มหาสงกรานต์ปีนี้ เป็นปีที่มีวันหยุดราชการยาวนานที่สุด
เพราะรัฐบาลอยากให้ประชาชนมีความสุข สนุกสนาน ฉลองปีใหม่ไทย รดน้ำกันให้ชุ่มฉ่ำ คลายวิกฤติความขัดแย้งของคนในชาติ
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการที่ม็อบเสื้อแดงภายใต้ การนำของกลุ่ม นปช. ชุมนุมปิดล้อมทำเนียบฯ ขับไล่ระบอบอำมาตยาธิปไตย และรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ขยายลุกลามบานปลาย เป็นจลาจลกลางเมือง กลายเป็นสงครามไฟ
ปิดถนนหลายจุดในกรุงเทพฯ จนการจราจรเป็นอัมพาต ปาระเบิดเพลิง เผารถเมล์ ยึดรถแก๊สขวางถนนในย่านชุมชน
ถึงขั้นที่รัฐบาลต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง เคลื่อนกำลังทหารออกมาควบคุมสถานการณ์
ม็อบปะทะทหาร ชาวบ้านปะทะม็อบ
แม้แต่นายกฯอภิสิทธิ์ ก็ยังถูกม็อบไล่ล่าทุบรถจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน ขณะที่นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ โดนรุมยำหัวร้างข้างแตก
ก่อนที่ทหารจะสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ และกดดันจนแกนนำม็อบเสื้อแดงต้องประกาศสลายการชุมนุมและมอบตัวกับทางการ
ถือว่ายังโชคดีที่ไม่มีเหตุรุนแรงถึงขั้นเลือดนองแผ่นดิน
สถานการณ์ผ่านมาถึงวันนี้ ต้องยอมรับว่า ปัญหาความแตก แยกขัดแย้งของผู้คนในประเทศ เหตุจลาจล มิคสัญญีที่เกิดขึ้น
มันแค่หยุดไปชั่วคราว ไม่ใช่การสงบอย่างถาวร
ไฟยังไม่ดับ เพียงแต่จำกัดวงไว้ได้ชั่วคราวเท่านั้น สถานการณ์ความขัดแย้งยังคุกรุ่นรอเวลาปะทุ
พร้อมที่จะหวนกลับมามีเหตุให้เกิดเรื่องปะทะกันได้อีก
และอาจลุกลามบานปลายขยายวงกว้างออกไป จนเกิดความเสียหายมากกว่าเหตุจลาจลม็อบเสื้อแดงครั้งที่ผ่านมาก็เป็นได้
“ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” ขอชี้ว่า ความเคลื่อนไหวของม็อบเสื้อแดงที่นำมาสู่เหตุการณ์จลาจล เป็นเพราะมีเดิมพัน และเป็นเดิมพันที่สูงมาก
เนื่องจากหัวหน้าขบวนการม็อบเสื้อแดง ที่ประกาศเปิดตัวอย่างชัดเจน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ยังไม่ยอมแพ้ ยังเดินหน้าสู้ต่อ เพราะยุทธศาสตร์ของเขายังไม่บรรลุผล
ในฐานะหัวหน้าขบวนการคนเสื้อแดง ความเคลื่อนไหวจากการโฟนอินและวีดิโอลิงค์ชัดเจนว่า
ต้องการปลุกเร้ากระแสมวลชนคนเสื้อแดง ให้เกิดการเผชิญ
หน้ากับฝ่ายอำนาจรัฐ
เป้าหมาย คือ สร้างอำนาจต่อรอง
ที่สำคัญ ภายใต้การเคลื่อนไหวปลุกระดมมวลชนคนเสื้อแดงจากจังหวัดต่างๆให้เข้ามาชุมนุมใหญ่ในกรุงเทพมหานคร
ยกระดับการชุมนุมจากการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ขับไล่นายกฯอภิสิทธิ์ มาเป็นการปิดล้อมบ้านสี่เสาเทเวศร์ ประกาศโค่นล้มอำมาตยาธิปไตย
กดดัน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี ให้ลาออกจากตำแหน่ง
แต่ในทางลึกได้มีความพยายามในการต่อสายเจรจาต่อรองผ่านบุคคลบางฝ่าย โดยสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณตั้งเงื่อนไขขอมา ก็คือ
