอยว่าเป็นผู้จงรักภักดี รักชาติบ้านเมืองอย่างยิ่งยวด และพร้อมจะเป็นกองหน้าพิทักษ์สถาบันสูงสุด
ไม่แปลกอะไรเลยหากชาวเหลืองและแดงจะระแวงว่ากลุ่มใหม่จะเป็นตาอยู่ของที่คอยจ้องเขมือบชิ้นปลามัน นอกจากนี้ยังได้สะท้อนอีกว่ามีตัวแปรที่เพิ่มขึ้นหลากหลายยิ่งขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งใหญ่ที่ดำรงอยู่
ความจริงแล้วไม่เฉพาะสถาบันรัฐสภาอันเป็นรูปองค์กรอธิปไตยแห่งรัฐ ที่สูญเสียบทบาทหน้าที่ตนในการจัดการวิกฤติการเมือง หากทว่าทุกๆ คน ทุกๆ องค์กรทั้งหลายบรรดามี ต่างถูกกระแสมหึมานี้ดึงเข้าสู่แกนการต่อสู้ แปรสภาพเป็นอาวุธหลากชนิดเข้าห้ำหั่นศัตรูคู่อาฆาตอย่างเอาเป็นเอาตาย
หนึ่งในนั้นก็คือยุทธศาสตร์ตุลาการภิวัฒน์ ที่เคยหวังกันอย่างสูงว่าจะดาบอาญาสิทธิ์ปิดบัญชีได้ ต่อมาด้วยความรู้เท่าทันของคู่ปฏิปักษ์ นอกจากจะไม่สามารถเอาชนะกันอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ยังส่งผลให้กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบเกิดวิกฤติศรัทธา ด้วยข้อหาหนักว่าเลือกปฏิบัติ ให้ความยุติธรรมเฉพาะฝ่าย ทำลายระบบนิติรัฐนิติธรรมอย่างมีนัยสำคัญ ไม่แปลกอะไรเลยหากหลายๆ คนจะเชื่อโดยสนิทใจว่า ระบบศาลบ้านเราได้กลายเป็นศาลเตี้ยไปแล้วหรืออย่างไร มีภารกิจเฉพาะอย่างตามใบสั่งสำคัญของผู้มีอำนาจหรือไม่
และที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านี้ก็คือสถาบันสื่อสารมวลชนและนักวิชาการซึ่งกำลังค้อมตัวเองให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และถูกเพ่งเล็งอย่างหนักในขณะนี้
สื่อมวลชนรวมถึงเหล่านักวิชาการได้ชื่อว่าเป็นฐานันดรพิเศษ ได้รับความเชื่อถือว่ามีความก้าวหน้าสูงกว่าภาคส่วนอื่นๆ ของสังคม กำลังถูกดึงเข้าร่วมวงไพบูลย์ในเกมแห่งอำนาจ ประกาศตนเป็นมือตบขนาดมหึมาไล่ต้อนคู่ต่อสู้สำคัญ ผลิตวาทกรรมรายสะดวก อาทิ ระบอบทักษิณ ทุนสามานย์ ตุลาการภิวัฒน์ และประชาภิวัฒน์ ฯลฯ
แต่ที่แน่ๆ ดูเหมือนจะมีเป้าหมายไล่ล่าครั้งนี้เฉพาะแค่ปุถุชนคนหนึ่งนามทักษิณ มองข้ามผลิตผลจากโครงสร้างสังคมเดิมที่มีคนอย่างทักษิณอีกมากมาย ไม่เว้นฝ่ายที่ลงขันร่วมแรงโค่นอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็มีร่องรอยความไม่ชอบมาพากลอีกหลายอย่าง เป็นเรื่องเป็นราวที่โต้กันไม่มีจบเพราะเป็นการปะทะกันระดับต่ำ ชี้ขาดกันไม่ได้ว่าใครดีกว่าใคร ใครเลวก็กว่าใคร
ลืมพิจารณาสังคมทั้งระบบอย่างเป็นเหตุเป็นผล โดยเฉพาะการพิจารณาทฤษฎีการเมือง หรือความเห็นร่วมต่อการเมืองบ้านเราที่ดำรงอยู่ ว่าเป็นการเมืองของคนส่วนน้อยหรือคนส่วนใหญ่ ชี้ขาดกันได้หรือยังว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยหรือเผด็จการ?? หรือเพียงมองกันต่างมุมแล้วสร้างวาทกรรมแปลกใหม่รายวันให้งงงวยอยู่ร่ำไป
ปรากฏการณ์ที่ฝ่ายก้าวหน้าละเลยที่จะสืบค้นภวการณ์ ไม่ยอมพิจารณาตนด้วยมีสติ หรือยอมรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องสะเทือนถึงฐานะทางสังคมของตน เกรงตนจะตกจากหอคอยงาช้าง และหากพวกเขาเหล่านั้นใช้ฐานะทางสังคมเป็นเครื่องมือกำจัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะฝ่ายประชาชน การเลือกที่จะสะท้อนเฉพาะสียงของชนชั้นกลางในเมือง และเชื่ออย่างไม่มีการตรวจสอบประชามติในทางลึก ว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความปรารถนาต่อบ้านเมืองเช่นไร ใช้ความเห็นตนเข้าตัดสินชี้ขาดสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งโดยฉับพลันและไม่แก้ไข เท่ากับว่าได้ละเมิดจรรยาบรรณวิชาชีพตนอย่างร้ายแรง
