เป็นอันว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้จัดการรัฐบาล
สามารถสยบคลื่นใต้น้ำภายในพรรคประชาธิปัตย์ลงได้
โดยจำกัดขอบเขตไว้ที่รมช. เกษตรฯ ของพรรคภูมิใจไทยเพียงตำแหน่งเดียว
ซึ่งได้มีการผลักดัน นายศุภชัย โพธิ์สุ เข้ามาเสียบแทน นายชาติชาย พุคยาภรณ์ เป็นผลสำเร็จเรียบร้อยโรงเรียนเนวินไปแล้ว
อย่างไรก็ตามถึง"อภิสิทธิ์-สุเทพ" จะคลี่คลายปัญหาในพรรคตัวเองได้
แต่ที่กำลังเป็นปมปัญหาใหญ่และไม่รู้ว่าจะมีบทลงเอยอย่างไร คือปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างพรรคแกนนำประชาธิปัตย์ กับพรรคร่วมรัฐบาลภูมิใจไทย
อันมีเชื้อไฟมาจากโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน 7.8 หมื่นล้านบาทของกระทรวงคมนาคม กับการเปิดประมูล สต๊อกข้าว ข้าวโพด และสินค้าเกษตรหลายพันล้านของกระทรวงพาณิชย์
เฉพาะมูลค่าโครงการก็เพียงพอจะ เป็นประเด็นให้สังคมต้องสนใจจับ ตาถึงความสุจริตโปร่งใส ว่าจะมีมากน้อยขนาดไหน
ขณะเดียวกันในทางการเมือง บทสรุปต่อทั้ง 2 โครงการ
ยังจะส่งผลเชื่อมโยงถึงเสถียร ภาพของรัฐบาลโดยตรงอีกด้วย
จากผลสำรวจสำนักวิจัยเอแบคโพล
เกี่ยวกับการจัด 10 รัฐมนตรีที่โลกลืม และ 10 รัฐมนตรีที่ประชาชนพอใจในผลงานช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา แม้ส่วนใหญ่ไม่ผิดจากความรู้สึกของประชาชนทั่วไป
แต่ตัวเลขที่รัฐบาลไม่ควรมองข้าม
คือมากกว่าร้อยละ 80 เชื่อว่ามีบุคคล ในรัฐบาล เรียกรับผลประโยชน์จากกลุ่มนายทุนและทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งถือเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงมาก
ทั้งยังสะท้อนว่า ถึงแม้ประชาชนจะยอมรับ ในความเป็น"คุณชายมือสะอาด"ของนายอภิสิทธิ์
แต่กับภาพรวมของรัฐบาลแล้วถือเป็นคนละเรื่อง
ที่ มีการตั้งข้อสังเกตกันก็คือโพลดังกล่าว 5 สำรวจในช่วงที่ประชาชนในสังคมกำลังเพ่งมอง ไปที่โครงการเช่ารถเมล์เอ็น จีวี 4 พันคันของกระทรวงคมนาคม และการประมูลสต๊อกสินค้าเกษตรของกระทรวงพาณิชย์
ซึ่งทั้ง 2 กระทรวงอยู่ในความดูแลของพรรคภูมิใจไทย
ความสำคัญของพรรคภูมิใจไทย ที่แม้แต่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ยังยอมรับก็คือการมีฐานะเป็นเสาหลักค้ำยันรัฐบาล ดังนั้น ถ้ามีอะไรมากระทบเสาหลักนี้
นั่นหมายถึงเสถียรภาพรัฐบาลต้องโงนเงนตามไปด้วย
จุดอ่อนของรัฐบาลชุดนี้คือการมีรูปแบบเป็นรัฐบาลผสม
เคล็ดลับการอยู่รอดของรัฐบาลประเภทนี้ คือแต่ ละพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลจำเป็นต้องถนอมน้ำใจ พึ่งพาอาศัยกันและกัน หนักนิดเบาหน่อยก็ควรยอมๆ กันไป
นอกจากนั้นแล้วรัฐบาลชุดนี้ยังถือเป็นรัฐบาลรวมการเฉพาะกิจ กำเนิดขึ้นมาท่ามกลางการแก้ไขวิกฤตการเมืองเฉพาะหน้า
เป้าหมายคือเข้ามาปูทางสะสมเสบียงกรัง