เงินที่ถูกอายัด 76,000 ล้านบาท เขาขอคืนแค่ 50,000 ล้านบาท และไม่ต้องติดคุกในทุกคดี
แต่การเจรจาประสานในทางลับ ประตูไม่เปิดให้บรรลุผลได้
ทำให้มีการยกระดับสถานการณ์ม็อบเสื้อแดงให้รุนแรงยิ่งขึ้น
เป้าหมายสำคัญ คือ ทำให้เกิดการแตกหัก
ทำให้ประเทศไทยกลายเป็น “รัฐที่ล้มเหลว” ไม่สามารถอยู่ร่วมในกติกาแห่งอารยประเทศได้
โดยมีร่องรอยชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอน ในการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท. ทักษิณ ทั้งการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ การโฟนอิน และวีดิโอลิงค์ เข้ามาปลุกม็อบเสื้อแดง ระบุชัดว่า
ประเทศไทย มีรัฐบาลที่ไม่ได้มาโดยประชาธิปไตย มาโดยมิชอบ มาจากผลพวงของการรัฐประหาร
เป็นรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติซ่อนรูป
กล่าวหากระบวนการยุติธรรมของไทย ไม่มีความยุติธรรม โจมตีทำลายความน่าเชื่อถือของประธานองคมนตรี และองคมนตรี
หนุนหลังอย่างเปิดเผยปลุกระดมคนเสื้อแดงทุกพื้นที่ทั่วประ-เทศให้ออกมาชุมนุมเคลื่อนไหว สร้างเงื่อนไขให้ประชาชนลุกฮือ
เพื่อทำให้รัฐบาลถูกมองว่าแก้ปัญหาวิกฤติประเทศไม่ได้
ทำให้เกิดจลาจล มิคสัญญี ปฏิวัติรัฐประหาร สงครามกลางเมือง
เพื่อให้องค์กรสากลอย่างสหประชาชาติ สอดแทรกเข้ามาเป็นกรรมการกลางจัดโต๊ะเจรจา เปิดช่องให้ตัวเองได้มีที่นั่งอยู่ในวงเจรจานั้นด้วย
แต่เป้าหมายนี้ ก็ไม่บรรลุผล
เพราะรัฐบาลยังสามารถควบคุมสถานการณ์วิกฤติจลาจลม็อบเสื้อแดงเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด
แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงก่อนหน้านั้น การเดินเกมตามยุทธศาสตร์
ของ “ทักษิณ” ที่บรรลุผลไปแล้ว ก็คือ ล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาที่เมืองพัทยาได้สำเร็จ
กลุ่มม็อบเสื้อแดงบุกทุบกระจกโรงแรม ลุยเข้าไปถึงขอบเวทีประชุมผู้นำอาเซียน
ส่งผลให้บรรดาผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ รวมทั้งผู้นำประเทศคู่ค้าคู่เจรจา ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
ที่ต้องร่วมวงเจรจาและลงนามสัญญาด้านการค้า การลงทุน การแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือด้านต่างๆระหว่างกัน
ต้องวิ่งหัวซุกหัวซุนออกจากห้องประชุม บ้างก็โดดขึ้นเฮลิคอปเตอร์ บ้างก็ลุยน้ำลงเรือเร็ว พากันหนีตายกลับประเทศแทบไม่ทัน
สื่อต่างประเทศรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก ทำให้ประเทศไทย เสียภาพพจน์ไปเต็มๆ
ส่งผลกระทบไปถึงเรื่องการลงทุนและการท่องเที่ยวของไทย
ขณะเดียวกันก็เกิดคำถามตามมามากมายจากนานาชาติ ถึงขนาดที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ออกมากล่าวประณามการใช้ความรุนแรงของกลุ่มผู้ประท้วงที่บุกขัดขวางการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน
ขณะที่สำนักข่าวต่างประเทศ ทั้งซีเอ็นเอ็น และบีบีซี ก็ ได้ตั้งคำถามและข้อสังเกตมากมายระดมเข้าใส่ “ทักษิณ” ในทำนองว่า
