คำบรรยายส่วนใหญ่ของจักรภพ คือ การอธิบายความเป็นมาของระบบอุปถัมปฺในประเทศไทย ที่พัฒนาการมาตั้งแต่ยุคสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ก็เหมือนกับที่พูดๆ กันในเมืองไทยมาตั้งนานแล้วเรื่องระบบอุปถัมป์ ว่ามันขัดขวางต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยอย่างไร
จักรภพสรุปว่า ทักษิณเป็นคนทำให้ระบบอุปถัมป์มีปัญหา ทักษิณทำให้ชาวบ้านเริ่มรู้สึกว่าพวกเขามีพลังอำนาจ มีสิทธิมีเสียงในสังคมนี้ นั้นคือสาระคำบรรยายของจักรภพ
สิ่งที่จักรภพสรุปคือ ระบบอุปถัมป์ในปัจจุบันมันขัดแย้งกับระบอบประชาธิปไตย
ผมได้ยิน คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสดงทัศนคติต่อความเห็นของคุณจักรภพว่าเป็นทัศนะคติที่อันตราย ซึ่งผมก็เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า ทัศนะคติของจักรภพนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อระบอบอุปถัมป์จริงๆ คุณอภิสิทธิ์ เป็นคนที่เกิดและเติบโตทางการเมืองขึ้นมาได้ด้วยระบบอุปถัมป์ล้วนๆ เข้าเรียนอ็อกฟอร์ดได้ก็ด้วยระบบการแนะนำ (คือมหาวิทยาลัยอังกฤษไม่มีการสอบเข้าอยู่แล้ว ต้องมีคน Recommend จึงจะเข้าได้) เมื่อจบออกมาทำงานที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ก็ด้วยระบบอุปถัมป์เช่นกัน เพื่อให้พ้นจากการต้องถูกเกณฑ์ทหาร เมื่อเข้ามาทำงานการเมืองก็อยู่ภายใต้การอุปถัมป์ค้ำชูของนายชวน หลีกภัย ได้ตำแหน่งหัวหน้าพรรค ก็จากการอุปถัมป์ของนายชวน ชีวิตทั้งชีวิตของคุณอภิสิทธิ จึงอยู่ใต้ระบบอุปถัมป์อย่างเต็มที่ ทัศนะคติของคุณจักรภพ เพิญแข จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งในมุมมองของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งพรรคนี้ก็อยู่ใต้อุปถัมป์ค้ำชูของ พล.อ.ป. สี่เสาเหมือนกัน
นั้นคือมุมมองของอภิสิทธิ์
แต่อย่างไรก็ตามหากนั้นเป็นแค่มุมมองหรือทัศนะคติของคุณอภิสิทธิ์ มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะคนเราย่อมมีความเห็นที่แตกต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับกำเนิด รากฐานที่มี การเลี้ยงดู และประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน
เรื่องนี้มันจะไม่เป็นปัญหาหากเป็นแค่การวิจารณ์ทางวิชาการธรรมดาที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์แอบแฝงทางการเมือง ตอนนี้เราก็รู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ ต้องการนำเอาการบรรยายของจักรภพ เป็นการ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ให้ได้ โดยที่มีคนบางคนพยายามที่จะแปลคำว่า Patronage System เป็น “ระบบเจ้า”ให้ได้
