ศรัทธา สารัตถะ
เพียงชั่วเวลาหนึ่งสัปดาห์ เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า กลุ่ม นปช. ได้ถูกแปลงสภาพจาก “ประชาชนที่ชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย” กลายเป็น “คนอื่น” (the other) ในสังคมไทยอย่างสมบูรณ์แบบ เสียงส่วนใหญ่ที่ครอบครองพื้นที่สื่อสาธารณะ ต่างประสานเสียงรุมประณามกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นผู้นิยมความรุนแรง กระทำสิ่งที่ไร้เหตุผล มีเจตนาสร้างความเสียหายให้กับส่วนรวม…..อย่างไม่อาจเข้าใจ หรือแม้แต่ให้อภัย
ถ้าไม่ลืมง่ายจนเกินไป การแปะป้ายผู้ชุมนุม นปช. ในทางลบมาเป็นที่ประจักษ์ชัดมาโดยตลอด ในช่วงหลังการสลายการชุมนุม กลไกที่มีบทบาทในการแปะป้ายทำงานเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นนักสิทธิมนุษยชน นักสันติวิธี สื่อมวลชน นักพัฒนาเอกชน นักวิชาการและอื่นๆ พากันประสานเสียงแปะป้ายคนเสื้อแดงเป็น “ปีศาจร้าย” “เป็นภัยต่อความมั่นคง” “เป็นศัตรูของชาติ” “เป็นผู้ก่อจลาจล” “เป็นอาชญากร” “เป็นเหยื่อของระบอบทักษิณ” “เป็นผู้นิยมความรุนแรง” “เป็นพวกโง่ จน เจ็บ” “เป็นคนบ้านนอก ไร้การศึกษา” “เป็นพวกหัวอ่อน ถูกหลอกง่าย” ฯลฯ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม การแปะป้ายดังกล่าว ปูพรมให้กับการใช้กำลังเข้าจัดการคนเสื้อแดง
เนื่องจากการแปะป้ายคนเสื้อแดง มีส่วนสำคัญที่สร้างความชอบธรรมให้กับการใช้กองกำลังทหารเข้าจัดการกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง การสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง กำลังสร้างบรรทัดฐานทางสังคมขึ้นมาใหม่ว่า การใช้กำลังทหาร พร้อมอาวุธสงครามบรรจุกระสุนจริงจัดการกับการชุมนุมของประชาชนเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับ หากมีเหตุผลที่เชื่อว่าสมควร?
ในสถานการณ์ความขัดแย้งที่ยังฝุ่นตรลบไม่จาง ความรู้สึกเจ็บปวดโกรธแค้นของผู้ชุมนุมยังคุกรุ่น กลับมีความพยายามเติมเชื้อลงไปในกองไฟ โดยการแปะป้ายผู้ชุมนุมเสื้อแดงแบบเหมารวม เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การจัดการแบบเหมาเข่งต่อไป น่าสงสัยว่า ความสามารถในการจำแนกแยกแยะได้สูญสลายไปจากสังคมไทยแล้ว?
การแปะป้ายทักษิณเป็น “อาชญากร” กำลังทำให้ “คนรักทักษิณ” รวมถึง “คนที่ไม่ปฏิเสธทักษิณ” กลายเป็น “อาชญากร” ไปพร้อมกัน ทั้งๆ ที่ความผิดของทักษิณ ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของทักษิณ เหตุใดชาวบ้านที่รักทักษิณ หรือคนที่ไม่ปฏิเสธทักษิณ หรือคนที่สวมเสื้อแดง แต่ไม่ได้นิยมชมชอบทักษิณ จึงถูกผลักให้อยู่ในฐานะอาชญากรที่ได้รับการลงโทษอย่างเท่าเทียมกัน?