พฤติการณ์ที่ออกมา นานาชาติ กระแสโลก ไม่ขานรับ
ที่สำคัญ มาถึงวันนี้ประเทศไทยก็ยังไม่ได้กลายเป็น “รัฐที่ล้มเหลว” อย่างที่คนบางคนต้องการเห็น
อย่างไรก็ตาม ทีมของเราขอย้ำว่า สถานการณ์ในขณะนี้แม้รัฐบาลของนายกฯอภิสิทธิ์สามารถหยุดเหตุการณ์จลาจลจากม็อบเสื้อแดงไว้ได้
แต่ก็เป็นเพียงการหยุดเอาไว้ชั่วขณะ
เป็นแค่อาการสงบชั่วคราว แต่ไฟแห่งความขัดแย้งแตกแยกในสังคมยังไม่ได้ดับมอดสนิทลง ยังคงคุกรุ่น
พร้อมที่จะปะทุขึ้นมาได้อีกตลอดเวลา และอาจลุกโชนร้อนแรงกว่าเดิม
ถ้ามีการเติมเชื้อโหมไฟจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
เหนืออื่นใด การที่ประเทศไทยจะกลายเป็น “รัฐที่ล้มเหลว” จะเกิดขึ้นก็เพราะฝีมือของคนไทยด้วยกัน
ถ้าไม่สามารถยุติความแตกแยกร้าวฉานของคนในชาติได้
“ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” ต้องขอตอกย้ำอีกครั้งว่า โดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจน
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ถือเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย โดยไม่อยู่ในอาณัติ ครอบงำใดๆ ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
มีหน้าที่สำคัญในการแก้ปัญหาวิกฤติให้ประเทศชาติและประชาชน
แต่ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้ที่เป็นฝ่ายค้านในอดีต ถูกมองเป็นพวกเสื้อเหลือง ในขณะที่รัฐบาลในอดีตและมาเป็นฝ่ายค้านในขณะนี้ เป็นพวกเสื้อแดง
การทำงานในสภาฯ จึงกลายเป็นการแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย แบ่งสี ควบคู่ไปกับการเมืองนอกสภาฯ
แทนที่ผู้แทนปวงชนชาวไทยจะร่วมมือร่วมใจกันใช้เวทีสภา เป็นเวทีแก้ปัญหาวิกฤติให้กับชาติบ้านเมือง
กลับกลายเป็นใช้เวทีสภาเป็นสถานที่ฟาดฟันกัน ไม่ได้ ใช้เป็นเวทีระดมสมองในการคลี่คลายปัญหาให้กับประเทศชาติ
ถ้า ส.ส. และ ส.ว.ในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย แก้ความแตกแยกในระบบไม่ได้ ก็คงยุติความแตกแยกร้าวฉานของสังคมไม่ได้
การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างที่ทำกันไป เป็นเพียงการแก้ที่ปลายเหตุ
แต่ถ้าต้นเหตุคือ ส.ส. นักการเมือง ไม่สามารถปรองดองกันได้ ฟันเฟืองแต่ละขั้วยังคงอาละวาดกันต่อไป ปัญหาก็ไม่จบ
โดยเฉพาะปัญหานักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และบ้านเลขที่ 109 ที่ถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง เป็นหัวเชื้อให้มีการอาละวาดราวีกันไม่เลิก
ดังนั้น การแก้ปัญหาที่ต้นตอจึงอยู่ที่แกนนำของคนพวกนี้ไม่กี่สิบคน ที่จะต้องหันหน้ามาพูดคุยกัน กติกาสูงสุดของประเทศจะแก้ไขกันอย่างไร โดยใช้เวทีสภาเป็นทางออก
แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนเหล่านี้ยังต้องฟัง “นายใหญ่” ที่อยู่ เมืองนอก อย่างเคร่งครัดอยู่รึเปล่า
ถ้าต้องฟัง ยังไงมันก็ไม่จบ.
“ทีมการเมือง“