การเมือง – สังคม |
เด้งแล้ว ผบช.ภ.2-ผบก.ชลบุรีเซ่นม็อบเสื้อแดงป่วนประชุมอาเซี่ยนฯ
เว็บไซต์สยามรัฐ - เมื่อวันที่ 20 เม.ย. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.มีคำสั่งที่ 170/2552 ให้พล.ต.ท.อัศวิน ณรงค์พันธ์ ผบช.ภ.2 ไปปฎิบัติราชการที่สำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยให้พล.ต.ท.สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ผู้ช่วยผบ.ตร.รักษาราชการแทนในตำแหน่งผบช.ภ.2 อีกหน้าที่หนึ่ง
นอกจากนี้มีคำสั่งที่ 171/2552 ให้พล.ต.ต.บัณฑิต คุณจักร์ ผบก.ภ.จ.ชลบุรี ไปปฎิบัติราชการที่สำนักงานผบ.ตร. โดยให้พล.ต.ต.ปราโมช ปทุมวงศ์ รองผบช.ภ.2 รักษาราชการแทน ผบก.ภ.จ.ชลบุรี ทั้งสองคำสั่งให้มีผลตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตามในคำสั่งไม่ได้ระบุเหตุผล แต่มีรายงานข่าวว่า เพื่อความสะดวกในการสืบสวนข้อเท็จจริง เนื่องจากพล.ต.อ.พัชรวาท ได้มีคำสั่งให้พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ เข้าสืบสวนข้อเท็จจริงว่ามีข้อบกพร่องอะไร จนทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงขัดขวางการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 14 ได้
เครือข่ายเสื้อแดงทยอยมอบตัวสู้คดีทั่วประเทศพรุ่งนี้
เว็บไซต์แนวหน้า - นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังจากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมาจับหลังการชุมนุมคนเสื้อแดงจ.ลำพูน ได้หารือกับผู้ที่ถูกออกมาจับในจังหวัดต่างๆได้ข้อสรุปว่า จะมีการทยอยมอบตัวเป็นแพ็กเก็จต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เช่น ในกทม.จะรอมอบตัวพร้อมนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แนนนำนปช. ในจ.ลำพูนก็จะไปมอบตัวในวันที่ 21 ที่กองกำกับการสถานีภูธรเมืองลำพูน จากการหารือกันทุกคนไม่หวั่นไหวอะไร เพราะพวกเราได้ชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ปลุกระดมอะไร อย่างไรก็ตามเป็นห่วงว่าขณะนี้มีขบวนการไล่ล่าของรัฐที่หยุดหย่อน จะทำให้มีการสู้ใต้ดินเพิ่มมากขึ้น อยากให้รัฐให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อย่าใช้ 2 มาตรฐาน
"จักรภพ" เผยเผ่นออกนอก ปท. ตั้งหลักฐานบัญชาเสื้อแดง
มติชนออนไลน์ - สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ว่า นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำของกลุ่มนปช.กล่าวให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับเอเอฟพี ระบุว่า เขาได้หนีออกนอกประเทศเพื่อเลี่ยงการถูกออกหมายจับฐานยุยงให้ใช้ความรุนแรง โดยเราต้องซ่อนตัวเองในที่ปลอดภัย และจะตั้งสำนักงานที่สามารถดำเนินการเคลื่อนไหวได้ และเราได้พัฒนายุทธศาสตร์บางประการเพื่อให้เราสามารถใช้เวลาวิเคราะห์สถานการณ์ได้ นอกจากนี้ นายจักรภพกล่าวว่า มีความเห็นขัดแย้งกันกรณีกลุ่มเสื้อแดงยอมสลายการชุมนุมล้อมทำเนียบรัฐบาลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา การตัดสินใจดังกล่าวไม่เป็นฉันทามติแต่เขาก็ต้องยอมการตัดสินใจของแกนนำที่อยู่ในพื้นที่ เพราะตัวเขาเองอยู่นอกพื้นที่ จึงไม่สามารถตรวจสอบสถานการณ์เองได้ นอกจากนี้ นายจักรภพกล่าวด้วยว่า เขายังคงติดต่อกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ แต่พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้แนะนำอะไรแก่กลุ่มเสื้อแดง
ภูมิใจไทยค้านนิรโทษกรรม
เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ - พรรคภูมิใจไทยไม่หนุนรัฐบาลออกกฏหมายเพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มใด นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะแกนนำพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ยืนยัน พรรคภูมิใจไทยไม่เห็นด้วยหากจะเสนอให้มีการนิรโทษกรรมนักการเมือง และพรรคการเมืองต่างๆ หลังการปฏิวัติ 19 กันยายน เนื่องจากทางพรรคได้ประกาศจุดยืนตั้งแต่เข้าร่วมรัฐบาลแล้วว่า จะไม่สนับสนุนการออกกฎหมายที่ใช้กับคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เมื่อถามว่า การที่นายกรัฐมนตรีออกมาแสดงท่าทีเปิดทางให้มีการนิรโทษกรรมคดีการเมือง ถือเป็นการที่รัฐบาลยอมอ่อนข้อให้กลุ่มเสื้อแดงหรือไม่นายบุญจงกล่าวว่า คงไม่ใช่ เพราะนายกฯคงมองเพียงว่า น่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่ทำให้ประเทศชาติกลับสู่ความสงบเรียบร้อยด้วยวิธีการสันติวิธีเท่านั้น
ผบ.ตร.สั่งอารักขาเข้มองคมนตรี - ครม.
เว็บไซต์คมชัดลึก - พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีคำสั่งด่วนที่สุดถึง ผบช.น. ผบช.ภ. 1-9 ผบช.ก. ผบช.ส.และ ศปก.ตร.ให้เพิ่มความเข้มข้นในการรักษาความปลอดภัย (รปภ.) บุคคลสำคัญ และป้องกันเหตุความไม่สงบที่เกิดขึ้นในสังคมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
ดังนี้ 1.เพิ่มความเข้มในการรักษาความปลอดภัยองคมนตรี คณะรัฐมนตรี อย่างเคร่งครัด เป็นกรณีพิเศษ โดยเฉพาะสถานที่ทำงาน สถานที่พัก ยานพาหนะ และสถานที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ต่าง ๆ
2.จัดทำแผนรักษาความปลอดภัยและแผนเผชิญเหตุ โดยประสานหน่วยงานเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและส่งแผนให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบ 3.สืบสวนหาข่าวความเคลื่อนไหวบุคคล หรือกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ที่อาจมีผลกระทบ รวมทั้งติดตามสถานการณ์ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับหน่วยปฏิบัติ และประชาคมข่าวอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ ผบ.ตร. ยังมีคำสั่งที่ 001 (ผบ)/162 ถึงหน่วยต่าง ๆ ดังนี้ 1.เพิ่มความเข้มในการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญทางการเมือง-ทางสังคม และบุคคลสำคัญอื่น ๆ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบเป็นพิเศษ 2.เพิ่มความเข้มในการรักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการ สถานที่สำคัญ รวมทั้งระบบสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบโดยการตั้งจุดตรวจ จุดสกัดอย่างเข้มงวดกวดขันเป็นพิเศษ
3.ให้ตั้งจุดตรวจค้นและการปฏิบัติของสายตรวจ มุ่งเน้นภารกิจจุดตรวจอาวุธ สิ่งผิดกฎหมาย เป็นจุดก้าวสกัดจับ ดูแลบ้านพักบุคคลสำคัญ และสถานที่สำคัญในพื้นที่ 4.ตรวจสอบว่ามีการจัดทำแจกจ่ายแผ่นซีดี "ทหารฆ่าประชาชน" หรือในลักษณะคล้ายคลึงกันหรือไม่ เพื่อนำมาพิจารณาว่าเป็นความผิดตาม พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่ หากพบเป็นความผิดให้จับกุมตามกฎหมาย
เนวินฟ้องแล้วจตุพร-ณัฐวุฒิ-อดิศรหมิ่น