คำร้องขอให้มีการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีผู้สูญหายหรือเสียชีวิตจากการใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมของประชาชน ถือเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมขั้นพื้นฐานซึ่งยอมรับกันในระดับสากล กลับถูกปัดทิ้งไปอย่างไร้ค่า บรรดานักสิทธิมนุษยชน นักสันติวิธี สื่อสารมวลชน องค์กรพัฒนาเอกชน นักวิชาการจำนวนมาก ซึ่งเคยแสดงบทบาทแข็งขันในการเรียกร้องสิทธิและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เมื่อคราวสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร กำลังแสดงให้เห็น “สองมาตรฐานทางจริยธรรม” ของพวกเขาอย่างหน้าไม่แดง (ดูเพิ่มเติมความเห็นในบทความของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ในประชาไท) ด้วยคำพูดราบเรียบและน้ำเสียงเยียบเย็น พวกเขาเปล่งวาจาประสานเสียง “รัฐบาลทำตามขั้นตอน รัฐบาลทำได้เรียบร้อยดี”
นักสิทธิมนุษยชน นักสันติวิธี สื่อมวลชน นักพัฒนาเอกชน นักวิชาการทั้งหลายมองไม่เห็นผลกระทบของการแปะป้าย การเลือกปฏิบัติ และสองมาตรฐานทางจริยธรรมของพวกเขา ทั้งๆ ที่พวกเขาอ้างตัวเป็นกลางทางการเมือง พร่ำพูดเสมอถึงความศรัทธาในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ยืนยันว่าเกลียดความรุนแรง เรียกร้องหาระบบธรรมาภิบาลที่โปร่งใส และอวดอ้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อประชาชนผู้เสียเปรียบ เหตุใดพวกท่านอ้างว่าเกลียดนักการเมืองคอรัปชั่นเข้าไส้ กลับมองไม่เห็นการคอรัปชั่นทางจริยธรรมของตนเอง?
สื่อมวลชนมีส่วนสำคัญกับการผลักให้สถานการณ์เดินหน้ามาสู่จุดนี้ ท่ามกลางความขัดแย้งที่แหลมคม ดูเหมือนว่าสถานีโทรทัศน์ทุกช่องมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ในการรายงานความจริงด้านเดียว ไม่เว้นแม้แต่โทรทัศน์ที่เกิดจากเลือดเนื้อของประชาชนในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ภายหลังการปะทะ แทนที่สื่อจะพยายามพิสูจน์ความจริงให้สิ้นสงสัย สื่อกลับตอบโต้ข่าวลือว่า “มีคนตาย มีการลากศพไปซ่อน” ด้วยการยืนยันแบบแผ่นเสียงตกร่องว่า “ไม่มีคนตาย มีเพียงคนบาดเจ็บเล็กน้อย” ในเงื่อนไขที่ช่องทางการสื่อสารและการเรียกร้องความยุติธรรมถูกปิดประตูตาย ชาวบ้านย่อมไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากพึ่งข่าวลือ และข่าวอื่นๆ เท่าที่พวกเขาจะหาได้ แต่สื่อกลับทำผิดซ้ำซากอีก ด้วยการประณามชาวบ้านว่าเชื่อข่าวลือ ทั้งยังไล่บี้นักศึกษาซึ่งพยายามช่วยค้นหาความจริงเกี่ยวกับผู้สูญหายว่าเป็นผู้สร้างข่าวลือ การแปะป้ายผู้ที่มีความเห็นต่าง กำลังกลายเป็นเครื่องมือตีกรอบความจริงให้เหลือเพียงมุมมองเดียวที่รัฐบอกว่า “ใช่”
นักสิทธิมนุษยชน นักสันติวิธี สื่อมวลชน นักพัฒนาเอกชน นักวิชาการทั้งหลาย พวกท่านลืมไปแล้วหรือว่า คนเสื้อแดงคือคนไทยเหมือนกับเราๆ ท่านๆ พวกเขาคือองค์ประกอบหนึ่งที่มีส่วนร่วมสร้างความมั่งคั่งในสังคมให้พวกท่านได้อยู่สุขสบาย พวกเขามีพ่อแม่พี่น้องและเพื่อนฝูงญาติมิตรที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกับท่าน การคอรัปชั่นทางจริยธรรมของพวกท่านในวันนี้ กำลังทำลายโอกาสและความเชื่อมั่นในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในวันหน้า กว่าท่านจะตระหนักถึงผลกรรมที่พวกท่านก่อไว้ ประเทศไทยก็ไม่มีวันเหมือนเดิมเสียแล้ว