น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไม่สาย ที่นายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช และ รมว.กลาโหม ตัดสินใจ จะให้มีการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญแล้ว
แม้จะ “ปากเสีย” บอกว่าเพราะรำคาญ แต่ก็ยังถือว่าเขี้ยว และเป็นการตัดสินใจทางการเมืองครั้งสำคัญ นับแต่เข้ามานั่งเก้าอี้ผู้นำรัฐบาล
เป็นการผ่าทางตันวิกฤติรัฐธรรมนูญ ที่เป็นตัวถ่วงความเจริญประเทศชาติสุด-สุด และเป็นการดับไฟปฏิวัติรัฐประหารอีกทางหนึ่งด้วย
ก็เอาสิ มติออกมาอย่างไร ใครไม่ยอมรับ จะได้รู้เช่นเห็นชาติพวก “ป่วนเมือง” เสียที
เงิน 2,000 ล้าน ที่ต้องควัก เพื่อทำประชามติเที่ยวนี้เล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับการสูญเสียโอกาสของชาติในแทบทุกด้าน เพราะติดกับดักรัฐธรรมนูญปิศาจ
วัน ๆ ไม่ต้องไปไหน จมปลักกับเรื่องรัฐธรรมนูญที่ไร้ทางออกนี่แหละ !!!
ถูกต้องแล้วที่คืนอำนาจให้ประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศเป็นผู้ตัดสินใจ จะเอารัฐธรรมนูญฉบับไหน ฉบับหน้าแหลม ฟันดำ ใต้ท็อปบู๊ต หรือฉบับประชาชนปี 2540
เอากันตรง ๆ แบบนี้แหละ ผลออกมายังไง ก็ต้องเป็นอย่างนั้น
พวกที่ค้านหัวชนฝา ไม่ว่าจะเหล่า พาน-ทะ-มิด ส.ส.ร. 50 ที่ประกาศลั่น แก้เมื่อไหร่ จะรวมพลประท้วงเมื่อนั้น เมื่อรัฐบาลตัดสินใจให้ทำประชามติ
อยากรู้นักจะตะแบงกันยังไงอีก !!!
อย่างที่รู้ ก่อนหน้านี้ ส.ส.พรรครัฐบาลกว่า 164 คน มีการยื่นญัตติขอแก้ไขไปแล้ว
แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีพลิกเกมจะขอทำประชามติก่อน ก็ต้อง (แอบ) กระซิบ ส.ส.ของพลังประชาชน ไปขอถอนญัตติออกมาซะ ซึ่งสามารถทำได้ ไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างไรเลย
ทั้งนี้นายสมัครบอกว่าจะใช้เวลา 45 วัน หรือต้นเดือนกรกฎาคม น่าจะทำประชามติได้ แม้ “กกต.” จะบอกว่า กฎหมายทำประชามติยังอยู่ระหว่างการยกร่าง
แต่หากทุกฝ่ายเห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมืองจริง ก็น่าจะมา “รวมหัว” แก้วิกฤติกัน
ประชาชนจะได้ลืมตาอ้าปาก มีใจไปทำมาหากินกันบ้าง แค่เจอวิกฤติน้ำมันแพงก็บ้าแล้ว ยังต้องมาเครียดกับปัญหาการเมืองที่ไร้เสถียรภาพเป็นอนาธิปไตยอีก
ส่วนรัฐบาลจะได้เอาเวลาไปบริหารประเทศกันเต็มที่ ไม่ต้องติดกับดักรัฐธรรมนูญที่ร่างด้วยอคติสุดขั้วเห็นพรรคการเมือง นักการเมืองที่ประชาชนเลือกมา เป็นพวกชั่วช้าเลวทรามไปหมด
คน 40-50 ล้านจึงเลือก ส.ว.ได้ 76 คน แต่คนแค่ 7 คน ลากตั้ง ส.ว.ทีเดียวได้ 74 คนไง !!!
การคืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชนตัดสิน จึงเป็นการถูกต้องที่สุดแล้ว นายกรัฐมนตรี ทำดีอย่างนี้ ก็ต้องชื่นชมด้วยความจริงใจ.
ดาวประกายพรึก