เว็บไซต์คมชัดลึก - เนวินส่งทนายแจ้งความดำเนินคดี 4 แกนนำ นปช."จตุพร –ณัฐวุฒิ–อดิศร-สมคิด"ข้อหาหมิ่นประมาท เหตุมีการระบุ "เนวิน"อยู่เบื้องหลังคนเสื้อสีน้ำเงินสั่งเผารถเมล์และก่อเหตุจลาจล ไม่แตะลูกชาย"สนธิ" “เทพไท” โต้ “เพื่อไทย”คนหาย คือ แกนนำ“นปช.” "วิปวุฒิ"ขอ6 ชั่วโมงอภิปรายร่วม 2 สภา นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย และคนใกล้ชิดนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า ในวันนี้ เวลา 14.00 น. ตนพร้อมด้วยทีมทนายความ จะเดินทางเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ให้ดำเนินคดีกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.นายณัฐวุมิ ใสยเกื้อ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย สองแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) ในข้อหาหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา กรณีหมิ่นประมาทนายเนวิน และดำเนินคดีนายจตุพร และนายอดิศร เพียงเกษ ประธานกรรมการบริหารสถานีโทรทัศน์ดีทีวี และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 85 กรณีได้ทำโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด ในการฆ่าผู้อื่นอันเป็นความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
ศาล รธน. อัด ตร.รู้จะเกิดเหตุปาระเบิดสำนักงานฯ แต่ส่ง จนท.ดูแลน้อย
เว็บไซต์แนวหน้า - นายเชาวนะ ไตรมาส รองเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ แถลงถึงกรณีการลอบปาวัตถุระเบิดเข้าใส่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 13 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยนายเชาวนะ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ดังกล่าวสรุปได้ว่า มีการใช้เครื่องยิงวัตถุระเบิดเข้ามาภายในบริเวณอาคารที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญ ด้านถนนจักรเพชร 3 ครั้ง คือ 1.เป็นเศษวัตถุระเบิดตกเข้ามาบริเวณด้านหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ 2.เป็นลูกระเบิดที่ยังไม่ระเบิดตกเข้ามาบริเวณด้านหน้าป้อมยามรักษาความปลอดภัย และ 3. เป็นวัตถุระเบิดตกเข้าบริเวณอาคารสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายทั้งในและนอกอาคารเป็นบริเวณกว้าง และเจ้าหน้าที่ทหารที่มาช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยบาดเจ็บ 1 นาย ซึ่งหลังจากเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาเก็บพยานหลักฐานและสำนักงานศาลได้มอบหมายเจ้าหน้าที่ไปให้ปากคำในฐานะผู้เสียหายที่สน.พระราชวังเรียบร้อยแล้ว
ด้านนายพสิษฐ์ กล่าวว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดน่าจะเกิดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความไม่พอใจให้กับบุคคลบางกลุ่ม ซึ่งทางตุลาการก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าอาจจะเกิดกรณีอย่างนี้ขึ้น ตั้งแต่เกิดการโยนระเบิดที่บ้านนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว จึงได้อนุมัติให้จ้างทีมรักษาความปลอดภัยของตุลาการขึ้น แต่เป็นที่น่าสงสัยว่าเหตุใดเมื่อเป็นที่คาดการณ์อยู่แล้ว ทำไมทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)กลับไม่ได้สนใจและส่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลสำนักงานศาลอย่างจำกัด
“อยากถามทางสตช.ว่าจะมีมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยของสำนักงานศาล ตุลาการ และข้าราชการของศาลรัฐธรรมนูญอย่างไร ส่วนเรื่องการขอความช่วยเหลือจากทหารในการรักษาความปลอดภัยนั้น คงต้องหารือในเชิงลึกอีกครั้ง เพราะขณะเกิดเหตุเป็นช่วงที่มีการประกาศพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ด้วย นอกจากนี้อาวุธสงครามที่ก่อเหตุครั้งนี้กลางเมืองหลวง ก็เป็นที่น่าสงสัยว่ามีการเคลื่อนย้ายอาวุธสงครามอย่างนี้ได้อย่างไร และไม่แน่ใจว่ากรณีนี้เป็นอาวุธเป็นเดียวกับที่ก่อเหตุบุกยิงนาย สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯหรือไม่ ซึ่งตนต้องฝากความห่วงใยไปให้นายสนธิด้วย
