บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

กกต.ไม่สำนึกผิด (บาป)?

ที่มา Thai E-News

โดย คุณ ประสงค์ วิสุทธิ์
ที่มา เวบไซต์ มติชนออนไลน์
21 กุมภาพันธ์ 2552

น่าจับตาดูต่อไปว่า ศาลฎีกาจะตัดสินเรื่องนี้อย่างไร

ถ้าตัดสินให้เพิกถอนกระบวนการสรรหา จะมีผลกระทบต่อประธานศาลฎีกา ที่เป็นประธานคณะกรรมการสรรหามากน้อยแค่ไหน

ทั้งๆ ที่มีข้อมูลและหลักฐานว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) น่าดำเนินการและวินิจฉัยเรื่องราวต่างๆ ผิดพลาด (หรือเป็นความจงใจ?)

แต่ดูเหมือนว่า แทนที่จะสำนึกผิดหรือสำนึกบาป แก้ไขหรือเยียวยาให้ถูกต้อง

แต่ดูเหมือนว่า กกต.ยังคงดันทุรังกระทำการในลักษณะเดิมต่อไป

เรื่องแรก นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่ง กกต. มีมติเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2551ว่า ให้ดำเนินคดีอาญาเพียงอย่างเดียว โดยไม่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง( ใบแดง)ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550

ทั้งๆ ที่ กกต.วินิจฉัยว่า นายบุญจง ปราศรัยใส่ร้ายคู่แข่ง และแจกทรัพย์สิน ซึ่งเป็นความผิดตาม มาตรา 53 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และ การได้มาซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนรษษฎร (ส.ว.) พ.ศ.2550 ( คำวินิจฉัยสั่งการของกกต.ที่ 357/2551)

เมื่อมีการเปิดโปงเรื่องนี้ แทนที่จะแก้ไขมติให้ถูกต้อง เป็นมาตรฐานเดียวกับคดีเลือกตั้งอื่นๆ ที่กระทำผิดฐานเดียวกัน เช่น การแจกใบแดงนายธานินทร์ ใจสมุทร นายก อบจ.สตูล

กลับมีการแก้ไขร่างคำวินิจฉัยหลายครั้ง โดยอ้างว่า การสั่งให้เลือกตั้งใหม่ จากการกระทำของคู่แข่งนายบุญจงแล้ว ทำให้ความไม่สุจริตและเที่ยงธรรม (ที่เกิดการจาการกระทำของนายบุญจง) ได้รับการแก้ไขเยียวยา จึงไม่มีเหตุให้ต้องพิจารณาว่า การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ไม่ว่ากรณีใดๆ อีก (ฮาไม่ออก)

การกระทำของ กกต. เท่ากับเป็นการช่วยเหลือนายบุญจง ไม่ต้องส่งคำร้องให้ศาลฎีกา ทำให้ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.

ใครที่อ้างว่า กกต.ไม่มีเหตุที่จะช่วยเหลือนายบุญจง ให้ย้อนกลับดูกรณีการวินิจฉัยเรื่อง นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร (พ่อของนายเนวิน ชิดชอบ ลูกพี่ของนายบุญจง) ซึ่งถือประทานบัตรเหมืองแร่ ซึ่ง กกต.วินิจฉัยว่า ประทานบัตรไม่ใช่สัมปทาน ทั้งๆ ที่ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาว่า ประทานบัตรเหมืองแร่เป็นสัมปทานประภทหนึ่ง

สอง การยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาให้เพิกถอนการสรรหา ส.ว.ของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ โดยอ้างว่า นิติบุคคลอาคารชุดเซ็นจูเรียนปาร์ค ที่เสนอชื่อนายเรืองไกร เป็นองค์กรที่ไม่มีสิทธิเสนอชื่อตามกฎหมายแล้ว

เมื่อพิจารณาจากคำวินิจฉัย และเอกสารอื่นๆ แล้ว ทำให้เชื่อว่า มีการจ้องเล่นงานนายเรืองไกรโดยเฉพาะ (ดูสถานีคิด เรื่อง"ขายสำนวน-เป่าคดีใน กกต." เสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552)

