คมชัดลึก :“พัลลภ”แฉ“สุรยุทธ์”วางแผนล้มรัฐบาลทักษิณเพื่อชาติ จี้แสดงสปิริต “ลาออก”จากองคมนตรีเพื่อปกป้องสถาบัน จวกยับไม่มีสัจจะรับตำแหน่งนายกฯ ปฏิเสธไม่เคยรับเงินแม้ว อ้างได้แค่รองเท้าคู่เดียว
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (รอง ผอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์เปิดใจถึงเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินพาดพิง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังร่วมวางแผนโค่นล้มระบอบทักษิณ เมื่อ 19 ก.ย.2549 ว่า เป็นเรื่องจริง แต่ว่าเขาไม่เคยเชิญผมเข้าร่วมประชุม แต่เจ้าของบ้านที่สุขุมวิทเชิญผมและประชุมร่วมกัน ซึ่งไม่ได้ประชุมแค่ครั้งเดียว แต่มีการประชุมกัน 3-4 ครั้ง ซึ่งมีการพูดคุยปัญหาของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะให้รัฐบาลล้มไปอย่างไร โดยมี 2 แนวทาง คือ ทางด้านรัฐธรรมนูญหรือทางด้านกฎหมาย ถ้าแนวทางแรกไม่สำเร็จก็จะทำรัฐประหาร
การทำรัฐประหารมีการพูดหรือไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจาก พ.ต.ท.ทักษิณ
ไม่ได้มีการพูดถึง เพียงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ เสนอขึ้นมาว่า การทำครั้งนี้ทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนจะต้องไม่หวังตำแหน่งใดๆ ซึ่งทุกคนศรัทธาในตัวท่าน ทั้งนี้การหารือเป็นลักษณะโต๊ะกลม ซึ่งไม่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.นั่งอยู่ด้วย
ถามว่า พอจะบอกได้หรือไม่ว่าคนที่เป็นแกนนำในการล้มรัฐบาลเป็นใคร
พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า อันนี้ผมบอกไม่ได้ เพราะว่าผมไม่อยากพาดพิงถึงคนอื่น แต่เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ มาพาดพิงถึงผม ผมก็จะพูดถึง พล.อ.สุรยุทธ์ เท่านั้น การประชุม 3-4 ครั้ง ก็จะมีการพูดถึงแนวทางเรื่องการล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอด อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นคนเสนอในที่ประชุมเองว่า การทำงานครั้งนี้ เราทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนต้องไม่หวังตำแหน่งลาภยศใด ๆ
หลังจากที่ปฏิวัติรัฐประหาร พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไปเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้พูดง่าย ๆ พวกเราผิดหวังมากและผมก็ผิดหวัง ตอนแรกก็ชื่นชม พล.อ.สุรยุทธ์ มากเกี่ยวกับแนวความคิดดังกล่าว พูดง่าย ๆ พล.อ.สุรยุทธ์ เสียสัจจะกลายเป็นคนไม่มีสัจจะและผิดมติในที่ประชุม แต่ท่านอ้างว่าได้ประชุม ได้คุยกัน ซึ่งถือว่าเป็นการผิดมติในที่ประชุม ซึ่งในการพูดคุยในวันนั้นมีประมาณ 7 คน ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทั้งนั้น หลังจากนั้นผมไม่ได้พูดจากับ พล.อ.สุรยุทธ์ อีกเลย เจอหน้ากันก็ทำเหมือนคนไม่รู้จักทั้งๆ ที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผม และเป็นนายทหารรุ่นน้องสมัยที่ผมเป็น ผบ.ค่ายสฤษดิ์เสนา ส่วน พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นผู้บังคับหมวด
ถามว่า ในการพูดคุยมีการวางแผนอย่างไร
พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า อย่างแรกคือการวางแผนทางด้านกฎหมาย และการทำรัฐประหารว่าจะทำอย่างไร ซึ่งการที่ผมไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านทราบหมดแล้ว แต่ท่านถามผมในลักษณะใช่หรือไม่ใช่ ยกตัวอย่างเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าให้ผมฟังคือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับ พล.อ.สุรยุทธ์ มีครั้งหนึ่งที่เชิญ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีต กกต. ไปพบที่บ้าน พล.ต.จำลอง แถวราชวัตร และล็อบบี้ให้ พล.อ.จารุภัทร ถอนตัวออกจาก กกต. เพื่อล้มการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549 ซึ่ง พล.อ.จารุภัทรรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับทราบ จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ไปหา พล.อ.สุรยุทธ์ ที่ทำเนียบองคมนตรี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ ปฏิเสธ