ส.ว. เคืองรัฐบาลเมินขออภิปรายไม่ลงมติ
มติชนออนไลน์ - การประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 20 เมษายน นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ลุกขึ้นสอบถามความคืบหน้าในการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายรัฐบาลโดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญ 161 เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลได้ขอเปิดประชุมร่วมรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 179 เพื่อหารือสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น ในวันที่ 22-23 เมษายนนี้แล้ว โดยที่ยังไม่ได้สอบถามมายังวุฒิสภาเลยว่าจะเห็นสมควรอย่างไร
นายตวง อันทะไชย ส.ว.สรรหา กล่าวว่า วุฒิสภาได้ร่วมประคับประคองรัฐบาลนี้มาตั้งแต่การแถลงนโยบายรัฐบาล ดังนั้น การจะทำอะไรก็ควรให้เกียรติกัน รัฐบาลต้องจัดเรียงลำดับความสำคัญในเรื่องญัตติ วาระ และให้เครดิตการทำงานของวุฒิสภาบ้าง
ขณะที่ น.ส.ทัศนา บุญรอง รองประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม กล่าวว่า ขณะนี้ญัตติดังกล่าวยังคงอยู่ขึ้นอยู่กับว่าในการประชุมร่วมรัฐสภา ทางรัฐบาลจะชี้แจงชัดเจนหรือไม่ และผู้เสนอญัตติพอใจหรือยัง หากไม่พอใจก็เป็นสิทธิที่จะขอให้รัฐบาลมาชี้แจงเพิ่มเติมได้ ขณะนี้ประธานวุฒิสภากำลังประสานรัฐบาลอยู่ว่าจะสะดวกมาชี้แจงต่อวุฒิสภาเมื่อไหร่
ปชป.ระแวงพรรคร่วม “สุเทพ”เผยกลางที่ประชุมระวังถูกทุ่มเงินซื้อ เผย 4 แผน ล้มรัฐบาล“มาร์ค”
เว็บไซต์แนวหน้า - นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่าที่ประชุมพรรคนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ดูแลความมั่นคง ได้วิเคราะห์ว่าพรรคเพื่อไทยกำลังทำอะไรกับสังคมไทย โดยเห็นว่ามีความพยายามดำเนินการ 4 อย่างคือ 1. ขยายแนวร่วมให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้นในสังคมไทย ด้วยการให้ข่าวว่ามีคนตายจำนวนมากในเหตุการณ์สลายการชุมนุมและใช้สองมาตรฐานในการปราบม็อบเพื่อให้เกิดความเกลียดชังในสังคม และ 2. พยายามทำให้เกิดความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล และขอให้ระวังว่าจะมีการใช้เงินซื้อพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อให้เกิดความขัดแย้งและจำทำให้รัฐบาลไม่สามารถอยุ่ได้ ต้องล้มไปในที่สุด
นพ.วรงค์ กล่าวว่า 3. ใช้มาตรการกดดันนายอภิสิทธิ์ ให้ลาออก ซึ่งหาก 3 ข้อ ไม่ได้ผล ก็จะดำเนินการในข้อที่ 4. คือ ดำเนินการหมายเอาชีวิตนายกรัฐมนตรี ซึ่งที่ประชุมได้พูดคุยกันถึงแนวทางการให้ความเป็นธรรมกับประชาชนโดยนายกฯ และรองนายกฯ ยืนยันว่าประชาชนมีสิทธิที่จะชุมนุม จะไม่มีการจับกุมผู้บริสุทธิ์ ฉะนั้นการที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และ แกนนำนปช. ระบุว่าจะมีการจับผู้ชุมนุมอีก 3 แสนคนจึงเป็นไปไม่ได้ แต่รัฐบาลยืนยันว่าจะดำเนินคดีกับคนที่ทำผิดกฎหมายอาญาและ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พูดถึงทางออกที่จะเกิดขึ้น โดยรัฐบาลจะใช้เวทีการประชุมร่วมรัฐสภา ในการรับฟังความเห็นและหาทางออก และจะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางส่วนซึ่งเป็นความผิดทางการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญา
กทม.ติดเพิ่มกล้องวงจรปิดทั่ว กทม.
เว็บไซต์เดลินิวส์ - 20 เม.ย. นายพงษ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) เรียกประชุมเจ้าหน้าที่จากสำนักจราจรและขนส่ง เพื่อตรวจสอบระบบการทำงานของกล้องวงจรปิดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในส่วนที่ติดตั้งไปแล้ว รวมทั้งสั่งเพิ่มจุดติดตั้งกล้องวงจรปิดในจุดสำคัญครอบคลุมพื้นที่ทั่ว กทม. ซึ่งจะต้องติดตั้งให้เสร็จภายในเดือนนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อนำกล้องวงจรปิดมาเพิ่มเติมในการดูแลในเรื่องของความมั่นคง และความปลอดภัย ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนระบบใหม่ ปัจจุบันมีกล้องวงจรปิดที่ดูแลในส่วนของความมั่นคงประมาณ 699 ตัว แบ่งเป็นในเขตพระราชฐาน 399 ตัว และในเขตพื้นที่ชั้นในอีก 300 ตัว
ปลัด กทม. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ จะมีการขยายขอบเขตการติดตั้งกล้องวงจรปิดออกไปในพื้นที่สำคัญรอบนอก หลังมีปัญหาในเรื่องของความมั่นคง ปลอดภัย ซึ่งการดำเนินการจะเร่งให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณนี้ แต่หากไม่ทันก็ต้องให้เสร็จภายในปีงบประมาณปี 2553 ทั้งนี้ ยังให้คำแนะนำสำนักจราจรและขนส่ง ขอร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีกล้องวงจรปิด เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม สถานีบริการน้ำมัน เป็นต้น ในการขอเชื่อมต่อสัญญาณร่วมกับทางหน่วยราชการเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลเรื่องความมั่นคงและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
เศรษฐกิจ |
ขุนคลัง เผย ขอดูแหล่งกู้ 2 สัปดาห์
เว็บไซต์แนวหน้า - นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันพรุ่งนี้ (21 เมย.)จะมีการหารือถึงการปรับลดกรอบงบประมาณในปี 53 ส่วนรายละเอียดจะชี้แจงให้ทราบหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้น โดยกระบวนการในครั้งนี้มาจากการประมาณการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่มีแนวโน้มปรับลดลง ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมที่จะหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม หรือนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอก 2 จำนวน 1.56 ล้านล้านบาท แต่ส่วนที่จะนำเงินทุนจากแหล่งใดนั้น จะขอเวลาในการพิจารณา 2 อาทิตย์ ทั้งนี้ เชื่อว่า จีดีพีในปี 52 จะยังคงติดลบอยู่ที่ร้อยละ 4-5 และจีดีพี จะกลับฟื้นตัวในปี 53 รวมถึงเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่รัฐบาลก็ยังคงงบลงทุนในปี 53 ไว้ที่ 300,000 ล้านบาท
นิคมอุตฯ ร่อแร่ยอดขายที่ดินปีนี้วูบ
ASTV ผู้จัดการรายวัน - สมาคมนิคมฯ ชี้ปีนี้ยอดขายที่ดินวูบ หลังเจอปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกและพิษการเมืองซ้ำเติม เตือนรัฐเร่งหามาตรการส่งเสริมสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนในประเทศเพื่อกระตุ้นขยายงาน แทนที่จะเดินสายโรดโชว์ต่างชาติหวั่นเหนื่อยแรงเปล่า