คำวินิจฉัยเช่นนี้ เป็นการท้าท้ายว่า ระบบการสรรหา คณะกรรมการสรรหา ซึ่งล้วนแต่เป็นบุคคลระดับสูงได้แก่ ประธานศาลฎีกา ประธาน กกต. ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธาน ป.ป.ช. ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสุงสุดว่า มีปัญหา
เพราะองค์กรที่เสนอชื่อ ส.ว.เหล่านี้ ได้รับการกลั่นกรองจากคณะอนุกรรมการที่ตั้งขึ้น ตามกฎเกณฑ์ที่คณะกรรมการสรรหากำหนด

แต่วันดีคืนดี กกต.มาเพิ่มกฎเกณฑ์ ด้วยการนิยามถ้อยคำเกี่ยวกับคุณสมบัติขององค์กรที่เสนอชื่อ ส.ว.เพิ่มเติม แล้วบอกว่า สิ่งที่คณะกรรมการสรรหาวินิจฉัยผิดพลาด ซึ่งเท่ากับเป็นการตบหน้าคณะกรรมการสรรหา

น่าจับตาดูต่อไปว่า ศาลฎีกาจะตัดสินเรื่องนี้อย่างไร ถ้าตัดสินให้เพิกถอนกระบวนการสรรหา จะมีผลกระทบต่อประธานศาลฎีกาที่เป็นประธานคณะกรรมการสรรหามากน้อยแค่ไหน

สาม กกต.มีมติเอกฉันท์ว่า นายสุรเดช จิรัฐิติเจริญ ส.ว.ปราจีนบุรี ขาดคุณสมบัติในการสมัคร ส.ว.เพราะพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ไม่ครบ 5 ปี จนถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง จึงส่งเรื่องให้ประธานวุฒิสภา ส่งเรื่องศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา นายประธานวุฒิสภา ได้ส่งเรื่องกลับไปยัง กกต.ให้พิจารณา 2 ประเด็น

ประเด็นแรก เรื่องอำนาจของประธานวุฒิสภา

เนื่องจากในคำวินิจฉัย กกต.อ้างว่า เป็นการร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งฯ และวินิจฉัยว่า เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 238,239 ซึ่งระบุว่า ต้องส่งคำร้องให้ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยตรง แต่ไปๆ มาๆ กลับให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 91

เห็นชัดว่า เรื่องง่ายๆ แค่นี้ ยังเขียนคำวินิจฉัยแบบเลอะเทอะ

ประเด็นที่สอง นายสรุเดชร้องขอความเป็นธรรม พร้อมกับส่งพยานหลักฐานใหม่ให้พิจารณา ซึ่ง กกต.นำเข้าเป็นวาระการประชุมที่ 8.5 ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์

เมื่อเห็นพยานหลักฐานใหม่ กกต.คนหนึ่งถึงกับยอมรับว่า วินิจฉัยผิดพลาด ทำให้ที่ประชุมถึงกับเงียบ แต่ในที่สุด กกต.คนหนึ่งพูดทำนองว่า ถ้ามีการทบทวนอาจถูกฟ้องร้องจากคดีอื่นๆ

หรือถ้าใครไม่ยอมรับ ให้นำเทปการประชุม กกต.มาพิสูจน์

เรื่องนี้ถ้า กกต.ไม่ดันทุรัง ยอมทบทวน อาจเยียวยาปัญหาให้เบาบางลง

แต่ถ้าไม่ยอม อย่าลืมว่า มีเรื่องนี้ร้องเรียนคาอยู่ที่ ป.ป.ช. ซึ่งจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง

สุดท้ายแว่วข่าวว่า ผลการสอบสวนเจ้าหน้าที่ปลอมลายเซ็นเอกสาร ที่ยื่นต่อศาลฎีกา ในคดีใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช อาจเป็นมวยต้นคนดู เพราะสรุปให้แค่ลงโทษผิดวินัยไม่ร้ายแรง

จะมีการอุ้มกันแบบหน้าด้านๆ หรือไม่ ติดตามดูกันต่อไป

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker