ข่าวร้ายทางเศรษฐกิจซ้ำเติมสถานการณ์ย่ำแย่ของวิกฤติบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าเงินบาทที่แข็งค่าพรวดพราด ในสัปดาห์เดียวขยับขึ้นมาถึง 50 สตางค์ มีแนวโน้มว่าจะแข็งค่าขึ้นมาอีก เหตุผลน่าจะเป็นเรื่องของความผันผวนทางด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกที่จะมีการปรับตัวครั้งใหญ่ก่อนสิ้นปีนี้
การย้ายฐานการลงทุน จากอเมริกาและยุโรปเข้ามาในเอเชีย น่าจับตามากที่สุด ซึ่งมีทั้งทุนระยะสั้นและระยะยาว ทั้งนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ถ้าเป็นการย้ายฐานการลงทุนที่ค่อนข้างจะถาวร ไม่ใช่การเข้ามาแสวงหากำไรจากค่าเงินในระยะสั้น
ความผิดปกติที่ต้องจับตาคือ จำนวนเม็ดเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ที่เพิ่มขึ้นมากผิดปกติ โดยจะมีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยสองเด้งคือ ค่าเงินและความมีเสถียรภาพในตลาดหุ้น
ขณะเดียวกันการควบคุมการเข้าออกของเม็ดเงินมีข้อจำกัดเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจของบ้านเราตอนนี้ต่อรองอะไรไม่ได้มากนัก ความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไม่ได้อยู่ในสถานะเป็นต่อ
โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐดูเหมือนจะเป็น ขนมหวานชิ้นใหญ่ ที่ทั้งภาครัฐและเอกชนจ้องกันตาเป็นมัน ยกเว้นประชาชนเท่านั้นที่คอยรอรับแค่เศษเงิน อาจจะเถียงว่าเมื่อมีงานก็มีเงิน เมื่อมีเงินก็มีการใช้จ่าย แต่เงินที่ว่าลงทุนไป 100 แต่ถึงมือประชาชนซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศแค่ร้อยละ 10 หรือไม่เกินร้อยละ 20 เม็ดเงินที่ลงไปกลับไปกระจุกอยู่ที่คนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
รวยกระจุก จนกระจาย
คือภาพเศรษฐกิจครัวเรือนของประเทศไทยหรือประเทศด้อย พัฒนาทั้งหลาย ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นกี่รอบก็ตาม จะเห็นว่าส่งผลกระทบกับชาวบ้านน้อยมาก อย่างมากก็กินไข่แพงขึ้น ซื้อบะหมี่สำเร็จรูปแพงขึ้นไม่ถึงกับตาย แต่ที่ตายคือธุรกิจทั้งหลายที่มักจะมีการผูกขาด
วันนี้การส่งออกของประเทศที่ไม่ฟื้น ประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลักๆนั่นก็คือ เรื่องของค่าเงิน เรื่องของความต้องการของผู้บริโภคที่ประหยัดมากขึ้น มูลค่าของสินค้าลดลงและประการสุดท้ายคือ การเมืองเข้าไปล้วงลูกต่อรองผลประโยชน์ ง่ายๆเอาแค่ปลัดกระทรวงพาณิชย์คนเดียวยังตั้งไม่ได้ แล้วจะมีปัญญาไปเสนอแนวทางการแก้ปัญหาอะไรได้มากมาย อำนาจกระจุกไปอยู่ที่คน 2-3 คนขนาดนั้น
การเมืองไม่นิ่ง เศรษฐกิจไม่ฟื้น
ล่าสุดมีการประเมินถึง มูลค่าการลงทุนทั่วโลก ในปีนี้ลดลงไปประมาณ ร้อยละ 30 หรือถ้าจะเอาเป็นตัวเลขกลมๆน่าจะมีมูลค่าเป็นพันล้านล้านบาท ซึ่งนั่นหมายถึงตลาดการค้าโลก ก็จะลดลงด้วย การนำเข้าส่งออกมีผลกระทบโดยตรง
แนวโน้มคาดว่าจะแย่ไปจนถึงปีหน้า
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจท่ามกลางแรงกดดันทั้งจากการเมือง สังคมและปัจจัยลบร้อยแปดพันเก้า ผู้บริหารต้องนิ่ง มีสติ จึงจะเกิดปัญญาในการที่จะแก้ปัญหาส่วนรวมของประเทศ (ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว).
หมัดเหล็ก
mudlek@hotmail.com