เรื่องแบบนี้ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต.เคยได้รับเชิญไปที่บ้านสุขุมวิท เพื่อไปพบ พล.อ.สุรยุทธ์ และล็อบบี้ให้ลาออกออกจากตำแหน่งและล้มการเลือกตั้ง ดังนั้น เรื่องนี้ไม่เป็นความลับ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ดีตั้งแต่ต้นว่าจะมีการล้มรัฐบาล เพราะมีแหล่งข่าวที่ติดตามพวกที่เคลื่อนไหวทั้งหมด เพียงแต่มาสอบถามผมว่า เรื่องที่รู้มาจริงหรือไม่ เมื่อตอนที่ผมเดินทางไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ที่จีน
ถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณรู้ตลอดเวลาว่าจะถูกปฏิวัติใช่หรือไม่
พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ท่านรู้มาตลอดทุกเรื่อง แม้แต่แผนการปฏิวัติ ซึ่งไม่รู้ว่า ปฏิวัติเมื่อไร แต่ท่านประมาทเพราะไว้ใจคนใกล้ตัวและเพื่อน ตท.10 ที่คุมกำลังอยู่ในกองทัพ
ส่วนการลอบสังหารพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มี ซึ่งการรัฐประหารโดยปกติจะต้องล็อกตัวนายกฯ ซึ่งคนละเรื่องกับการลอบสังหาร ขอยืนยันว่า ไม่มีการลอบสังหาร แต่อาจเป็นการเข้าชาร์จหรือ ล็อกตัวนายกฯ
ถามว่า จนถึงขณะนี้ประเทศชาติจะมีทางออกอย่างไร เมื่อมีกลุ่มเสื้อแดงออกมาชุมนุม
ที่ผมตัดสินใจไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ คือเรื่องความวุ่นวายในบ้านเมือง ผมไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน เกิดสงครามการเมือง มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้สัมภาษณ์ว่า คนที่จะแก้ไขปัญหาได้คือ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงทำให้ผมอยากพบ พ.ต.ท.ทักษิณ วันนี้เงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยนไป คือ รัฐบาลตั้งขึ้นมาโดยไม่มีความชอบธรรม เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย เพราะต้องให้เสียงข้างมากเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แต่นี่เป็นการล็อบบี้กันแบบงูเห่า ผมมองว่า ไม่ถูกต้อง เพราะควรให้เสียงข้างมากตั้งก่อน หากเขาตั้งไม่ได้ ตัวเองจึงจะค่อยตั้ง แต่เป็นการชิงตั้งก่อน
ถามว่า ในฐานะอดีตทหารเก่ามองภาพผู้นำกองทัพตอนนี้อย่างไร
พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ผมเป็นทหารรุ่นพี่ของเขา ผมไม่อยากวิจารณ์ เพราะคนที่เป็นผู้นำเหล่าทัพส่วนใหญ่ก็เป็นลูกศิษย์ผมทั้งนั้น ผมเหมือนกับ “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด ที่ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ผมยึดถือตรงนี้เพราะผมเคารพท่านมาก ผมคิดว่าทหารจะต้องยืนอยู่เคียงข้างประชาชน คือยึดถือความมั่นคงของประเทศชาติ และความสันติของประชาชนเป็นหลัก
ผมอยากฝากไปถึง พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าเพื่อรักษาสถาบันอันมีเกียรติแห่งนี้ท่านควรจะลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี เพราะองคมนตรีต้องไม่ยุ่งกับการเมือง แต่ท่านเป็นคนที่เข้ามายุ่งกับการเมือง ดังนั้นเพื่อรักษาสถาบันอันสำคัญยิ่งไว้ ผมคิดว่าท่านควรจะต้องลาออกในฐานะที่ผมเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา และรุ่นพี่ ผมไม่มีอะไรกับท่านเลย
บางคนกล่าวหาว่าผมไปรับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ 3,000 – 4,000 ล้านบาท ผมยืนยันได้ว่า ที่ผมไปครั้งนี้ได้รองเท้ากอล์ฟมาเพียงคู่เดียว ผมจะไปซื้อรองเท้ามาเล่นกอล์ฟ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าไม่ต้องออกเงิน ท่านจะออกให้ รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้จ่ายเงินค่าแคดดี้ และค่าที่พักให้เท่านั้น ตกเป็นเงินไทยไม่ถึง 5,000 บาท ผมยืนยันว่าไม่ได้ไปรับเงิน เพราะผมไม่ได้ไปคนเดียว แต่ไปถึง 4 คน และเวลาคุยก็คุยด้วยกันทั้งหมด หากรับเงินจริงวันนี้ซื้อรถเบนซ์แล้ว
ถามว่า ได้มีการพูดคุยทางโทรศัพท์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่
พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า โทรคุยเมื่อสองวันที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ถามว่าผมสบายดีหรือไม่ ผมก็บอกว่าสบายดี ตอนนี้กำลังเล่นกอล์ฟอยู่ ไม่ได้คุยอะไรกันมาก พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวขอโทษที่อ้างชื่อผม