คงจะยากเข้าไปทุกทีสำหรับแนวทางสมานฉันท์เพื่อยุติความขัดแย้งในสังคมไทย เพราะดูแนวโน้มแล้วเหตุการณ์ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่ความรุนแรง แตกหักมากกว่า หลังจากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจผ่านพ้นไปแล้วโดยรัฐบาลเป็นฝ่ายชนะ
นึกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดี รัฐบาลจะได้มีเวลาทำงานบริหารประเทศแก้ปัญหาเศรษฐกิจวิกฤติที่เกิดขึ้นได้อย่างปลอดโปร่ง ไม่ต้องพะวงกับปัญหาการเมือง
แต่ปรากฏว่า การซักฟอกเป็นเพียงแค่ “หัวเชื้อ” ในระบบเท่านั้น เนื่องจากการเมืองนอกสภากำลังทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นมาอีก นอกจากกลุ่มเสื้อแดงจะนัดชุมนุมใหญ่เพื่อล้อมทำเนียบประกาศเจตนารมณ์ ไม่ชนะ ไม่เลิก
อีกทั้งการโฟนอินของอดีตนายกฯทักษิณก็ถี่ขึ้นและมีเป้าหมายชัดเจนขึ้น ด้วยการเปิดตัวขบวนการ “ล้มทักษิณ” มีการระบุตัวบุคคล ชัดเจนว่าใครเป็นใคร จากชุดแรกที่เปิดไปแล้ว แม้จะมีการปฏิเสธจากบุคคลที่ถูกอ้างถึง ก็มีประกาศว่าจะมีการเผยชื่อบุคคลเป็นชุดที่ 2 อีกในวันที่ 27 มี.ค.
นอกจากนั้น ในหมู่เพื่อน ตท.10 ที่เป็นผู้นำเหล่าทัพอย่างน้อย 2 คน คือ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส. และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ก็ได้รับคำอวยพรเนื่องในโอกาสปีใหม่ด้วยถ้อยคำที่สะท้อนภาพความขัดแย้ง
“มึงยังจำกูได้ไหม” และ “กูไม่จำเป็นต้องรักษาสัญญาอีก”
มีการระบุเรื่องนี้เคยมีข้อตกลงกันว่าให้กองทัพดูแลความปลอดภัย เพราะกลัวการลอบสังหารหากกลับมาเมืองไทยและจะมีการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม วางมือทางการเมืองอย่างเด็ดขาด แต่เมื่อไม่ยอมกลับ เงื่อนไขต่างๆก็เปลี่ยนไปจนกระทั่งมีการตั้งป้อมสู้กันเต็มที่ สุดท้ายก็เลยได้รับคำอวยพรอย่างที่กล่าวไว้แล้ว
เรียกว่าตัดเยื่อตัดใย ตัดไมตรีระหว่างเพื่อนร่วมรุ่น นั่นแสดงว่า จากนี้ไปไม่สนใจแล้วใครเป็นใคร แต่พร้อมชนทุกคนที่คิดว่าอยู่ตรงข้าม
แม้จะมีการปฏิเสธว่าการนำข้อมูลมาเปิดเผยของอดีตนายกฯไม่ใช่ของจริง แต่ในหมู่ผู้ที่นิยมชมชอบแล้วย่อมจะเชื่อว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องของกลุ่มผู้ต้องการ “ล้มทักษิณ” จริงๆ เพิ่มความรู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้นแทนมากยิ่งขึ้น
คำถามก็คือรัฐบาลจะทำยังไง จะแก้ไขอย่างไร
บอกตามตรงว่าไม่ง่ายแน่ ลำพังแค่การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ที่จะล้อมทำเนียบซึ่งจะเป็นอุปสรรคในการทำงานก็ยังหาทางออกไม่ได้ และเชื่อว่าคงจะรุนแรงขึ้น กดดันแบบถึงลูกถึงคน คงไม่เหมือน กับการปิดทำเนียบเหมือนที่ผ่านมา
คงไม่ “ฝ่อ” ง่ายๆ
นั่นเพราะมีการประกาศล่วงหน้าไปแล้วว่าอดีตนายกฯทักษิณจะโฟนอินปลุกเร้าแบบใจถึงใจพร้อมกับเปิดชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องอีก ย่อมหมายความว่าจะทำให้ผู้สนับสนุนเกิดอาการฮึกเหิม คึกคัก และ พร้อมจะเดินหน้าตามที่แกนนำชี้แนะไปไหนไปกัน เอาไหนเอากัน
ดังนั้น การเมืองในหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ดูท่าว่าจะเข้าทำนอง ไม่ ชนะ ไม่เลิก ถ้าแพ้ต้องเลิก เพราะน่าจะต้องเปิดเกมใส่แบบที่ว่าแพ้-ชนะไปข้าง ไม่มีหนทางอื่น ไม่มีประนีประนอม ไม่มีเจรจากันแล้ว
รัฐบาลในฐานะที่จะต้องรับผิดชอบโดยตรงจะรับมืออย่างไร แม้จะมีตำรวจและทหารเป็นกองกำลังเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในการชิงพื้นที่
แต่ในทางการเมืองดูเหมือนว่ายังมองไม่เห็นทางออกที่จะคลี่คลายหรือหยุดสถานการณ์ได้ จะไปจัดการกับ “ต้นตอ” ของปัญหา ก็ทำไม่ได้เพราะอยู่ต่างประเทศ จะห้ามโฟนอินก็ไม่ได้เนื่องจากเป็น สิทธิ และขืนทำเช่นนั้นก็จะเป็นการสร้างเงื่อนไข
ดูท่าว่าจะเลือดตกยางออกกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกครั้ง.
“สายล่อฟ้า”