แม้การชุมนุมครั้งนี้จะเริ่มต้นด้วยการประกาศว่า เพื่อต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่คนที่ติดตามและรู้จัก “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” มาเป็นอย่างดี ย่อมไม่มีใครเชื่อว่าแก๊งนี้จะมีเหตุผลแท้จริงเพียงเท่านั้น
เพียงแต่จะรอดูว่า แล้วแกนนำของพันธมิตรฯ จะหาทางออกอย่างไร จะชักนำมวลชนไปด้วยเหตุผลอะไร
แล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา แกนนำอย่าง นายสุริยะใส กตะศิลา แพลมออกมาว่า อาจมีการหารือว่าจะเปลี่ยนจุดยืนจากเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องการขับไล่รัฐบาล
อาจถึงการขับไล่คณะรัฐมนตรีให้ลาออกกันไปทั้งคณะ
แม้ปากจะบอกว่า “จะมีการหารือ” แต่ถ้าไม่ได้กินหญ้าเป็นอาหาร ก็ย่อมดูออกว่า นี่คืออีกหนึ่งเป้าหมายที่แกนนำพันธมิตรฯ วางเอาไว้แล้ว ตั้งแต่ก่อนจะประกาศการชุมนุมที่มีเรื่องรัฐธรรมนูญมาบังหน้าด้วยซ้ำ
เพราะถ้ามักน้อยกันแค่นั้น ไหนเลยต้องทำฮึกเหิมขนาดประกาศ ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง
และยิ่งไม่มีความจำเป็นที่คนอย่าง “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” จะต้องประกาศให้มวลชนชักจูงคนมาร่วมให้มากๆ เพื่อทำการ “เผด็จศึก”
จะเผด็จศึกใคร จะเผด็จกันอย่างไร จะเหมือนที่ พล.ต.จำลอง เคยมีส่วนในการชักจูงผู้คนมา “เผด็จศึก” อย่างนั้นหรือไม่
ยังไม่มีใครกล้าคิด
แต่ที่แน่ๆ มีการ “แยกมิตร แยกศัตรู” กันไปแล้วเรียบร้อย
นั่นคือความพยายาม “ตำหนิ” การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าหละหลวม เข้าข้างเลือกฝักเลือกฝ่าย ไม่เต็มใจรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ
ราวกับต้องการให้ตำรวจตีหัวม็อบฝ่ายตรงข้ามให้หัวร้างข้างแตก จึงจะพอใจ
ที่สำคัญ แกนนำม็อบถึงกับประกาศให้ผู้ชุมนุมสามารถ “จัดการ” กับฝ่ายตรงข้าม ด้วย “วิธีการใดก็ได้” เพราะถือเสียแล้วว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อาจเป็นที่พึ่งพา
ประกาศความเป็นนักเลงที่ไม่เคารพขื่อแปบ้านเมืองกันมาโต้งๆ อย่างไม่เกรงกลัว
ถ้าไม่มี “ผู้หนุนหลัง” อย่างใหญ่เบิ้ม ก็คงไม่เหิมเกริมขนาดนี้
ที่น่าสงสัยมากกว่าคือ คนนั้นคือใคร
แล้วได้ประโยชน์อะไรจากการทำร้ายให้บ้านเมืองเสียหาย ทรุดหนักทั้งทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจอย่างนี้
อีกฝ่ายที่ก็ยังต้องจับตาดูให้ดี ไม่พ้นกองทัพ
เพราะมีสรรพสำเนียงถึงความแตกกันเล็กๆ ออกมาให้ได้ยินพอกระเส็นกระสาย
ที่ขัดแย้งกันไม่มีอะไรมากไปกว่า อีกฝ่ายยังเชื่อมั่นในการรัฐประหาร ขณะที่อีกฝ่ายเข็ดหลาบและไม่ต้องการให้กองทัพโดนด่าไปมากกว่านี้
จะมีบ้างที่ยังรอดูท่าทีของ “มวลชน” พลเรือนทั้งสองฝั่ง
ถ้ามีท่าทีแตกร้าวหนัก หรือใครที่ได้รับใบสั่งให้สร้างสถานการณ์แล้วทำได้อย่างสุดฝีมือ
เมื่อนั้น ก็ได้เวลาที่กองทัพจะกลืนน้ำลายตัวเอง
ขณะนี้จึงเป็นเวลาที่ “รัฐบาล” กำลังเคร่งเครียดจับตา
และพันธมิตรฯ ก็รอเวลาที่จะได้ร้องเฮ!