นายทวิช เตชะนาวากุล เลขาธิการสมาคมนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองไทยที่เกิดขึ้น ผนวกกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย ทำให้เป้าหมายการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งสวนอุตสาหกรรมทั่วประเทศในปีนี้ปรับตัวลดลงเหลือ 1.5-2 พันไร่จากปีก่อนที่มีการขายที่ดินในนิคมฯ รวมทั้งสิ้น 2.5-3 พันไร่ โดยช่วง 3เดือนแรกของปี 2552 พบว่ามียอดขายที่ในนิคมฯได้เล็กน้อย หากการขายที่ดินในนิคมฯได้ตามเป้าหมายก็ถือว่าโชคดี
“ช่วงนี้เป็นช่วงเศรษฐกิจซบเซาทั่วโลก ขณะที่ไทยเองก็เจอผลกระทบทั้งการส่งออกที่ลดลง ปัญหาความไร้เสถียรภาพการเมือง โดยเฉพาะเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ทำให้ภาคการท่องเที่ยวพังพินาศ สูญรายได้ 2 แสนล้านบาท สำหรับนิคมฯเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบก่อน ซึ่งการลงทุนของไทยส่วนใหญ่ต้องอาศัยการลงทุนจากต่างชาติเป็นหลัก แต่เมื่อการเมืองไร้เสถียรภาพ ทำให้นักลงทุนข้ามชาติเองก็กังวลในด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินหากเกิดปัญหาจลาจล”
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผู้ประกอบการนิคมฯในไทยจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจโลกนี้ไปได้ ไม่ถึงขั้นปิดตัว เนื่องจากเคยผ่านประสบการณ์ในวิกฤตต้มยำกุ้งมาแล้ว และมีหลักทรัพย์ในรูปที่ดินจำนวนมาก ทำให้ไม่น่าจะมีปัญหาสภาพคล่อง จึงไม่น่าเป็นห่วงเมื่อเทียบกับภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ
นายทวิช กล่าวว่า การออกไปโรดโชว์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในต่างประเทศของรัฐบาล ยังมีความจำเป็นอยู่ แต่ต้องไม่คาดหวังจากการโรดโชว์ เพราะหากปัญหาการเมืองไม่สงบ เชื่อว่าการโรดโชว์เพื่อชักจูงบริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุนในไทยคงเป็นไปได้ลำบาก ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นในช่วงนี้ คือการรักษานักลงทุนเดิมที่มีอยู่ไม่ให้ถอนตัวออกจากเมืองไทย รวมทั้งส่งเสริมให้นักลงทุนเหล่านี้มีการขยายการลงทุนเพิ่มเติมด้วย
ส่วนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในประเทศที่มองว่าจะขยายตัวติดลบ 4 -5% ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะถูกซ้ำเติมจากเหตุการณ์ความวุ่นวายในชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงช่วงที่ผ่านมา ทำให้ภาคการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซันหยุดชะงัก เม็ดเงินที่คาดจะเข้ามาจากนักท่องเที่ยวหายไปทันที
“การไปโรดโชว์ต่างประเทศของรัฐบาลมองว่าเหนื่อยเปล่า แต่ควรสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนในประเทศดีกว่า เพราะขณะนี้ลูกค้าเดิมเป็นลูกค้าที่ดีที่สุด ต้องเร่งรักษาและเชียร์ให้ขยายการลงทุนเพิ่มเติม เนื่องจากนักลงทุนเดิมมีความเข้าใจสถานการณ์การเมืองไทยดี อย่างไรก็ตาม การโรดโชว์ต่างประเทศก็ยังต้องทำแต่ไม่ควรคาดหวังในระยะสั้น”นายทวิชกล่าว
นายทวิชกล่าวอีกว่า จากการสำรวจแรงงานที่จังหวัดอยุธยาในช่วงมี.ค.ที่ผ่านมา พบว่ามีแรงงานในสวนอุตสาหกรรมและนิคมอุตสาหกรรมประมาณ 1.8 แสนคน เชื่อว่าหากจะมีการปลดแรงงานในนิคมฯ และสวนอุตสาหกรรมที่จังหวัดอยุธยาในปีนี้แค่ 15% หรือประมาณ 3-4 หมื่นคน แต่ทั้งนี้คงต้องสำรวจใหม่อีกครั้งในช่วงพ.ค.นี้ จึงจะรู้แน่ชัดว่าจะมีแรงงานถูกเลิกจ้างมากน้อยเพียงใด เนื่องจากเป็นช่วงผลิตเพื่อการส่งออก แต่เท่าที่ทราบขณะนี้กลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้น
ต่างประเทศ |
ปชช.ลังกานับหมื่นแห่หนีตาย ทหารรบ.-อีแลมปะทะเดือด
เว็บไซต์สยามรัฐ - ศรีลังกา - พลเรือนชาวศรีลังกากว่า 3.5 หมื่นคนแห่หนีตาย หลังกบฏอีแลมกับกองกำลังรัฐบาลปะทะเดือด ด้านทหารบุกช่วยประชาชน 5 พันคน จากการถูกใช้เป็นโล่มนุษย์ ขณะที่ยูเอ็นหวั่นร่วมแสนชีวิตยังอยู่ในพื้นที่สู้รบ ล่าสุดกบฏเอา 17 ชีวิตผู้หญิงและเด็กเซ่นระเบิดฆ่าตัวตายเพื่อเปิดทางหลบหนี
โอบามาเตือนเศรษฐกิจ US ยังย่ำแย่ ทำเนียบขาวก็ปรามตลาดหุ้นที่พุ่งลิ่ว
ASTV ผู้จัดการรายวัน - ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (19) ว่าเศรษฐกิจของประเทศยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน ในขณะเดียวกันที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระดับท็อปของเขา ก็ออกมาสยบความคาดหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นตัวการทำให้ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา “เรายังไม่พ้นจากพงหนาม และตอนนี้ก็ยังคงเป็นเวลายากลำบากสำหรับเศรษฐกิจของสหรัฐฯต่อไป สินเชื่อยังคงหดตัวต่อเนื่อง” โอบามากล่าวในการแถลงข่าวที่พอร์ต ออฟ สเปน เมืองหลวงของประเทศตรินิแดดและโตเบโก ที่ซึ่งเขาไปเข้าร่วมการประชุมสุดยอดประเทศในทวีปอเมริกาทั้งเหนือและใต้
ตัวเลขเศรษฐกิจยังคงแสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯกำลังอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างแรง และความเจ็บปวดจากปัญหายังคงปรากฏให้เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีคนตกงานราว 5,000,000 คนแล้ว ตั้งแต่ปลายปี 2007 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นทั่วโลกปิดเมื่อวันศุกร์โดยอยู่ในระดับที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นสัปดาห์ที่หกแล้ว รวมทั้งราคาน้ำมันก็ปิดเพิ่มขึ้นมาอยู่เหนือระดับ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากการที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มกระเตื้องขึ้น รวมทั้งผลประกอบการไตรมาสแรกที่พวกธนาคารขนาดใหญ่ทั้งหลายกำลังทยอยรายงานออกมา ต่างก็ดีกว่าที่คาดไว้
“เรากำลังเห็นตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น หลังจากช่วงเวลาที่ไม่ได้มีตัวเลขสถิติในเชิงบวกให้เห็นกันเลย” ลอเรนซ์ ซัมเมอร์ส ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติภายใต้ทำเนียบขาว กล่าวในรายการ มีท เดอะ เพรส ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี
“อย่างไรก็ตาม หนทางแห่งความยากลำบากยังคงยาวไกลและต้องใช้เวลาอีกสักพักจึงจะหลุดพ้นได้ เราจะต้องพยายามสร้างงานใหม่ ๆขึ้น รวมทั้งการช่วยเหลือภาคการเงินของเราด้วย” เขากล่าว
