ระหว่าง หลักนิติศาสตร์กับหลักรัฐศาสตร์ ระหว่างการบังคับใช้กฎหมายกับใช้อำนาจในการปกครอง เหมือนดาบสองคม ถ้าไปด้วยกันได้อย่างสมดุล จะเกิดประโยชน์กับผู้ถูกปกครองและผู้ปกครองอย่างมหาศาล แต่ถ้าปีนเกลียวกันเมื่อไหร่ จะนำมาซึ่งความหายนะอย่างใหญ่หลวง
เหมือนลิ้นกับฟัน
ถึงอย่างไรก็แยกกันไม่ออก ซึ่งถ้าจะดูกันในรายละเอียดเช่นเดียวกับวิกฤติการเมืองที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เมื่อใช้กฎหมายโดยไม่เที่ยงธรรมก็เกิดการโต้แย้งขัดขืน เมื่อปกครองไม่เที่ยงธรรมก็มีการแข็งขืนเช่นกัน
ฟังว่า รัฐบาลจะไม่สลายการชุมนุม ตราบใดที่ยังเป็นการชุมนุมโดยไม่ขัดกับกฎหมาย แต่ถ้าผิดกฎหมายเมื่อไหร่ก็ต้องจับทันที ไม่ยกเว้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผมว่าฝ่ายรัฐบาลไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่ว่ารัฐบาลจะทำอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง เพราะมีแต่เสียกับเสียลูกเดียว
ที่น่ากลัวคือมือที่มองไม่เห็น
ถ้าปล่อยให้การชุมนุมยืดเยื้อก็จะควบคุมลำบาก วันดีคืนดีมีคนโยนอะไรเข้าไปในที่ชุมนุมมีการบาดเจ็บล้มตายขึ้นมา รับรองยุ่งตายหะ หมากเกมนี้จะยุติลงอย่างไรยากที่จะคาดเดา อยู่บนความหมิ่นเหม่
ระหว่างกฎหมายกับการเมือง
ฟังมาว่า คตส.ตัดสินใจส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดส่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ข้อหาใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจตนเองและพวกพ้อง และร้องให้ยึดทรัพย์สินจำนวนกว่า 7 หมื่นล้านเป็นของแผ่นดิน ดูจากคำบรรยายส่งฟ้องแล้วน่ากลัวชวนขนหัวลุก
แถมด้วยกรณีการจัดซื้อเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์อีกกระทง ทีนี้ปัญหาอยู่ที่ว่า คตส.ยังมีอำนาจอยู่หรือไม่ เนื่องจากอยู่ในระหว่างการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า การต่ออายุ คตส.และที่มาของ คตส.ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คงต้องว่ากันให้ชอบธรรมและยุติธรรมจริงๆ ก็ยังคาบลูกคาบดอก
ระหว่างกฎหมายกับการเมือง
การจะหาทางออกในวิกฤติรัฐธรรมนูญ แม้แต่วิธีการในระบอบประชาธิปไตย โดยการทำประชามติ ก็ยังครึ่งๆกลางๆ ยังมีข้อขัดแย้งสำหรับรายละเอียดในกฎหมายที่จะทำประชามติ โดยไม่ได้มองจุดหมายสูงสุด คือการแก้รัฐธรรมนูญโดยชอบธรรม แต่กลับบิดเบือนเอาเรื่องของรัฐธรรมนูญไปเป็นชนวนการเมือง
เกิดข้อขัดแย้งระหว่างกฎหมายกับการเมืองอีก
ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นไปอยู่ในเวลานี้ อยู่ที่เจตนาทั้งสิ้น ถ้าอยู่บนเจตนาที่บริสุทธิ์และมองประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง สังคมย่อมจะสงบสุข แต่ถ้าคิดจะเอาสีข้างเข้าถู สังคมก็จะกลายเป็นสงครามไม่สิ้นสุด.
หมัดเหล็ก