คอลัมน์ เหล็กใน
อันจะทำให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พร้อมนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง มีรายได้เพิ่มขึ้นมาปีละอีกหลายหมื่นล้านบาท
แต่เพิ่มบนความเดือดร้อนของชาวบ้าน
โดยเฉพาะการปรับภาษีน้ำมัน ที่เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า
ราคาสินค้าหลายๆ อย่างเริ่มเล็งๆ จะขอปรับราคากันแล้ว มิต้องพูดถึงเรื่องอาหารการกินที่นำทัพไปล่วงหน้า
ข้ออ้างก็เดิมๆ คือน้ำมันแพงจำเป็นต้องขึ้นราคา แต่เมื่อขึ้นแล้วก็ไม่ค่อยยอมลงง่ายๆ
เหมือนตอนที่น้ำมันทะลุ 40 บาท/ลิตร สินค้าหลายอย่างปรับขึ้นไป แม้ภายหลังน้ำมันจะหดเหลือแค่ 20 กว่าบาท/ลิตร แต่สินค้าเหล่านั้นก็ไม่ได้ปรับลดตามลงมาด้วย
แต่อย่างว่าภาษีเหล่านี้มันง่ายที่จะจัดการ นึกอยากจะทำอะไรก็ทำได้ตามสบาย
ภาษาจิ๊กโก๋เขาเรียก"ตบเด็ก"
เพราะเด็กไม่มีปัญญาตอบโต้ หรือมีอิทธิพลอะไรทำให้คนตบเกรงกลัว
แต่ถ้าเป็นระดับเท่าๆ กัน คนที่ชอบตบเด็กจะไม่กล้าโผล่หัวออกมา เพราะกลัวโดนสวนนั่นเอง
เหมือนภาษีมรดก และภาษีที่ดินนั่นไง
ทั้งๆ ที่ภาษีเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะคนที่ต้องเสียร่ำรวยมหาศาลกันอยู่แล้ว
อย่างมากก็แค่รวยน้อยลงนิดหน่อย ขนหน้าแข้งไม่ร่วงด้วยซ้ำ
นอกจากนี้คนร่ำรวยเหล่านี้จริงๆ แล้วส่วนใหญ่แทบไม่ได้เสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนชาวบ้านทั่วไป เพราะมีวิธีเลี่ยงภาษีอย่างถูกกฎหมายมากมาย
แต่เพราะคนที่ต้องเสียภาษีตรงนี้ไม่ใช่"เด็ก"ที่รัฐบาลจะ"ตบ"เล่นง่ายๆ แถมยังมีบุญคุณหรือมีอิทธิพลในพรรคการเมืองเกือบทั้งหมดในเมืองไทย
รวมทั้งส.ส.และรัฐมนตรี จำนวนมากก็อยู่ในระดับราชาที่ดินเช่นกัน
จึงทำให้ภาษีมรดก และภาษีที่ดินคลอดยากคลอดเย็นเหลือเกิน
ทั้งๆ ที่เงินจำนวนนี้ก็ไม่ใช่น้อยๆ หากมีมาตรการเก็บภาษีดังกล่าวจริง สามารถนำเงินเข้ากระเป๋ารัฐบาลได้มหาศาล และแทบไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้คนส่วนใหญ่ของประเทศเลย
แต่รัฐบาลนี้เลือกที่จะเก็บภาษีน้ำมันที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง แทนที่จะขอแบ่งปันเศษเงินจากคนรวยมาคนละนิด คนละหน่อย
น่าเศร้าชะมัด