กระทั่งพร้อมเมื่อไหร่หัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาลที่เป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะอาศัยอำนาจช่วงชิงความได้เปรียบประกาศยุบสภาเลือกตั้งใหม่
กะเวลากันไว้ว่าอาจจะเป็นปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
หลังการแบ่งเค้กงบประมาณ อัดฉีดเม็ดเงินลงไปในโครงการต่างๆ ตลอดจนการกระชับกลไกความได้เปรียบผ่านการโยกย้ายข้าราชการเป็นที่เรียบร้อย
สิ่งเหล่านี้เป็นที่รู้กันดีในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้ปฏิบัติการขวางคอหอยดึงอ้อยจากปากช้าง กรณีการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี และกรณีการประมูลระบาย สต๊อกสินค้าเกษตร
ถูกมองแยกออกเป็นหลายด้าน
ด้านดีสุดคือมองว่า นายอภิสิทธิ์ต้องการจะรักษาภาพลักษณ์นายกฯมือสะอาด ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง
โดยไม่แคร์อาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงของพรรคร่วมเจ้าของโปรเจ็กต์
สำหรับมุมมองอย่างเป็นกลางๆ คือนายอภิสิทธิ์ ยังยึดมั่นในกฎเหล็ก 9 ข้อในการเป็นรัฐบาลผสม ที่รัฐมนตรีทุกพรรคต้องรับผิดชอบการทำงานร่วมกัน
ส่วนด้านที่ถูกมองอย่างเลวร้ายที่สุด
เป็นด้านที่คนในพรรคภูมิใจไทยสะท้อนว่าสาเหตุที่พรรคประชาธิ ปัตย์ขัดขวางทั้ง 2 โครงการ เพราะต้องการเข้าไปมีชื่อร่วมผลักดันโครง การเพื่อใช้เป็นผลงานหาเสียง
วิธีการคือสร้างกระแสทุจริต ขึ้นมา และพรรคประชาธิปัตย์ก็เข้ามา อ้างว่าทำให้เกิดความโปร่ง ใส แล้วฉกฉวยผลงานไปเป็นของตัวเอง
บรรยากาศคุกรุ่นมากขึ้นไปอีก เมื่อ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมมือกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เดินเกมตรวจสอบ 2 โครงการดังกล่าว ผ่านกลไกของสภา ในนามคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ขณะที่พรรคภูมิใจไทยส่งนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ประธานคณะทำงานรมว.มหาดไทย ออกมาขัดขวางนโยบายจัดสรรที่ดินให้คน จนเช่า ไร่ละ 10 บาท
ในความรับผิดชอบของนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย จากพรรคประชาธิปัตย์
ระบุว่าอาจเป็นโครงการที่เอื้อประโยชน์ให้นายทุนสวนยางและสวนปาล์มภาคใต้ ซ้ำรอยการแจก ส.ป.ก. 4-01 ที่เป็นตราบาปติดตัวพรรคประชาธิ ปัตย์มาจนถึงทุกวันนี้
จังหวะเดียวกัน นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย ยังประกาศให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับการตรวจสอบในทุกโครง การเพื่อความแฟร์
การที่นายศักดิ์สยาม น้องชายนายเนวิน ชิดชอบ ออกมาดับเครื่องชนพรรรคประชาธิปัตย์ด้วยตัวเอง อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าศึกครั้งนี้ไม่ธรรมดา
ยกเว้นเสียแต่ว่าทั้ง 2 พรรค จะเล่นเกมลับ ลวง พราง
หลอกตบตาประชาชนได้แบบเนียนๆ
โดยไม่ใส่ใจต่อคำเตือนของใครต่อใครที่เป็นห่วง
ว่ารถเมล์ทั้ง 4 พันคัน อาจเป็นยานพาหนะนำพารัฐบาลพุ่งลงเหวโดยไม่รู้ตัว