นักปรัชญาชายขอบ
เมื่อเกิดความขัดแย้งทางการเมือง การเดินขบวนประท้วง เกิดความรุนแรงมากบ้าง น้อยบ้าง ขึ้นครั้งใด ชนชั้นนำในสังคมไทยก็มักจะออกมาเรียกร้องให้คนในสังคมรู้รักสามัคคี ให้เลิกทะเลาะกัน หันหน้ามาปรองดองสมานฉันท์กัน เพื่อให้ประเทศชาติได้เดินหน้าต่อไป
แต่ข้อเรียกทำนองนี้นับวันจะยิ่งห่างไกลความสำเร็จ เพราะ...
1.ข้อเรียกร้องดังกล่าวสะท้อนทรรศนะพื้นฐานของชนชั้นนำต่อปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่มองด้านเดียวว่า ความขัดแย้งทางการเมืองเป็น “ความวุ่นวาย” ที่ทำลายความสงบของชาติ และความสงบของชาติจะมีไม่ได้ถ้าคนในชาติไม่สามัคคี ซึ่งสามัคคีมีความหมายสำคัญว่าต้องเคารพเชื่อฟังอำนาจรัฐ ไม่ขัดแย้ง ไม่เดินขบวนต่อต้าน ฯลฯ
ทรรศนะพื้นฐานดังกล่าวนี้ไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมทางการเมืองยุคใหม่ที่มองความขัดแย้งเป็นโอกาสของการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่า
ความสามัคคี ความสงบ ความมั่นคง ที่ประชาชนต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังโอวาท หรือการควบคุมครอบงำของอำนาจรัฐนั้นตกยุคไปแล้ว การเมืองยุคนี้เรียกร้องความสามัคคี ความสงบ ความมั่นคง ในความหมายที่ชนชั้นนำซึ่งเป็นฝ่ายได้เปรียบมาตลอดให้ยุติการเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ โดยเปิดทางให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้มีสิทธิ์มีส่วนอย่างเท่าเทียมในการกำหนดกติกา นโยบาย และหรือเลือกพรรคการเมืองตามที่พวกเขาเห็นว่าดี
โดยที่ชนชั้นนำส่วนน้อยจะต้องไม่ฉวยโอกาสใช้เล่ห์เพทุบายมาล้มล้างกติกา นโยบาย และหรือรัฐบาลที่พวกเขาเลือก
2. การเรียกร้องให้รู้สามัคคีของชนชั้นนำ เป็น “การทำการเมืองให้ไม่การเมือง” (สำนวน อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์) ในเมื่อการเมืองเป็นเรื่องของการต่อรองอำนาจในการจัดสรรผลประโยชน์ ซึ่งจะเกิดความเป็นธรรมก็ต่อเมื่อประชาชนทุกภาคส่วนมีโอกาสเข้ามาต่อรองในเรื่องดังกล่าวอย่างเท่าเทียมกันผ่านเวทีต่างๆ เช่น สภาต่างๆ พรรคการเมือง สื่อมวลชน และเวทีสาธารณะอื่นๆ
ในการต่อรองอำนาจจัดสรรผลประโยชน์ต่างๆ นั้น ความขัดแย้งย่อมเกิดขึ้นเป็นปกติ แต่สังคมการเมืองจะเรียนรู้และหาทางจัดการความขัดแย้งนั้นๆ ให้ดำเนินไปภายใต้กติกาและการใช้เหตุผล
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ใกล้-ไกล ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐไม่ยอมรับฟังเหตุผลของประชาชน และมักยุติการต่อรองทางการเมืองของประชาชนด้วยการใช้กำลังทำให้การเมืองไม่การเมือง คือ ทำเรื่องที่ควรจะต่อรองกันได้ด้วยเหตุผลในบรรยากาศที่เคารพสิทธิเสรีภาพให้กลายเป็นเรื่องที่คุยกันไม่ได้ด้วยเหตุผล ไม่เคารพสิทธิ เสรีภาพอีกต่อไป
การเรียกร้องให้รู้รักสามัคคีแม้จะฟังดูดี แต่ในแง่หนึ่งมันทำให้ภาพความขัดแย้งทางการเมืองในการต่อรองอำนาจจัดสรรผลประโยชน์ดูเป็นเรื่องที่เลวร้ายเกินเหตุ และมันไปปิดกั้นไม่ให้ความขัดแย้งพัฒนาไปสู่การใช้เหตุผลต่อสู้กัน
หรือขัดแย้งกันด้วยเหตุผลจนถึงที่สุดจนสังคมเกิดการเรียนรู้ร่วมกันว่า การจัดสรรผลประโยชน์ที่เป็นธรรมที่ทุกฝ่ายควรยอมรับร่วมกันได้นั้นคืออะไร
ไม่ใช่เพื่อรักษา “ภาพ” ของสังคมที่รู้รักสามัคคีแล้ว เลยทิ้งปัญหาความไม่เป็นธรรมด้านต่างๆ ที่มีอยู่จริงไปเฉยๆ จนสั่งสมเพิ่มพูนมากขึ้นๆ เมื่อถึงจุดระเบิดคำขอคำขวัญประเภทรู้รักสามัคคีก็เอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
3. ประชาชนส่วนใหญ่รู้ทันวาทกรรมของชนชั้นนำ เช่น “รู้รักสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ความสงบ ความมั่นคง ฯลฯ” แล้วว่า เป็นเพียง “วาทกรรมอำพราง” เพราะวาทกรรมเหล่านี้ไม่ได้ตอบปัญหาความไม่เป็นธรรมทางฐานะเศรษฐกิจ อำนาจต่อรองทางการเมือง สิทธิและโอกาสทางสังคมอื่นๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากขึ้นๆ
วาทกรรมอำพรางเหล่านั้นใช้ลวงประชาชนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะสิ่งที่ประชาชนรักสุดจิตสุดใจ คือ “ความเป็นธรรม” พวกเขาต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม ถ้าแผ่นดินนี้มีความเป็นธรรมก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงความรู้รักสามัคคี ความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หรือไม่จำเป็นต้องสร้างวาทกรรมอำพรางใดๆ อีก
ตื่นเถิดชนชั้นนำ ประชาชนชั้นล่างกำลังสอนท่านว่า ประชาชาติจะรักชาติโดยไม่รักความเป็นธรรมไม่ได้ พวกท่านจะพร่ำสอนหรือเรียกร้องให้ประชาชนรักชาติโดยปฏิเสธการสร้างสังคมที่เป็นธรรมไม่ได้ พวกท่านเสวยสุขบนความไม่เท่าเทียมของอำนาจต่อรองในการจัดสรรผลประโยชน์แทบทุกด้านมาแสนนาน
พวกท่านอยู่ส่วนบนของโครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรม และไม่เคยใส่ใจปัญหาความไม่เป็นธรรมแม้แต่น้อย เมื่อไม่รักความเป็นธรรมก็อย่าเรียกร้องใครอื่นให้รักชาติ
ชนชั้นนำไม่มีความชอบธรรมที่จะเรียกร้องสามัคคีจากประชาชน ตราบที่เขาไม่ใส่ใจปัญหาความไม่เป็นธรรม ประชาชนต่างหากที่ควรเป็นผู้เรียกร้องความเป็นธรรมจากชนชั้นนำ และประชาชนต่างหากคือผู้ที่จะสร้างความเป็นธรรมด้วยสมองและสองมือ
ประเทศชาติจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร ถ้าไม่มีความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองที่จับต้องได้ !