โดยเฉพาะในเมื่อบทเรียนจากรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยังหลอกหลอนอยู่
ทั้งรัฐบาลนายสมัครและนายสมชาย ต่างโดนทหารและตำรวจลอยแพ ไม่ให้ความร่วมมือในการต่อสู้กับม็อบพันธมิตร
สุดท้ายพ่ายแรงกดดัน พ้นจากตำแหน่งและอำนาจไป จนเกิดการพลิกขั้ว กลายเป็นโอกาสของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
การเดินทางเข้ากรุงของเสื้อแดง จึงเป็นการทดสอบความเหนียวแน่นระหว่างรัฐบาลประชาธิปัตย์กับฝ่ายทหารและตำรวจไปพร้อมกัน
เสื้อแดงเดินเกมด้วยความมั่นใจว่า จะใช้พลังม็อบเรือนแสนกดดันให้รัฐบาลต้องลาออกหรือยุบสภาให้ได้
พร้อมกับประกาศเช็กบิลประธานองคมนตรีและองคมนตรี ภายใต้คำขวัญ"โค่นอำมาตย์"
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทุ่มสุดตัวเท่าที่เงื่อนไขอำนวย ด้วยการปราศรัยรายวันผ่านวิดีโอลิงก์จากต่างประเทศ
ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่มีการส่งกำลังบำรุงอุดมสมบูรณ์ มีมวลชนเสื้อแดงสนับสนุนหนาแน่น โดยมีศูนย์กลางอยู่ข้างทำเนียบรัฐบาล
แต่ความรุนแรงที่ก่อโดยม็อบเสื้อแดงระหว่างวันที่ 8 เมษายน ถึงวันที่ 14 เมษายนนั่นเองที่ช่วยพลิกสถานการณ์ให้รัฐบาล
เริ่มจากกลุ่มเสื้อแดงพัทยา ล้อมกรอบทุบรถนายกรัฐมนตรีที่พัทยาในวันที่ 8 เมษายน
วันที่ 9 เมษายน กลุ่มแท็กซี่ปิดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสี่แยกต่างๆ ในกรุงเทพฯ
วันที่ 10-11 เมษายน บุกล้มประชุมอาเซียน+3 และ+6 ที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีช ที่พัทยา
วันที่ 12 เมษายน แท็กซี่และเสื้อแดงขยายวงในการปิดจราจรในกรุงเทพฯ เสียงเรียกร้องให้รัฐบาลใช้กฎหมายจัดการผู้ชุมนุมดังมากขึ้น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศภาวะฉุกเฉินในกรุงเทพฯเสร็จ ก็ถูกม็อบเสื้อแดงรุมทุบอีกรอบที่กระทรวงมหาดไทย เป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับบุคคลระดับผู้นำประเทศ
ฝ่ายทหารที่ตีลูกเฉยในระยะแรก โดนฉีกหน้าอย่างรุนแรง เมื่อเสื้อแดงยึดรถถัง 2 คันที่ออกมารักษาสถานการณ์ เอาไปวิ่งประจานทั่วกรุงจนพอใจค่อยส่งคืน
กลายเป็นสภาพบังคับให้รัฐบาลและฝ่ายทหารต้องลงมือปฏิบัติการ
เช้ามืดวันสงกรานต์ 13 เมษายน กำลังทหารจากปราจีนบุรี เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่ดินแดง
รุกไล่ยึดอนุสาวรีย์ชัยฯคืน ยึดถนนพิษณุโลก จนไปจ่อที่ชุมนุมใหญ่เสื้อแดงข้างทำเนียบรัฐบาลในค่ำวันเดียวกัน
ตัวช่วยสำคัญของรัฐบาล ยังได้แก่การออกมาต่อต้านม็อบเสื้อแดงของชาวชุมชนต่างๆ ในกรุงเทพฯ
เริ่มจากชาวสาทร ฮือขับไล่แท็กซี่ที่พยายามปิดสี่แยก จากนั้นชาวแฟลตดินแดงออกมาช่วยยึดรถแก๊สที่เสื้อแดงนำมาจอดขู่จะจุดระเบิดที่ปากอุโมงค์ดินแดง
เกิดการปะทะระหว่างชาวบ้านถนนเพชรบุรีฯกับเสื้อแดงที่บุกทำลายมัสยิด รวมไปถึงที่ชุมชนยมราช ตลาดนางเลิ้ง ชุมชนป้อมมหากาฬ จนทำให้ชาวบ้านนางเลิ้งถูกยิงเสียชีวิต 2 ราย