คือตอนนี้คนบางกลุ่มในบ้านเมืองนี้ ไม่รู้ว่าจะต่อสู้ทางการเมืองให้ชนะพรรคพลังประชาชนได้อย่างไร คนพวกนี้จึงพยายามลากพรรคพลังประชาชนไปชนกับสถาบันให้ได้ โดยใช้สถาบันเป็นเครื่องมือเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามให้ได้ เรียกว่า “ใช้ความจงรักภักดี” เป็นเครื่องมือประหัตประหารคู่ต่อสู้ทางการเมือง
ตอนนี้ประเทศไทยจึงแตกแยกความสามัคคีกันอย่างรุนแรง เพราะคนบางหมู่บางเหล่าใช้ "ความจงรักภักดี" เป็นเครื่องมือในการประหัตประหารศัตรูทางการเมืองของตน
ความจงรักภักดี แทนที่จะเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ปวงประชาชามอบให้องค์ราชันย์ด้วยใจบริสุทธิ์ มันก็ได้กลายเป็นหอก หรือเป็นอาวุธ กลับมาทิ่มแทงประชาชนเสียเอง
ผมไม่เคยคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่จะไม่มีความจงรักภักดี หรือต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบไปเป็นแบบอื่นแต่อย่างใด เพราะการเปลี่ยนแปลงระบอบนำมาซึ่งความวุ่นวายทางการเมือง การขาดเสถียรภาพทางการเมืองเป็นเวลานาน และสังคมไทยก็ชินกับระบอบกษัตริย์มาเป็นเวลานานแล้ว และระบอบกษัตริย์กับ "ระบอบประชาธิปไตย" นั้นไม่ได้ขัดแย้งกัน ตัวอย่างมีให้เห็นทั่วโลก เช่น ประเทศในยุโรปทั้งหลาย ที่ถือว่าเป็นชาติที่เจริญแล้ว เช่น อังกฤษ เนเธอแลนด์ เบลเยี่ยม หรือแม้แต่ประเทศที่ สแกนดิเนเวียทั้งหลายที่มีสำนึกของ "สังคมนิยม" และความเท่าเทียมกันอย่างมาก ทั้งนอร์เวย์ และสวีเดน ระบอบกษัติย์ก็ยังคงไปได้ด้วยดี
ส่วนที่เนปาลระบอบกษัตริย์ล่มสลาย เพราะกษัตริย์พิเรนทรา เข้ามาแทรกแซงทางการเมือง ซึ่งก็ส่งผลทันตาเห็น เนปาลที่เคยปกครองด้วยระบอบกษัติริย์แบบ "เทวะราชา" ก็ล่มสลายโดยพลัน
เมืองไทย ผู้คนยังคงให้ความจงรักภักดีในระบอบกษัตริย์อย่างเต็มที่
แต่สองปีที่ผ่านมา เกิดความแตกแยกทางการเมืองอย่างรุนแรง เพราะมีคนบางหมู่บ้างจำพวก "ดึงเอาสถาบันกษัตริย์" ลงมาสัมผัสทางการเมือง แม้ไม่ใช่เบื้องสูงเอง แต่คนใกล้ชิดทั้งหลายก็ไม่มีทางที่จะพ้นข้อกล่าวหาไปได้ การปฎิเสธ นั้น ในยุคข้อมูลข่าวสาร ทีมีทั้งคลิปเสียง คลิปวิดิโอ แพร่กระจายผ่านเว็บอย่างรวดเร็ว การปฎิเสธอย่างหน้าตาย ก็ไม่ช่วยให้คนเชื่อถือขึ้นมาได้
ตอนนี้ คนบางหมู่บางจำพวก ได้เอา "ความจงรักภักดี" มาใช้เป็นอาวุธ เพื่อทำลายคนอื่น ผู้คนเหล่านี้หากได้สนใจผลร้ายที่จะกระทบขึ้นไปยังสถาบันเองไม่ กลับใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมืองของตน
การใช้อาวุธนี้ รังแต่จะสร้างความเจ็บแค้น คับข้องใจให้กับประชาชน
การละเลย เพิกเฉย ปล่อยให้ กลุ่มหรือฝ่ายทางการเมืองหาประโยชน์จากการใช้ความจงรักภักดี ทำลายผู้อื่นย่อมนำความเสื่อมเสียมาสู่สถาบันอย่างเลี่ยงไม่ได้
ก็น่าแปลกใจที่ไม่มีใครคิดที่จะยับยั้ง การกระทำเช่นนี้เลย
จาก thaifreenews