ล่าสุดก็คือเหตุการณ์สงกรานต์เลือด ที่กำลังตกเป็นประเด็นวิวาทะอย่างกว้างขวาง กระทั่งลุกลามไปถึงประเด็นแมลงวันตอมแมลงวันหรือสื่อตอมสื่อ ประชาชนหลายคนเบื่อหน่าย ปิดกั้นตัวเองจากสื่อ หรือแม้กระทั่งการล้อมกรอบรุมสอบถามเค้นเอาเรื่องกับนักข่าวภาคสนามถึงความชอบธรรมและเป็นกลาง
การปิดหูปิดตาประชาชนของสื่อกระแสหลักโดยเฉพาะฟรีทีวี การปิดประตูตีแมวคนเสื้อแดงของรัฐบาลอภิสิทธิ์ การใช้ทางลัดขอใบอนุญาตจากเฉพาะชนชั้นกลางในเมือง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ทหารพร้อมอาวุธสงครามออกมาสลายการชุมนุม พร้อมกับการตราหน้าผู้ร่วมชุมนุมว่าเป็นศัตรูอันตรายต่อประเทศชาติ ซึ่งหลุดจากปากนายกรัฐมนตรีอย่างชัดถ้อยชัดคำ (ต่อมาภายหลังกลืนน้ำลายว่าเป็นชัยชนะร่วมกันของสังคม) การมองข้ามเจตนารมณ์คนเสื้อแดงหลายแสนที่แสดงออกอย่างอดทนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่ามีเจตนารมณ์ที่งดงามต่อชาติบ้านเมืองไม่ต่างกัน สิ่งเหล่านี้ล้วนกลายเป็นประเด็นให้ถกเถียงกันหนาหูขึ้นทุกที
ฐานันดรที่ ๔ นักวิชาการทั้งหลายซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีทัศนวิสัยที่ก้าวหน้า
ได้สำรวจตนอย่างลึกซึ้งเพียงพอหรือไม่ ว่าตนได้ขัดขวางขบวนการประชาธิปไตยที่ลึกๆ ตนเองก็ปรารถนา หรือหวังจะใช้แค่ศักยภาพตนเข้ายุติความขัดแย้งแบบง่ายทำนองซุกขยะเข้าสู่ใต้พรม และตนเองก็ทำหน้าที่ต่อไปข้ามวัน ข้ามปี ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น รอระเบิดเวลาที่ส่อไปในทางสงครามกลางเมืองเช่นทุกวันนี้
สถานการณ์ที่นโยบายของรัฐเป็นแค่ลมปากเพ้อเจ้อ รัฐสภาเป็นแหล่งรวมของชนชั้นมีอันจะกินและอ้างเก่งเฉพาะตัวบทกฎหมาย สถาบันศาลที่แปดเปื้อนคำนินทา ผู้คนโต้เถียงบ้างก็หมางใจกัน บ้างก็รวมกลุ่มกันพร้อมแสดงพลังปะทะฝ่ายตรงข้าม ทุกองคาพยพสั่นไหวตื่นตัว บ้างดึง บ้างดัน บ้างสู้ บ้างถอย บ้างแสวงหามิตร บ้างทำลาย และอีกหลายรูปการที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
ขอเรียนเชิญท่านทั้งหลายลงไปสัมผัสรับรู้สิ่งที่มวลมหาชนเป็นอยู่ พูดคุยหรือแสดงออกว่าเป็นอย่างไร การใส่เสื้อกั๊กขลุกแต่ในห้องสมุดอาจจะหลุดกระแสสังคมไปไกลแล้วก็ได้ สื่อมวลชนที่ทำงานแบบงานประจำทำเนียบรัฐบาล รัฐสภาหรือหน่วยงานใดๆ ต้องพิจารณาตนหนักกว่า เสนอข่าวได้ครบถ้วนรอบด้านหรือยัง ท่านหัวหน้าข่าว ผู้บริหารสำนักข่าว นานมาแล้วท่านอาจห่างเหินกับสถานการณ์จริงของบ้านเมือง นอกจากแหล่งข่าวระดับสูงที่คุ้นเคยกันที่ป้อนข้อมูลให้ท่าน คนอื่นๆ ละ ความหลากหลายละ มีช่องทางสักเล็กน้อยไหมในสื่อของท่าน
ยังมีผู้นำมวลชนจากอาชีพต่างๆ อีกมากมายซึ่งทำงานภาคสนามปฏิบัติส่วนรวมอย่างต่อเนื่อง คนเหล่านี้อาจเสนอความเห็นต่อบ้านเมืองได้อย่างแหลมคมเป็นประโยชน์ สมควรนำเสนอไม่แพ้น้ำคำคนที่เราคุ้นหน้าเช่นกัน
หวังว่าเราจะได้เห็นประชามติประชาธิปไตยจะไม่ถูกละเลยหรือขัดขวางอีกต่อไปทั้งโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
ระบอบการเมืองที่ได้ชื่อว่ามีคุณธรรมสูงกว่าการเมืองชนิดอื่นจะได้เบ่งบานในสังคมไทยเสียที