เวลา 10.30 น. ของวันที่ 14 เมษายน นายวีระ มุสิกพงศ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประกาศยุติการชุมนุมของเสื้อแดง และมอบตัวกับเจ้าหน้าที่
ตามมาด้วยหมายจับในคดีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบุกล้มประชุมอาเซียน การล้อมทำร้ายที่กระทรวงมหาดไทย และการยุยงให้ก่อจลาจลจากเหตุการณ์ปิดการจราจรในที่ต่างๆ
โดยที่พ.ต.ท.ทักษิณก็มีชื่อในหมายจับในฐานะผู้ยุยงด้วย
กลุ่มเสื้อแดงประกาศก่อนสลายตัวในรอบนี้ว่า จะยังคงต่อสู้ต่อไปตามแนวทางที่เหมาะสม
เช่นเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ประกาศว่าจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้
แต่สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ในทางการเมือง การเคลื่อนไหวครั้งนี้ ไม่เป็นผลดีต่อพ.ต.ท.ทักษิณ และไม่เป็นผลดีต่อขบวนการสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณด้วย
อย่างที่เห็นกันอยู่ว่า กลุ่มเสื้อแดงในกรุงเทพฯต้องถอดเสื้อแดง หันมาสวมใส่เสื้อผ้าสีอื่น
แม้ว่าพยายามเปิดประเด็นฟ้องโลก ว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวนมากจากฝีมือทหาร เพื่อตั้งข้อหา"มือเปื้อนเลือด"ให้รัฐบาล แต่ก็"แป้ก"
ขนาดที่พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ออกมายืนยันว่าพร้อมเดิมพันชีวิตตัวเอง หากมีผู้เสียชีวิตตามที่เสื้อแดงกล่าวหา
ในเวทีต่างประเทศที่พ.ต.ท.ทักษิณเคยใช้โฆษณาตัวเองอย่างได้ผล ในครั้งนี้พ.ต.ท.ทักษิณกลายเป็นผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายไปทันที
ในภาพรวม ชัยชนะตกเป็นของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ดังที่สื่อต่างประเทศได้วิเคราะห์ว่า รัฐบาลไทยประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ในการนำเอาความสงบกลับคืนมา
และระบุว่าต้นตอของเหตุการณ์มาจากพ.ต.ท.ทักษิณ
การเพลี่ยงพล้ำของเสื้อแดงในครั้งนี้ ย่อมทำให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์มีความเข้มแข็งมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะครั้งนี้ยังไม่อาจถือว่าเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แม้แกนนำบางส่วนโดนดำเนินคดี กระบอกเสียงอย่างสถานีดีทีวี และวิทยุชุมชนโดนสั่งปิด
แต่ขบวนการเสื้อแดงยังอยู่ ทั้งยังมีแกนนำในระดับจังหวัดที่พร้อมเคลื่อนไหว
หากมีเงื่อนไข ก็อาจจะได้เห็นเสื้อแดงออกมาแสดงตัวเมื่อไหร่ก็ได้
เงื่อนไขนั้นก็คือ เสียงวิจารณ์ในเรื่องการเมืองที่ไม่เป็นธรรม การปฏิบัติแบบ 2 มาตรฐานของรัฐบาล
การดำเนินคดีกับแกนนำเสื้อแดงในคราวนี้ อาจทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับคดีของม็อบเสื้อเหลืองที่ยังคาราคาซัง
ความ"นิ่ง"ของการเมืองที่รัฐบาลใฝ่ฝันหา จึงอยู่ที่รัฐบาลนั่นเองว่า จะขยายผลของชัยชนะครั้งนี้ ด้วยการสะสางเรื่องราวต่างๆ ด้วยมาตรฐานเดียวกันหรือไม่
เป็นงานใหญ่ไม่แพ้การต่อสู้กับเสื้อแดงเลยทีเดียว