ปัญหาท้าทายประการหนึ่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯก็คือการพลิกฟื้นให้เกิดความเชื่อมั่นในภาคธนาคารขึ้นมาใหม่ โดยต้องให้เห็นว่าตอนนี้ธนาคารต่าง ๆของสหรัฐฯมีเม็ดเงินดำเนินงานอย่างเพียงพอแล้ว หลังจากขาดทุนมหาศาลเมื่อตลาดตราสารหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยล้มครืนลงมาเมื่อปีที่แล้ว
ทีมเศรษฐกิจของโอบามา ก็กำลังเดินหน้าใช้มาตรการตรวจวัดความทนทานของธนาคารใหญ่ 19 แห่ง ว่าจะสามารถรับมือกับวิกฤตการเงินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้แค่ไหน โดยกำหนดที่จะประกาศแนวทางในการดำเนินงานในเรื่องนี้ในวันที่ 24 เมษายน และจะประกาศผลการตรวจสอบในวันที่ 4 พฤษภาคมนี้
โอบามากล่าวว่าผลการตรวจสอบน่าจะแสดงให้เห็นว่าธนาคารบางแห่งต้องการความช่วยเหลือมากกว่าธนาคารอื่น ๆ
“เพราะว่าธนาคารต่าง ๆก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน และความต้องการความช่วยเหลือจากผู้เสียภาษีก็มีระดับต่างกันไปด้วย” โอบามากล่าว เขายังให้คำมั่นอีกครั้งว่าเงินของผู้เสียภาษีจะไม่สูญเปล่าแน่นอน
“เราพยายามที่จะใช้เงินของประชาชนน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมจะไม่เอาเงินของประชาชนไปถมเข้าไปในหลุมดำ และรับรองว่าจะต้องเกิดผลตอบแทนแน่นอน” เขากล่าว
ในช่วงไม่กี่วันมานี้ บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางการสหรัฐฯ ต่างเรียงหน้ากันออกมาบอกว่า เศรษฐกิจกำลังจะเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านในไม่ช้านี้ ซัมเมอร์สกล่าวถึงคำพูดเหล่านี้ว่า ไม่มีอะไรเสียหายถ้าจะพูดคาดการณ์ถึงการฟื้นตัวไว้ล่วงหน้า แต่เขาเน้นว่าเศรษฐกิจยังจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาท้าทายต่อไป
“ไม่มีใครที่จะอยู่ในสถานะที่จะมาประกาศความชัยชนะในตอนนี้ แต่ความจริงที่ว่าไม่ใครสามารถประกาศชัยชนะได้ ก็มิได้หมายความว่าเราไม่ควรจะพูดถึงพัฒนาการในทางดีที่ค่อย ๆคลี่คลายออกมาทีละน้อย”
“ยังคงมีความเสี่ยงอันหนักหนาอยู่ และยังคงมีความแรงกดดันต่อเศรษฐกิจซึ่งเราต้องเตรียมตัวรับมือในอนาคต” ซัมเมอร์สชี้
ก่อนหน้านี้รัฐบาลสหรัฐฯนั้นอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ภาคการเงินของประเทศเพื่อประคองให้ไม่ล้มครืนลงมาก โดยเฉพาะพวกธนาคารขนาดใหญ่ทั้งหลาย จนทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลอุ้มแต่สถาบันการเงินที่ร่ำรวย ตอนนี้ธนาคารยักษ์ใหญ่บางแห่งอย่างเช่น โกลด์แมน แซคส์กล่าวว่า ต้องการจะคืนเงินเหล่านั้นให้รัฐบาล เพราะเชื่อว่าตนเองมีความสามารถเพียงพอในการประคองกิจการต่อไปได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ซัมเมอร์สบอกว่าแม้จะยินดีที่ธนาคารเริ่มอยากจะคืนสินเชื่อที่ได้ไป แต่ก็จะต้องระวังไม่เป็นการไปเพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวธนาคารขึ้นอีก รวมทั้งจะต้องไม่ทำให้สภาพคล่องเหือดหายไป จากการนำเอาเม็ดเงินที่ควรจะนำไปให้ประชาชนและภาคธุรกิจกู้ มาคืนแก่รัฐ เนื่องจากต้องความเป็นอิสระในการบริหารงานของตนเอง