แต่คนที่ติดตามและรู้จัก “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” มาเป็นอย่างดี ย่อมไม่มีใครเชื่อว่าแก๊งนี้จะมีเหตุผลแท้จริงเพียงเท่านั้น
เพียงแต่จะรอดูว่า แล้วแกนนำของพันธมิตรฯ จะหาทางออกอย่างไร จะชักนำมวลชนไปด้วยเหตุผลอะไร
แล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา แกนนำอย่าง นายสุริยะใส กตะศิลา แพลมออกมาว่า อาจมีการหารือว่าจะเปลี่ยนจุดยืนจากเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องการขับไล่รัฐบาล
อาจถึงการขับไล่คณะรัฐมนตรีให้ลาออกกันไปทั้งคณะ
แม้ปากจะบอกว่า “จะมีการหารือ” แต่ถ้าไม่ได้กินหญ้าเป็นอาหาร ก็ย่อมดูออกว่า นี่คืออีกหนึ่งเป้าหมายที่แกนนำพันธมิตรฯ วางเอาไว้แล้ว ตั้งแต่ก่อนจะประกาศการชุมนุมที่มีเรื่องรัฐธรรมนูญมาบังหน้าด้วยซ้ำ
เพราะถ้ามักน้อยกันแค่นั้น ไหนเลยต้องทำฮึกเหิมขนาดประกาศ ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง
และยิ่งไม่มีความจำเป็นที่คนอย่าง “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” จะต้องประกาศให้มวลชนชักจูงคนมาร่วมให้มากๆ เพื่อทำการ “เผด็จศึก”
จะเผด็จศึกใคร จะเผด็จกันอย่างไร จะเหมือนที่ พล.ต.จำลอง เคยมีส่วนในการชักจูงผู้คนมา “เผด็จศึก” อย่างนั้นหรือไม่
ยังไม่มีใครกล้าคิด
แต่ที่แน่ๆ มีการ “แยกมิตร แยกศัตรู” กันไปแล้วเรียบร้อย
นั่นคือความพยายาม “ตำหนิ” การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าหละหลวม เข้าข้างเลือกฝักเลือกฝ่าย ไม่เต็มใจรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ
ราวกับต้องการให้ตำรวจตีหัวม็อบฝ่ายตรงข้ามให้หัวร้างข้างแตก จึงจะพอใจ
ที่สำคัญ แกนนำม็อบถึงกับประกาศให้ผู้ชุมนุมสามารถ “จัดการ” กับฝ่ายตรงข้าม ด้วย “วิธีการใดก็ได้” เพราะถือเสียแล้วว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อาจเป็นที่พึ่งพา
ประกาศความเป็นนักเลงที่ไม่เคารพขื่อแปบ้านเมืองกันมาโต้งๆ อย่างไม่เกรงกลัว
ถ้าไม่มี “ผู้หนุนหลัง” อย่างใหญ่เบิ้ม ก็คงไม่เหิมเกริมขนาดนี้
ที่น่าสงสัยมากกว่าคือ คนนั้นคือใคร
แล้วได้ประโยชน์อะไรจากการทำร้ายให้บ้านเมืองเสียหาย ทรุดหนักทั้งทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจอย่างนี้
อีกฝ่ายที่ก็ยังต้องจับตาดูให้ดี ไม่พ้นกองทัพ
เพราะมีสรรพสำเนียงถึงความแตกกันเล็กๆ ออกมาให้ได้ยินพอกระเส็นกระสาย
ที่ขัดแย้งกันไม่มีอะไรมากไปกว่า อีกฝ่ายยังเชื่อมั่นในการรัฐประหาร ขณะที่อีกฝ่ายเข็ดหลาบและไม่ต้องการให้กองทัพโดนด่าไปมากกว่านี้
จะมีบ้างที่ยังรอดูท่าทีของ “มวลชน” พลเรือนทั้งสองฝั่ง
ถ้ามีท่าทีแตกร้าวหนัก หรือใครที่ได้รับใบสั่งให้สร้างสถานการณ์แล้วทำได้อย่างสุดฝีมือ
เมื่อนั้น ก็ได้เวลาที่กองทัพจะกลืนน้ำลายตัวเอง
ขณะนี้จึงเป็นเวลาที่ “รัฐบาล” กำลังเคร่งเครียดจับตา
และพันธมิตรฯ ก็รอเวลาที่จะได้ร้องเฮ!