เหล็กใน
โดยภาพรวมแล้วบ้านเมืองก็คงกลับเข้าสู่ภาวะปกติ คนไทยส่วนใหญ่ก็กลับมาใช้ชีวิตได้ตามเดิม
แต่ความเป็นจริงแล้วความขัดแย้งที่เป็นอยู่มิได้เลือนลางหายไปแม้แต่น้อย
การแบ่งขั้วแบ่งสียังชัดเจน และไม่มีท่าทีว่าทั้งแดง-เหลืองจะผสมกลมเกลียวกันได้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็รู้ในประเด็นนี้ดี ในวันที่แถลงถึงผลสำเร็จในการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง จึงยืนยันว่าจะไม่ใช้คำว่า "ชัยชนะ" หรือ "พ่ายแพ้" กับเหตุการณ์นี้
เพราะรู้ดีว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่มีวันที่จะครองใจกลุ่มคนเสื้อแดงได้ง่ายๆ วิธีเดียวที่จะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งแบ่งกลุ่มแบ่งสีดีขึ้น คือการสร้างความสมานฉันท์
ล่าสุดนายกฯเสนอให้มีการเปิดสภา เพื่อใช้เป็นเวทีในการแก้ปัญหาเรื่องความขัดแย้งในสังคม
ขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ก็เริ่มมีท่าทีที่อ่อนลง อาจเป็นเพราะ 2 เหตุผล
ประการแรก คือการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงช่วงวันที่ 8-15 เม.ย.นั้นถือว่าพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง และเป็นเรื่องยากที่จะระดมคนออกมาต่อต้านรัฐบาลอีกครั้ง
ประการที่ 2 พ.ต.ท.ทักษิณโดนรัฐบาลประชาธิปัตย์กดดันอย่างหนัก ทั้งเรื่องการยกเลิกพาสปอร์ต ทั้งเรื่องการประสานตำรวจสากลขึ้นบัญชีดำตามล่าตัว ทั้งเรื่องการกดดันทางการทูตที่รัฐบาลเชิญทูตจาก 70 ประเทศมาชี้แจงสถานะของพ.ต.ท.ทักษิณ
โดยเฉพาะนายกฯอภิสิทธิ์จับเข่าเจรจากับทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(ยูเออี) จนสุดท้ายพ.ต.ท.ทักษิณต้องเผ่นออกจากดูไบไปแอฟริกา
ทั้ง 2 ประเด็นนี้ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณที่แข็งกร้าวมาตลอด 2 สัปดาห์เริ่มเปลี่ยนไป ล่าสุดให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า
"หากรัฐบาลต้องการจะประนีประนอม ผมก็จะกระตุ้นให้กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าร่วมด้วย เพื่อประโยชน์ของชาติ ที่ต้องทิ้งความเห็นที่แตกต่างและเจรจากัน"
ฉะนั้น ถึงจะเป็นเรื่องยากที่จะประสานรอยร้าวของกลุ่มคน 2 สี แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสสำเร็จ
นายกฯต้องฉกฉวยสถานการณ์ตอนนี้ สร้างความสมานฉันท์เกิดขึ้นในสังคมไทยให้ได้
ที่สำคัญต้องไม่สร้างความหวาดระแวงให้ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลอีก
จริงอยู่การบังคับใช้กฎหมายต้องเข้มงวด แต่ผู้ที่ควบคุมกฎหมายต้องไม่ใช้ 2 มาตรฐาน
คนเสื้อแดงต้องเท่าเทียมกับคนเสื้อเหลือง การดำเนินคดีก็ต้องใช้มาตรฐานเดียวกัน
เพราะไม่มีทางเลยที่จะเกิดความสมานฉันท์ได้
หากคนเสื้อแดงยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นประชาชนชั้น 2