เมื่อกองทัพคนเสื้อแดงนับหมื่นเคลื่อนขบวนเข้าปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลระลอกใหม่ ประกาศยุทธศาสตร์ในการโค่นล้มขับไล่รัฐบาลแบบยืดเยื้อ ไม่สำเร็จ ไม่เลิก
ภาพการนำรถเครนมายกตู้คอนเทนเนอร์ 7 ตู้ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาตั้งขวางป้องกันไม่ให้กลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนผ่านไปถึงทำเนียบรัฐบาลได้อย่างสะดวก ทิ้งลงคลองเปรมประชากร
แสดงให้เห็นว่าการชุมนุมมีการเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี สมกับที่แกนนำตีเกราะเคาะปี๊บมาตลอดว่าครั้งนี้จะเป็นการทำสงครามขั้นแตกหัก
สิ่งสำคัญที่ทำให้การชุมนุมคนเสื้อแดงแตกต่างออกไปจากครั้งก่อน
นั่นก็คือ ครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เปิดตัวออกมาทำหน้าที่นำการไฮด์ปาร์ก ผ่านการโฟนอินและวิดีโอลิงก์
ลำพังม็อบเสื้อแดงต้องถือว่ามีความร้อนแรงในตัวเองอยู่แล้ว จากการประกาศยกระดับการชุมนุมขึ้นเป็นการขับไล่รัฐบาล เมื่อได้พ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นผู้บัญชาการรบด้วยแล้ว
เลยยิ่งทำให้ม็อบร้อนแรงมากขึ้นอีกหลายเท่า
สําหรับรัฐบาลนั้นถึงจะเอาชนะเกมในสภาว่าด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจมาได้
แต่กับเกมนอกสภา ม็อบเสื้อแดง กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ออกมาลุยเต็มสูบ ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่สามารถประมาทได้
เพราะถึงหลังจบศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคเพื่อไทยจะไม่สามารถยิงหมัดน็อกรัฐบาลได้เหมือนอย่างที่คุยไว้
แต่หมัดที่ปล่อยออกไปโดยเฉพาะประเด็นการไซฟ่อนเงิน 258 ล้านบาท กับเรื่องนำเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง 23 ล้านบาทที่ได้รับจาก กกต.ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
ซึ่งอาจเป็นประเด็นนำไปสู่การยื่นยุบพรรค
ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ตกอยู่ในภาวะระส่ำระสายพอสมควร กระทั่งเกิดข่าวลือบานปลายว่าอาจมีส.ส.บางคนตัดสินใจย้ายพรรคในการเลือกตั้งหน้า
อย่างไรก็ตามพรรคประชาธิปัตย์ยังมีตัวช่วยให้สถานการณ์ไม่ถึงกับย่ำแย่มากนัก
อย่างแรกคือผลสำรวจล่าสุดของเอแบคโพลภายหลังเสร็จสิ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พบว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับคะแนนนิยมถึงร้อยละ 50.6 มากกว่าเท่าตัวจากที่พ.ต.ท.ทักษิณได้รับคือร้อยละ 23.6
แต่ที่เล่นเอาคนฟังหูผึ่งไปตามๆ คือการที่พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีออกมาให้กำลังใจรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ในการแก้ปัญหาบ้านเมืองด้วยถ้อยคำสั้นๆ ว่า"ผมเชียร์"
เมื่อระดับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองออกมาหนุนหลังรัฐบาลอย่างออกหน้าออกตาเช่นนี้ ขณะที่ฝ่ายม็อบเสื้อแดงก็ได้แม่ทัพตัวจริงเสียงจริงมาบัญชาการรบ
ผลออกมาอย่างไรเป็นเรื่องน่าติดตามอย่างยิ่ง
ย้อนเวลากลับไป 1 เดือนก่อนการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินข้ามประเทศเข้าสู่เวทีชุมนุมย่อยของกลุ่มคนเสื้อแดงที่จัดขึ้นตามจังหวัดหัวเมืองต่างๆ อย่างถี่ยิบ แต่ละครั้งเนื้อหาการโฟนอินได้ทวีความแหลมคมมากขึ้นเป็นลำดับ
เริ่มตั้งแต่วิพากษ์วิจารณ์โจมตีรัฐบาลในเรื่องการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจแบบผิดทิศผิดทาง มาจนถึงการเปิดโปงเบื้องหลังคดี "คาร์บอมบ์" และการปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยา 49
ซึ่งมีการกล่าวพาดพิงองคมนตรีและตุลาการระดับสูง 2-3 คน
การปราศรัยผ่านวิดีโอลิงก์ไปยังการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เชียงใหม่ครั้งนั้นของพ.ต.ท.ทักษิณ ส่งผลให้อุณหภูมิทางการเมืองร้อนพรวดพราดขึ้นมาทันที
ไม่เพียงเท่านั้นพ.ต.ท.ทักษิณยังปลุกระดมคนเสื้อแดงให้เข้าร่วมชุมนุมใหญ่ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล โดยประกาศว่า ตนเองมีโปรแกรมที่จะโฟนอินแฉแหลกเรื่องราวต่างๆ ในช่วง 2-3 ทุ่มทุกวันตลอดการชุมนุม
โดยเฉพาะการเปิดเผยชื่อ "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณเคยแฉมาครั้งหนึ่งแล้วตอนเป็นนายกฯ และมีการพูดถึงกันมาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา
หากจะว่าไปตัวละครที่พ.ต.ท.ทักษิณทยอยเปิดออกมาในช่วงนี้ ก็เป็นตัวละครเดิมๆ ที่แต่ละตัวมีบทบาทตื้นลึกหนาบางอย่างไร เป็นเรื่องที่ประชาชนในสังคมพอที่จะรู้ๆ กันอยู่แล้ว
ระดับชาวบ้านธรรมดาบางคนรู้ลึกกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ
"ที่บอกว่าเป็นหมาเชื่อง เดี๋ยวนี้หมาไม่เชื่องแล้ว เป็นหมาบ้าไปแล้ว"
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯตั้งข้อสังเกตต่อท่าทีระยะหลังของพ.ต.ท.ทักษิณ
รัฐบาลมองว่าสาเหตุหนึ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกมาเคลื่อนไหวรุนแรงช่วงนี้
เป็นเพราะคดีความต่างๆ โดยเฉพาะคดียึดทรัพย์สินกว่า 7.6 หมื่นล้านบาทกำลังเข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
พ.ต.ท.ทักษิณจึงจำเป็นต้องดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อปกป้องทรัพย์สินก้อนมหึมานั้นไว้
จริงอยู่ที่ภายหลังจบศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคประชาธิปัตย์มีสิทธิ์ตกเป็นจำเลยในคดี"ยุบพรรค" แต่กว่าคดีจะดำเนินไปตามขั้นตอนกระบวนการสอบสวนไปจนถึงการตัดสินชี้ขาดก็เป็นเรื่องอีกยาวนาน
เช่นเดียวกับการผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมในนามพ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ที่ไม่มีท่าทีว่าจะสำเร็จได้ง่ายๆ
ขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณต้องการเผด็จศึกรัฐบาลในเร็ววัน ความหวังทั้งหมดจึงต้องฝากไว้ที่ม็อบเสื้อแดงว่าจะเคลื่อนไหวกระทำการได้สำเร็จหรือไม่
การทิ้งไพ่ ชุมนุมหน้าทำเนียบ รวมถึงการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้ จะสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อรัฐบาล และขบวนการสนับสนุนรัฐ บาลได้พอสมควร
แต่จะส่งผลแตกหักหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง