บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

พันธมิตรไม่หวั่นจับ 5 แกนนำ เชื่อมีรุ่นใหม่สานต่อ





















นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าววันนี้ (31 พ.ค.) กรณี นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศแตกหักกับผู้ชุมนุม หากยังไม่เคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ดังกล่าว ว่า ไม่เกรงกลัวว่าจะถูกเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุม ยืนยันว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีสิทธิชุมนุมได้ตามกฎหมาย หากเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม กลุ่มก็จำเป็นต้องป้องกันสตัวในทางสันติวิธี

ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวต่อว่า หากแกนนำทั้ง 5 คนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถูกจับกุม ก็พร้อมมอบตัวและจะประกันตัวออกมาต่อสู้ใหม่ ระหว่างนั้นเชื่อจะมีแกนนำรุ่นใหม่ขึ้นมาต่อสู้หรือปฏิบัติหน้าที่แทนอย่างแน่นอน

เวลา 16.00 น. วันเดียวกัน นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อ่านแถลงการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ 12 เนื้อหาระบุว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีสิทธิในการปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตลอดเวลาที่มีการชุมนุมก็ได้ทำอย่างสงบ อหิงสา และไร้อาวุธ การชุมนุมถือว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ ปี 2550 การสลายการชุมนุมโดยไร้กฎหมายและสภาวการณ์รองรับ ไม่สามารถทำได้ตามที่ศาลจังหวัดสงขลา เคยพิพากษาไว้

นายพิภพ กล่าวต่อว่า หากเจ้าหน้าที่รัฐจะสลายการชุมนุม ก็ต้องมีกฎหมายรองรับ ไม่เช่นนั้นจะไม่ยอมให้มีการใช้อำนาจในการสลายการชุมนุม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบครบถ้วนสามารถเข้ามาตรวจตราการชุมนุมได้ แต่จะไม่ยอมให้ผู้ใดทำร้ายผู้ชุมนุม และทำลายหรือเคลื่อนย้ายทรัพย์สินสิ่งของของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หากรัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินหรือประกาศกฎอัยการศึก จะขอให้ผู้ชุมนุมทุกคนอยู่ในความสงบ

แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวด้วยว่า หากมีการสลายการชุมนุมโดยมิชอบ ขอให้ประชาชนร่วมกันต่อสู่กับความไม่ถูกต้องและร่วมกันขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดจนกว่าจะสำเร็จ และหากมีการจับกุมตัวแกนนำ ก็จะมีแกนนำรุ่นใหม่เพื่อสานต่องานต่อไป

งัดพรบ.จราจรจัดการชุมนุม ไม่เคลื่อนย้าย-ใช้กำลังตร.ช่วย

พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองผู้บัญชการตำรวจสอบสวนกลาง ในฐานะ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวในรายการ "เรื่องเด่นเย็นนี้" ทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 3 อสมท วันนี้ (31 พ.ค.) กรณีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เคลื่อนย้ายสถานที่ชุมนุมออกจากบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ว่า สิ่งที่นายกรัฐมนตรี สั่งการเพื่อไม่ต้องการให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน ไม่มีคำพูดใดที่นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุม

"การปราบปรามใช้กับอาชญากรรม ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นพี่น้องประชาชนชาวไทยที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันไปในการดำเนินการบางเรื่องของรัฐบาล กระทั่งมีการชุมนุมกันตามกฎหมายให้สิทธิไว้ เพียงแต่ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนทำให้พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อนด้านการจราจร และมีการนำสิ่งของบางอย่างที่ใช้แทนอาวุธเข้าไปในการชุมนุม ถือว่าเกินกว่าขอบเขตที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพยายามจะใช้วิธีการพูดคุยหารือกัน ว่า ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญกำหนด" นายกรัฐมนตรี และว่า การดำเนินการจะเน้นการพูดคุยประสานการกับแกนนำในการที่จะให้ย้ายพื้นที่การชุมนุมออกไป จากบริเวณดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมประกาศจะไม่ย้ายการชุมนุมอกจากพื้นที่สะพานมัฆวาน ตำรวจจะสลายจะเข้าไปสลายกลุ่มผู้ชุมนุมเวลาใด รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า คาดว่าจะมีคำสั่งเจ้าพนักงานจราจรให้กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนย้ายการชุมนุม เมื่อมีคำสั่งเจ้าพนักงานจราจรแล้ว ยังไม่มีการเคลื่อนย้ายการชุมนุม เจ้าพนักงานตำรวจอาจเข้าไปช่วยเหลือในการขนย้าย สำหรับบุคคลที่ไม่เข้าใจต่อต้าน ถือเป็นเรื่องแต่ละบุคคล

"บ้านเมืองเคยเผชิญกับสิ่งต่างๆที่มีการใช้ความรุนแรง ต่อต้านความรุนแรง สุดท้ายทำให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเมือง ระหว่างนี้คงพยายามจะพูดคุยกัน ให้ชุมนุมโดยที่ประชาชนไม่เดือดร้อน เนื่องจาก ขณะนี้ ประเด็นการชุมนุม ได้รับการสนองตอบ จากผู้ที่เกี่ยวข้องหลายส่วน ส่วนประเด็นที่ยังค้างคาใจอยู่ผู้ชุมนุมสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในการใช้รถใช้ถนนในบริเวณนั้น เป็นเรื่องต่อรอง" รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าว

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวด้วยว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบนโยบายชัดเจนในการดำเนินการเรื่องนี้ ว่า ให้ดำเนินการด้วยความอดทน อดกลั้น และจะใช้ความละมุนละม่อมที่สุด ส่วนผู้ที่ใช้กำลังต่อต้านถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย จะถือว่าเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ตำรวจไม่เหมารวมว่าเป็นการกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุมชุมนุม อีกทั้ง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ให้แนวทางให้ผู้ชุมนุมนิ่งสงบ ถือเป็นแนวทางตรงกัน ถึงเวลาแล้วที่สังคมได้หันหน้ามาพูดคุยกันด้วยเหตุผล เพื่อให้สังคมเดินหน้าต่อไปได้

ต่อข้อถามว่า เตรียมการป้องกันมือที่สามไม่ให้ก่อเหตุอย่างไร รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตำรวจระมัดระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ และพยายามควบคุมกลุ่มที่คิดเห็นตรงกันข้ามไม่ให้เคลื่อนไหว พร้อมประสานกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้เคลื่อนย้ายไปในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากการชุมนุมที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากอาจทำประสิทธิภาพการควบคุมการชุมนุมลดลงไป

ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ตนไม่เข้าใจว่ากลุ่มผู้ชุมนุมทำไมยังรวมตัวจับกลุ่มกันอยู่ เพราะถึงวันนี้ นายจักรภพ เพ็ญแข ก็ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี การเสนอญัตติแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญก็ได้ถอนออกไปแล้ว ถือว่าได้ปลดล็อกทุกอย่างเพื่อคลายชนวนเหตุความขัดแย้งไปหมดแล้ว การชุมนุมก็น่าจะยุติ เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไป

จุดเปลี่ยนที่พลิกกันได้


“ผมได้ตัดสินใจถอดตนเองออกจากเกมอำนาจ เพื่อรักษาเรือใหญ่ ผมจึงตัดสินใจลาออกจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดนี้ โดยจะยื่นใบลาออกในวันนี้ เพื่อให้มีผลในสัปดาห์หน้า”

บทสรุปสุดท้ายของนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ แถลงเปิดหมวกลา

โดยเหตุผลที่เคลียร์กันตรงๆเลยว่า จำเป็นต้อง “สละเบี้ยเพื่อรักษาขุน” เพราะทุกอย่างไหลไปตกหนักอยู่ที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะขบวนการโค่นล้มรัฐบาล มีเสียงร่ำลือการยึดอำนาจรัฐประหาร

จำเป็นต้องรักษาขุนให้รอด และประคองเรือให้ลอยลำต่อไป

“จักรภพ” ปลดล็อกตัวเอง ถอดไปได้ชนวนหนึ่ง


และเท่าที่ประเมินความเคลื่อนไหว โดยความอึดอัดของทหารที่ส่งสัญญาณถึงรัฐบาล เขาขอกันแค่ปมเดียว “จักรภพ” ต้องลาออก

เพื่อเทิดทูนและรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันตามที่ได้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา

นอกนั้นกองทัพไม่ยุ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือม็อบยึดถนนราชดำเนิน ปล่อยให้เป็นเรื่องของฝ่ายการเมือง

เมื่อ “จักรภพ” ถอย ตัดปมหมิ่นสถาบันออกไป ก็ผ่อนเงื่อนไข “ทหารฮึ่ม” ไม่มีกลใดจะดึงรถถังออกจากกรมกอง

ยั่วยังไงก็ไม่ขึ้น

และก็เหมือนนัดกันไว้ ล่าสุดสมาชิกวุฒิสภา 7 คน ประกอบด้วย นายประสิทธิ์ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส.ว.ราชบุรี นายบวรศักดิ์ คณาเสน ส.ว.อำนาจเจริญ นายรักษ์พงษ์ ณ อุบล ส.ว.หนองบัวลำภู นายมงคล ศรีคำแหง ส.ว.จันทบุรี และนายยุทธนา ยุพฤทธิ์ ส.ว.ยโสธร ประกาศถอนรายชื่อจากญัตติเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ได้ลงชื่อก่อนหน้า

ซึ่งผลจากการถอนชื่อของ 7 ส.ว. ทำให้เสียงที่สนับสนุนญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ เหลือแค่ 124 เสียง ไม่ครบ 1 ใน 5 ทำให้ญัตติตกไป

เกมรื้อรัฐธรรมนูญชะลอชั่วคราว

และเหนืออื่นใด กับภาพข่าวที่ปรากฏบนหน้าหนึ่งหนังสือ พิมพ์แทบทุกฉบับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ยกมือไหว้ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ยิ้มยกมือรับไหว้

ทักทายพูดคุยอย่างเป็นกันเองนานเกือบ 5 นาที

เป็นครั้งแรกหลังโดนปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยา- ยน 2549 ก่อนเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2551

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในงานสวดพระอภิธรรมศพนางบุญเรือน เผ่าจินดา มารดาของ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก

ตัวเอกของท้องเรื่องเจอกันซึ่งๆหน้า

ศาลา 5 วัดโสมนัสวิหาร กลายเป็นที่รวมศูนย์อำนาจชั่วคราว ไล่ตั้งแต่ “ป๋าเปรม”-พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี-อดีตนายกฯ ทักษิณ-“บิ๊กป๊อก”

แม้จะเพียงห้วงนาทีสั้นๆ

แต่โดยนัยกินความลึก

อย่างน้อยสังคมเห็นภาพนี้แล้วก็ลดบรรยากาศอึดอัดลงไปเยอะ

และก็เป็นนายแพทย์ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส และประธานมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ที่ออกมาเรียกร้องให้อดีตนายกฯทักษิณ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการตั้งรัฐบาลชุดปัจจุบัน

ถอดชนวนความรุนแรง

ด้วยการปรับรูปลักษณ์ของรัฐบาล และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคณะรัฐมนตรี เพื่อลดการจุดชนวนทางสังคม โดยเฉพาะในช่วงเวลาวิกฤติ

หาก พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถถอดชนวนได้ ก็จะเป็นรัฐบุรุษ

จุดเปลี่ยนมันพลิกกันได้.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน


ตำรวจเสริมกำลังดูแลความปลอดภัยบ้านพักนายกฯ

กทม. 31 พ.ค. - ตำรวจเสริมกำลังดูแลความปลอดภัยบ้านพักนายกรัฐมนตรี

แม้ว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ที่บ้าน เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่จังหวัดสุพรรณบุรี แต่บรรยากาศที่บ้านพักของนายกรัฐมนตรี หมู่บ้านโอฬาร 2 ถนนนวมินทร์ วันนี้มีการเสริมกำลังตำรวจดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดย พ.ต.อ.มันทาร อภัยวงศ์ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 เดินทางมาตรวจดูความเรียบร้อย ระบุว่า ได้มีการเสริมกำลังตำรวจจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 8 สน. กว่า 50 นาย รวมทั้งจัดชุดสายสืบนอกเครื่องแบบสำรวจการข่าว หากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคลื่อนไหวมาชุมนุมที่บ้านพักนายกรัฐมนตรี ทางตำรวจยืนยันสามารถรับมือได้ เพราะได้มีการนำแผงเหล็กมาเตรียมพร้อมหากมีเหตุรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตาม การเสริมกำลังครั้งนี้ไม่ได้เป็นคำสั่งของนายกรัฐมนตรี.

ชมรายละเอียด สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-31 16:02:51


นายกฯ ให้ผู้ชุมนุมหาที่รวมตัวใหม่ที่ไม่ใช่สะพานมัฆวานฯ

เอ็นบีที 31 พ.ค.-นายกรัฐมนตรีออกรายการชี้แจงสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง ยืนยัน สามารถดูแลความสงบเรียบร้อยของประเทศได้ แนะให้กลุ่มผู้ชุมนุมหาที่รวมตัวกันใหม่หรือยุติการชุมนุม เพราะถ้าไม่ยุติ จะใช้กำลังตำรวจ-ทหารดำเนินการพร้อมรับผิดชอบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี / รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ออกรายการ “นายกฯชี้แจงสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง” ว่า รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งและทำงานมาจะครบ 4 เดือนแล้วแต่อาจเกิดปัญหาบ้าง เพราะเป็นช่วงรอยต่อกับการรัฐประหาร และได้ทำงานอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน มั่นใจว่าจะทำงานให้บ้านเมืองได้และเข้าได้กับข้าราชการทุกกระทรวง สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เกิดจากการที่มีคนไม่พอใจ ไม่อยากเห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งที่เป็นการแก้ไขตามกรอบของกฎหมายด้วยการให้ส.ส.และส.ว.ยื่นญัตติแก้ไข จึงเป็นการไม่ถูกต้องที่กลุ่มพันธมิตรจะใช้เหตุผลเรื่องนี้มาเป็นตัวจุดชนวนการชุมนุม ซึ่งการปิดถนน หากเข้ามาล้อมทำเนียบรัฐบาลได้ ก็จะทำให้เสียภาพพจน์ของประเทศ อีกทั้ง มีการอ้างไปถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ทั้งที่ไม่เป็นความจริง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การชุมนุมของพันธมิตรฯ ได้มีการพูดจาหยาบคายโจมตีตนเอง และตนไม่ใช่คนที่จะยอมได้ทุกอย่าง หากมีการหมิ่นประมาทก็จะฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมาย อีกทั้ง การปิดถนนราชดำเนิน เพื่อชุมนุมคัดค้านตามสิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด แต่ส่งผลให้เกิดความเดือร้อนกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการจราจรติดขัด และการตั้งกลุ่มรักษาความปลอดภัยพร้อมเครื่องป้องตัวนั้น เห็นว่าไม่สมควร เพราะไม่ได้อยู่ในสถานกาณ์รุนแรงหรือรบกับใคร ทั้งนี้ เห็นว่าแกนนำผู้ชุมนุมต้องการให้เหตุการณ์กลับไปเหมือน 19 กันยายน 2549 โดยหวังให้มีใครมายึดอำนาจ แต่ในฐานะที่ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทำงานและมีความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกับผู้นำเหล่าทัพและดูแลฝ่ายความมั่นคง ยืนยันว่าจะไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้น

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมามีแนวคิดจะลดความรุนแรงของสถานการณ์การเมืองด้วยการทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และต้องฟังความเห็นของประชาชน หากเห็นว่าไม่ควรแก้ไขก็จะยุติทันที พรรคพลังประชาชนพรรคเดียวไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ แต่ต้องฟังเสียงของสภาด้วย คนที่สนับสนุนรัฐธรรมนูญปี 2550 อย่าหลับหูหลับตาเชื่อว่ารัฐธรรมนูญดีอย่างเดียว ทั้งที่สามารถแก้ไขได้ และพรรคพลังประชาชนได้หาเสียงไว้กับประชาชนไว้แล้วว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ อีกทั้ง ที่ผ่านมาทุกส่วนก็เคยกล่าวไว้ว่าสามารถแก้ไขได้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

“คนเป็นนายกฯ นิ่งเฉยให้ด่าทอ ผมไม่ได้ดีขนาดนั้น คนต้องใช้ถนนราชดำเนินเป็นเส้นทางเดินทางก็ต้องได้รับความเดือดร้อน อยากถามว่าบ้านเมืองที่ชุลมุนวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ แกนนำพันธมิตรทั้ง 5 คนคิดอะไรอยู่ ตกลงจะขับไล่รัฐบาลหรือหาเหตุ อยากถามย้อนกลับไปว่า รัฐบาลเข้าตามตรอกอออกตามประตู มาจากการเลือกตั้ง มีหน้าที่แก้ไขปัญหาบ้านเมือง มีสิทธิที่จะทำให้บ้านเมืองเต็มไปด้วยความสงบเรียบร้อย และผมไม่เครียดเรื่องการชุมนุม การกล่าวอ้างว่าจะผมจะทำให้ประเทศเป็นสาธารณรัฐนั้น ไม่ถูกต้อง ที่ผ่านมาทำงานสนองพระเดชพระคุณมาตลอด จึงไม่มีแนวคิดดังกล่าว การพูดที่ไม่มีเหตุผลจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และจะมีการฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท”นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ได้เตรียมกำลังทหาร-ตำรวจไว้พร้อมจะทำให้การชุมนุมออกจากบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์แล้ว ซึ่งไม่ใช่การข่มขู่หรือท้าทาย แต่ต้องการอยากให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลสามารถจะดูแลประเทศชาติบ้านเมืองให้อยู่ในความสงบเรียบร้อยได้ ขอให้สื่อช่วยนำเสนอข้อมูลข่าวสารในแง่ดี ไม่ส่งผลกระทบหรือสร้างความเสียหาย เพราะทุกเรื่องจะถูกขยายไปยังต่างประเทศ ทำให้ภาพพจน์เสียหาย เศรษฐกิจชะงัก โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่เป็นตัวสำคัญและสร้างรายได้

“ผมอยากให้ประชาชนสบายใจ คนที่เข้าร่วมชุมนุมก็อยากให้กลับบ้าน เพราะไม่มีเหตุผลที่จะร่วมชุมนุมต่อแล้ว การโจมตีหรือจะชุมนุมต่อ สามารถทำได้ แต่ต้องไม่ใช่ที่สะพานมัฆวานฯ ขอให้ไปหาสถานที่ที่ไม่สร้างความเดือดร้อนกับประชาชน จะชุมนุมเป็นปีก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่รื้อ ตำรวจก็จะไปรื้อ ที่พูดอย่างนี้ แสดงให้รู้ว่ารัฐบาลจะรับผิดชอบทุกอย่างกับทุกสิ่งที่ทหาร –ตำรวจทำ”นายกรัฐมนตรี กล่าว.-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-31 11:50:58

พปช.ยืนยันปล่อยให้ญัตติแก้ รธน.ตก รอประชามติ

การประชุมพรรคพลังประชาชนขณะนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว ซึ่งที่ประชุมมีมติให้ ส.ส.ไปถอนชื่อออกจากญัตติแก้ รธน. เพื่อให้ญัตติตกไป และจะไม่มีการยื่นญัตติซ้ำ โดยจะรอฟังผลการทำประชามติ ว่าประชาชนส่วนใหญ่อยากให้มีการแก้ไข รธน.หรือไม่

การประชุม ส.ส.พรรคพลังประชาชนในวันนี้ มี น.พ.ประสงค์ บูรณพงศ์ รองหัวหน้าพรรคทำหน้าที่ประธานชั่วคราว โดยมีการหยิบยกญัตติด่วนที่ ส.ส.และ ส.ว.เสนอให้มีการแก้ไข รธน.ฉบับปี 2550 ขึ้นมาพิจารณา ซึ่งทางพรรคยังไม่แน่ใจว่าญัตติดังกล่าวจะตกไปแล้วหรือไม่ หลัง ส.ว.ที่ร่วมลงชื่อได้ขอถอนชื่อออกไป อย่างไรก็ตามในที่ประชุมเห็นว่า หากมีการถอนชื่อจนทำให้ญัตติตกไป พรรคก็เตรียมเสนอญัตติซ้ำ แต่จะยังไม่ใช่ในช่วงนี้ โดยจะขอรอดูสถานการณ์ทางการเมืองก่อน เพราะรัฐบาลได้เตรียมที่จะทำประชามติในเรื่องนี้อยู่แล้ว

สำหรับญัตติแก้ รธน.ขณะนี้ยังคงมีรายชื่อผู้เสนอญัตติอยู่ทั้งหมด 124 คน เป็น ส.ว. 2 คน นอกนั้นเป็น ส.ส.พรรคพลังประชาชน 113 คน , เพื่อแผ่นดิน 4 คน , รวมใจไทยชาติพัฒนา 4 คน และมัชฌิมาธิปไตย 1 คน ซึ่งพอดีกับเกณฑ์ 1 ใน 5 ของสมาชิกทั้ง 2 สภาเท่าที่มีอยู่ คือ 620 คน หาก ส.ส.หรือ ส.ว.แค่เพียงคนเดียวไปขอถอนชื่อก็จะทำให้ญัตติดังกล่าวตกไปทันที

นอกจากการหารือเพื่อกำหนดท่าทีของพรรคพลังประชาชนแล้ว คาดว่าที่ประชุมจะหารือกันถึงการสลับตำแหน่งรัฐมนตรี หลังนายจักรภพ เพ็ญแข ประกาศลาออก ซึ่งมีรายงานว่า ที่ประชุมจะให้นายพงศกร อรรณพร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาฯ ไปเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แทนตำแหน่งที่ว่างลง แล้วให้ นายธีระชัย แสนแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาฯ แทน แล้วดึงนายเจริญ จรรโกมล หนึ่งในแกนนำ ส.ส.อิสาน เข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ แทนนายธีระ



แกนนำ พปช.หารือ ไม่มีการประเมินสถานการณ์ชุมนุม

กรุงเทพฯ 31 พ.ค.-การหารือของแกนนำพรรคพลังประชาชนไม่มีการประเมินสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

การหารือและรับประธานอาหารร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีของพรรคพลังประชาชนใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกระทรวงยุติธรรม และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เปิดเผยว่า การหารือครั้งนี้ไม่ได้ประเมินการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้วิตกกังวล แต่เป็นการพูดถึงปัญาการทำงานของรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง ตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา และไม่ได้หารือการปรับคณะรัฐมนตรี โดยส่วนตัวเห็นว่าควรปรับเล็กเฉพาะตำแหน่งเท่านั้น

ขณะที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ แต่จะไปชี้แจงเกี่ยวกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที เช้าวันนี้.-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-31 01:10:24

ตำรวจเพิ่มกำลังคุมเข้มการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ

สะพานมัฆวานฯ 31 พ.ค.-ตำรวจสั่งเพิ่มกำลังคุมเข้มการชุมนุม ขณะที่แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศพร้อมเคลื่อนขบวนไปชุมนุมทำเนียบรัฐบาล

หลังแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศยกระดับการชุมนุมจากต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นขับไล่รัฐบาล แกนนำยังคงผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวทีปราศรัย โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ชี้แจงเหตุผลการชุมนุม พร้อมทั้งประกาศว่า จะชุมนุมยืดเยื้อต่อไป หากมีความพร้อมก็จะเคลื่อนการชุมนุมไปทำเนียบรัฐบาล

ส่วนบรรยากาศโดยรอบ กลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นอาสาสมัครพันธมิตรประมาณ 40 คน พยายามเดินอ้อมเข้าไปทำเนียบรัฐบาล และไปลานพระบรมรูปทรงม้า แต่ถูกกำลังตำรวจสกัดไว้ได้

ขณะที่ตำรวจนครบาลประสานขอกำลังไปยังหน่วยงานข้างเคียง เข้ามาดูแลความสงบเรียบร้อยเพิ่มจากกำลังปกติกว่า 450 นาย พร้อมทั้งสั่งตรึงกำลังคุมเข้มรอบทำเนียบรัฐบาลตลอด 24 ชั่วโมง ห้ามผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าออกอย่างเด็ดขาด

ด้านการชุมนุมของกลุ่มซึ่งอ้างตัวว่า กลุ่มสภาสนามหลวงต่อต้านเผด็จการ มีการปราศรัยโจมตีกลุ่มพันธมิตรและพรรคฝ่ายค้าน พร้อมทั้งออกแถลงการณ์ระบุว่า กลุ่มพันธมิตรเปลี่ยนวัตถุประสงค์การชุมนุม เพราะต้องการสร้างความวุ่นวายทางการเมือง โดยแกนนำประกาศจุดยืนจะชุมนุมที่สนามหลวงทุกวันเวลา 17.00-24.00 น. ก่อนสลายตัวไปเมื่อ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา.-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-31 01:08:45

ส.ว.แห่ถอนชื่อ จนส่งผลให้ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไป

รัฐสภา 30 พ.ค. - ส.ว.แห่ถอนชื่อจากการลงชื่อสนับสนุนญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เหลือผู้สนับสนุนญัตติเพียง 123 คน ทำให้มีเสียงไม่ถึง 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาฯ คือ 124 เสียง ส่งผลให้ญัตติตกไป

นายทวีศักดิ์ คิดบรรจง ส.ว.บุรีรัมย์ ได้เดินทางมายื่นหนังสือขอถอนชื่อจากการลงชื่อสนับสนุน ญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2250 ที่รัฐสภา และเปิดเผยว่า การขอถอนชื่อครั้งนี้ เพื่อไม่ให้เป็นเงื่อนไขทางสังคม ประกอบกับรัฐบาลเตรียมจะทำประชามติในเรื่องนี้แล้ว ดังนั้น ทุกฝ่ายควรสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น จึงถอนชื่อเพื่อให้ญัตติตกไป แม้เรื่องนี้จะขัดกับหลักการของตน ที่ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะไม่ถอนรายชื่อ แต่เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้จะนำไปสู่เงื่อนไขที่จะทำให้การชุมนุมยืดเยื้อ จึงต้องถอนเพื่อให้หมดเรื่อง

“ความจริงถ้าเอาปัญหานี้เข้ามาพิจารณาในสภาฯ จะเป็นเรื่องดี แทนที่จะไปคุยกันข้างนอก ที่ผมมาวันนี้ก็ยังฝืนความรู้สึกอยู่ แต่ก็ต้องมาเพราะ ส.ว.ที่เหลือพากันถอนชื่อกันเกือบหมดแล้ว ก็ต้องว่าตามกัน ส่วนที่ติดต่อผมไม่ได้ก่อนหน้านี้ เพราะเพิ่งเดินทางกลับมาจากต่างจังหวัด ไม่ได้คิดหนีอะไร ส่วนตอนนี้เหลือคุณสมพร จูมั่น ส.ว.เพชรบูรณ์ เพียงคนเดียวซี่งยังไม่ได้ถอนชื่อ” นายทวีศักดิ์ กล่าว

เมื่อถามว่าคิดอย่างไรที่ญัตติดังกล่าวตกไปแล้ว แต่ส.ส.พรรคพลังประชาชนจะยื่นญัตติเข้ามาใหม่อีก นายทวีศักดิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของพรรคพลังประชาชน ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ ยืนยันจะมีการชุมนุมยืดเยื้อต่อไปนั้น ก็แล้วแต่ว่า ใครจะเล่นบทอะไร แต่วันนี้ตนเห็นว่าเงื่อนไขจบไปแล้ว เพราะนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศลาออกแล้ว และญัตติเสนอแก้รัฐธรรมนูญก็ตกไป

ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ได้ระบุไว้ว่า ต้องใช้เสียง ส.ส.และ ส.ว.ในการยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ สองสภาฯ รวมกัน มีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาฯ ซึ่งล่าสุดขณะนี้มี ส.ส.470 คน ส.ว. 150 คน รวม 620 คน เสียง 1 ใน 5 คือ 124 เสียง ดังนั้น การถอนชื่อของนายทวีศักดิ์ ทำให้เหลือผู้สนับสนุนญัตติเพียง 123 คน ส่งผลให้ญัตติเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมีอันตกไปในที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส.ส.และ ส.ว.ที่เข้าชื่อยื่นญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550 มีจำนวนทั้งสิ้น 150 คน คือ พรรคพลังประชาชน 117 คน พรรคเพื่อแผ่นดิน 5 คน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 4 คน พรรคมัชฌิมาธิปไตย 2 คน พรรคประชาราช 1 คน และ ส.ว. 29 คน แต่ก่อนที่จะยื่นญัตติมี ส.ว.ขอถอนชื่อ 8 คน. - สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-30 18:47:03


ศาลฎีกามีมติไม่แต่งตั้งผู้ไต่สวนอิสระคดี สุเทพ ร้อง มท.1

กรุงเทพฯ 30 พ.ค. - ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติไม่แต่งตั้งผู้ไต่สวนอิสระ ในคดีที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ร้อง “ร.ต.อ.เฉลิม” สั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ “ศรีสุบรรณฟาร์ม” เหตุยังไม่มีกฎหมายกำหนดคุณสมบัติ อำนาจหน้าที่ และวิธีการไต่สวน เห็นควรให้ส่ง ป.ป.ช. ดำเนินการ

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 30 พฤษภาคม ที่ศาลฎีกา สนามหลวง นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา เรียกประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกา เพื่อพิจารณาคำร้องขอให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาแต่งตั้งผู้ไต่สวนอิสระ ในคดีหมายเลขดำที่ อม.2/2551 ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ โดยบริษัทศรีสุบรรณฟาร์ม จำกัด ผู้ร้อง กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ถูกร้อง เรื่อง เป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฎิบัติ หรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริต กรณีสั่งการให้ นายบุญเชิด คิดเห็น รักษาการอธิบดีกรมที่ดิน ตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิที่ดิน บริษัท ศรีสุบรรณฟาร์ม จำกัดและสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินของบริษัท ศรีสุบรรณฟาร์ม จำนวน 1,338 ไร่ 59 แปลง บริเวณ ต.น้ำหัก อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี

โดยผลการลงมติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เห็นควรส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการไต่สวนตามรัฐธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 250 (2) แทนการแต่งตั้งผู้ไต่สวนอิสระ เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 276 วรรค 2 กำหนดว่า คุณสมบัติ อำนาจหน้าที่ วิธีการไต่สวน และการดำเนินการอื่นที่จะเป็นของผู้ไต่สวนอิสระ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้ไต่สวนอิสระ จึงเห็นสมควรส่งคำร้องขอดังกล่าวให้ ป.ป.ช. ดำเนินการแทน. – สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-30 18:33:18

เมื่อรถหยุดวิ่ง

เชื่อว่าเช้านี้คน กทม. คงต้องประสบกับภาวะ “รถเมล์ขาด (ตลาด)” กันไปถ้วนหน้า อันเนื่องมาจากการประท้วงหยุดวิ่งของบรรดารถร่วมฯ ซึ่งรวมๆ ก็กว่า 10,000 คัน

เห็นใจผู้โดยสารก็เห็นใจ ไหนจะต้องรอนาน ไหนจะต้องเบียดเสียดกันขึ้นไปอัดแน่นยิ่งกว่าปลากระป๋อง

แต่มองจากมุมของผู้ประกอบการรถร่วมฯ ก็น่าเห็นใจเขาเหมือนกัน เพราะราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นเช่นนี้เป็นไปตามกลไกตลาดโลก ใครก็ฉุดไม่ได้รั้งไม่อยู่

ในฐานะ “เอกชน” ที่ประกอบธุรกิจ เมื่อต้นทุนในการทำกิจการสูงเกินกว่าจะแบกรับภาระต่อไปได้ แล้วกฎหมายยังไม่อนุญาตให้ขึ้นราคาค่าสินค้าหรือบริการอีกเช่นนี้ ก็เห็นทีจะต้องปิดหรือหยุดพักกิจการกันแต่เพียงเท่านั้น

ไม่เหมือนกิจการที่ดำเนินการหรือมีหุ้นส่วนใหญ่เป็นรัฐบาล จึงจะต้องมีหน้าที่ “ช่วยเหลือ" ประชาชน มากกว่าคำนึงเรื่องกำไร-ขาดทุน

หรือทางออกที่สาม คือ จะให้ศาลปกครองประกาศคุ้มครองการขึ้นราคาน้ำมัน แทนการคุ้มครองราคาสินค้า เช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า (เพราะราคาน้ำมันในบ้านเราต้องผูกติดกับราคาน้ำมันดิบโลก) ถ้าทำได้ แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันได้เพียงอย่างเดียว ก็สบายไปร้อยแปดอย่าง

แต่ถ้าทำไม่ได้ดังว่ามา ก็คงต้องทำใจยอมรับแล้วว่า เราก็ต้องขึ้นรถเมล์กันแพงขึ้นอยู่ดี

เกิดเหตุการณ์รถร่วมฯ หยุดวิ่งเช่นนี้ เราจึงได้เห็นภาพชัดๆ ว่า กิจการขนส่งมวลชนโดยรัฐนั้น มีน้อยเกินกว่าความต้องการไปมาก และส่วนมากก็ต้องพึ่งพาเอกชนเป็นหลัก

ทั้งที่ประชาชนส่วนมากของประเทศนี้ ยังต้องพึ่งพาขนส่งสาธารณะมากกว่ารถส่วนตัว แต่จนป่านนี้ระบบขนส่งมวลชนบ้านเราก็ยังไม่เคยสะดวกสบาย ทั้งในด้านปริมาณ (เพียงพอต่อความต้องการ) และด้านคุณภาพ

บ่นไปก็เท่านั้น เพราะถามว่าแล้วจะให้รัฐทำอย่างไร ก็ไม่รู้ จะให้คุ้มครองราคาค่าตั๋วต่อไปหรือไม่ ก็ไม่น่าจะได้ เพราะคงไม่มีเอกชนรายไหนยอมวิ่งรถ-เรือให้ขาดทุน

คงตอบได้อย่างเดียวในฐานะคนเดินดิน คือ จะทำอย่างไรก็ให้ทำกันไปทางหนึ่งเถิด เพราะสุดท้ายคนที่เดือดร้อนที่สุด ก็คือชาวบ้านตาดำๆ นี่เอง

ปฏิญา ยอดเมฆ



พันธมิตร จะเผด็จศึกใคร

แม้การชุมนุมครั้งนี้จะเริ่มต้นด้วยการประกาศว่า เพื่อต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

แต่คนที่ติดตามและรู้จัก “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” มาเป็นอย่างดี ย่อมไม่มีใครเชื่อว่าแก๊งนี้จะมีเหตุผลแท้จริงเพียงเท่านั้น

เพียงแต่จะรอดูว่า แล้วแกนนำของพันธมิตรฯ จะหาทางออกอย่างไร จะชักนำมวลชนไปด้วยเหตุผลอะไร

แล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา แกนนำอย่าง นายสุริยะใส กตะศิลา แพลมออกมาว่า อาจมีการหารือว่าจะเปลี่ยนจุดยืนจากเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องการขับไล่รัฐบาล

อาจถึงการขับไล่คณะรัฐมนตรีให้ลาออกกันไปทั้งคณะ

แม้ปากจะบอกว่า “จะมีการหารือ” แต่ถ้าไม่ได้กินหญ้าเป็นอาหาร ก็ย่อมดูออกว่า นี่คืออีกหนึ่งเป้าหมายที่แกนนำพันธมิตรฯ วางเอาไว้แล้ว ตั้งแต่ก่อนจะประกาศการชุมนุมที่มีเรื่องรัฐธรรมนูญมาบังหน้าด้วยซ้ำ

เพราะถ้ามักน้อยกันแค่นั้น ไหนเลยต้องทำฮึกเหิมขนาดประกาศ ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง

และยิ่งไม่มีความจำเป็นที่คนอย่าง “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” จะต้องประกาศให้มวลชนชักจูงคนมาร่วมให้มากๆ เพื่อทำการ “เผด็จศึก”

จะเผด็จศึกใคร จะเผด็จกันอย่างไร จะเหมือนที่ พล.ต.จำลอง เคยมีส่วนในการชักจูงผู้คนมา “เผด็จศึก” อย่างนั้นหรือไม่

ยังไม่มีใครกล้าคิด

แต่ที่แน่ๆ มีการ “แยกมิตร แยกศัตรู” กันไปแล้วเรียบร้อย

นั่นคือความพยายาม “ตำหนิ” การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าหละหลวม เข้าข้างเลือกฝักเลือกฝ่าย ไม่เต็มใจรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ

ราวกับต้องการให้ตำรวจตีหัวม็อบฝ่ายตรงข้ามให้หัวร้างข้างแตก จึงจะพอใจ

ที่สำคัญ แกนนำม็อบถึงกับประกาศให้ผู้ชุมนุมสามารถ “จัดการ” กับฝ่ายตรงข้าม ด้วย “วิธีการใดก็ได้” เพราะถือเสียแล้วว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อาจเป็นที่พึ่งพา

ประกาศความเป็นนักเลงที่ไม่เคารพขื่อแปบ้านเมืองกันมาโต้งๆ อย่างไม่เกรงกลัว

ถ้าไม่มี “ผู้หนุนหลัง” อย่างใหญ่เบิ้ม ก็คงไม่เหิมเกริมขนาดนี้

ที่น่าสงสัยมากกว่าคือ คนนั้นคือใคร

แล้วได้ประโยชน์อะไรจากการทำร้ายให้บ้านเมืองเสียหาย ทรุดหนักทั้งทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจอย่างนี้

อีกฝ่ายที่ก็ยังต้องจับตาดูให้ดี ไม่พ้นกองทัพ

เพราะมีสรรพสำเนียงถึงความแตกกันเล็กๆ ออกมาให้ได้ยินพอกระเส็นกระสาย

ที่ขัดแย้งกันไม่มีอะไรมากไปกว่า อีกฝ่ายยังเชื่อมั่นในการรัฐประหาร ขณะที่อีกฝ่ายเข็ดหลาบและไม่ต้องการให้กองทัพโดนด่าไปมากกว่านี้

จะมีบ้างที่ยังรอดูท่าทีของ “มวลชน” พลเรือนทั้งสองฝั่ง

ถ้ามีท่าทีแตกร้าวหนัก หรือใครที่ได้รับใบสั่งให้สร้างสถานการณ์แล้วทำได้อย่างสุดฝีมือ

เมื่อนั้น ก็ได้เวลาที่กองทัพจะกลืนน้ำลายตัวเอง

ขณะนี้จึงเป็นเวลาที่ “รัฐบาล” กำลังเคร่งเครียดจับตา

และพันธมิตรฯ ก็รอเวลาที่จะได้ร้องเฮ!

วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

สมัคร ปฏิเสธให้ความเห็นกรณี จักรภพ

วัดโสมนัสวิหาร 29 พ.ค. - นายกรัฐมนตรีร่วมงานพระราชทานน้ำหลวงอาบศพมารดาผู้บัญชาการทหารบก ปฏิเสธตอบคำถามกรณีตำรวจสรุปผลสอบ “จักรภพ” ผิดจริงตามข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.00 น. วันนี้ (29 พ.ค.) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มาร่วมในพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพนางบุญเรือน เผ่าจินดา มารดา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่วัดโสมนัสวิหาร โดยปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เมื่อถูกถามถึงกรณีคณะกรรมการของตำรวจสอบสวนกลางสรุปผลการตรวจสอบว่า นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีความผิดตามข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบัน โดยนายกรัฐมนตรีมีสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนขึ้นรถยนต์เดินทางกลับออกจากงาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า งานดังกล่าวมีบุคคลสำคัญเดินทางมาร่วมงานจำนวนมาก อาทิ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

นอกจากนี้ยังมีพวงหรีดจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งนำมาโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว ซึ่งให้สัมภาษณ์เพียงสั้น ๆ ว่า เป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจาก พล.อ.อนุพงษ์ เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 10 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกทั้งตนยังรู้จักเป็นการส่วนตัวกับ พล.อ.อนุพงษ์ ด้วย ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ จะมาร่วมงานหรือไม่ ยังไม่ทราบ เพราะยังมีเวลาอีกหลายวัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลาประมาณ 18.50 น. พล.อ.ปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ได้เดินทางมาร่วมในงานสวดพระอภิธรรมศพด้วย โดยก่อนหน้านี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มาร่วมงาน ขณะที่มีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมาเช่นกัน โดยส่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยส่วนตัวล่วงหน้ามาที่บริเวณงานก่อน และในเวลาประมาณ 19.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเดินทางมาถึง และร่วมฟังการสวดอภิธรรมศพ หลังเสร็จพิธีดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปสวัสดี พล.อ.สุรยุทธ์ ขณะกำลังจะเดินทางกลับ ซึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ รับไหว้และทักทายกันเล็กน้อย จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้าไปสวัสดี พล.อ.เปรม และพูดคุยกันประมาณ 1 นาที โดยทั้งหมดปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใด ๆ ก่อนเดินทางกลับ. -สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-29 20:24:32


ยุคเสื่อม ปชป.

เลียบๆ เคียงๆ ไปแถวม็อบพันธมิตรฯ ที่ปิดถนนราชดำเนิน กีดขวางการจราจร ทำชาวบ้านเดือดร้อนไปทั่วแล้ว ก็เห็นมีแต่คนหน้าตาคุ้นเคยทั้งนั้น ที่วนเวียนกันขึ้นไปแหกปากปาวๆ บนเวที

เพราะหากผิดไปจากคนในค่าย “ผู้จัดการ” แล้ว ส่วนใหญ่ก็แทบจะเป็นกลุ่มคนใกล้ตัวพรรคประชาธิปัตย์แทบทั้งสิ้น ที่ทั้งขึ้นปราศรัยและให้กำลังใจอยู่ขอบเวที

มิหนำซ้ำ บางคนยังสวมหมวก 2 ใบ ถ่างขาเกี่ยวข้องทั้ง 2 สำนัก จนเสมือนเป็นตัวประสานความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของก๊วนพันธมิตรฯ สื่อเครือผู้จัดการ และพรรคการเมืองเจ้าหลักการในอดีตอย่าง ประชาธิปัตย์

ไม่ว่าจะเป็น...

คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ส.ส.กทม. และอดีตรองหัวหน้าพรรค

อลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรค

อรรถพร พลบุตร น้องชาย ในฐานะ ส.ส. สัดส่วน

สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส. ที่ประชาธิปัตย์ไฟเขียวให้ร่วมเป็นแกนนำพันธมิตรฯ

รวมไปถึงบรรดา ส.ส. สอบตกของพรรคประชาธิปัตย์อย่าง ประพันธ์ คูณมี ที่เดินตามติด น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ต้อยๆ และ วัชระ เพชรทอง ที่ทำกิจกรรมให้พรรคมาอย่างต่อเนื่อง
ฯลฯ

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ แม้ว่าพรรคจะปฏิเสธความเกี่ยวข้อง แต่ก็ดูจะฟังยาก เพราะพฤติกรรมมันฟ้องอยู่ทนโท่
และยิ่งเมื่อทั้งอลงกรณ์และคุณหญิงกัลยา พยายามออกมาชี้แจง ก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่

เพราะอ้างว่าพรรคไฟเขียวให้ร่วมการชุมนุมได้ แต่ต้องเป็นไปในนามส่วนตัว หรือแม้แต่ขึ้นเวทีปราศรัยก็ยังได้ แต่ต้องมีเนื้อหาเป็นวิชาการ

และยิ่งถ้าจับความผนวกกับกระแสข่าวที่อ้างว่า พรรคประชาธิปัตย์รับหน้าเสื่อขนคนเข้ามาร่วมการชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วยแล้ว ก็ไม่รู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะออกมาแก้ตัวทำไมให้เสียเวลา

และเมื่อเห็นพฤติกรรมของคนพรรคประชาธิปัตย์เช่นนี้แล้ว ก็อดคิดไม่ได้ว่า เหตุใดพรรคการเมืองที่ขายภาพความมั่นคงในหลักการ ถึงวันนี้จึงนิยมชมชอบกับวิธีการแก้ปัญหาการเมืองด้วยการชุมนุมข้างถนน มากกว่าการไปพูดจากันในสภาผู้แทนราษฎร

จะเป็นไปได้หรือไม่ที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังเข้าสู่ “ยุคเสื่อม”

ความขลังที่บรรพบุรุษของพรรคสั่งสมมายาวนาน กำลังจะหดหายไปในยุค “เด็กเมื่อวานซืน”

ดังที่มีตัวอย่างให้เห็น ไม่เฉพาะการพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้ง ส.ส. และการจัดตั้งรัฐบาล

แต่ยังหมายถึงการแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าในการเมืองระดับท้องถิ่น

อย่างล่าสุดที่ การุณ ใสงาม ยอมลดชั้นจากอดีต ส.ส.-ส.ว.บุรีรัมย์ ไปชิงเก้าอี้นายกเทศมนตรี กลับแพ้ย่อยยับ ได้รับคะแนนเสียงไปเพียง 439 คะแนน

หรือจะเป็นในภาคใต้ ฐานเสียงสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็ยังแพ้กราวรูด

อย่าง อัญชลี วานิช เทพบุตร อดีต ส.ส. ประชาธิปัตย์ ที่สามีเพิ่งจะถูกคำสั่งศาลให้คืนที่ดิน สปก. ซึ่งได้มาในยุคประชาธิปัตย์เรืองอำนาจ ก็ยังพ่ายแพ้ในสนาม อบจ. ให้กับคู่แข่งโนเนม

ส่วนการเลือกนายก อบจ.กระบี่ สเสฏฐสิฏฐ สิทธิมนต์ อดีต ส.ส.กระบี่ 2 สมัย ที่มี พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล อดีตกรรมการบริหารพรรค สนับสนุน ก็ถูกคู่แข่งทิ้งห่างกว่า 3 หมื่นคะแนน

เช่นเดียวกับสนาม อบจ.พัทลุง ที่ดีกรีอดีต ส.ส. อย่าง สุพัฒน์ ธรรมเพชร ต้องพ่ายแพ้ให้กับนายก อบจ. คนเดิม
ที่ จ.เพชรบุรี อิทธิพงษ์ พลบุตร อดีตสมาชิกสภา อบจ. พรรคประชาธิปัตย์ น้องชาย นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรค ก็มีคะแนนเข้ามาเป็นที่ 2 ชวดตำแหน่งไปเช่นกัน

หรือที่สมุทรสาคร เอนก ทับสุวรรณ อดีต ส.ส. อาวุโสหลายสมัย ก็ยังแพ้ขาดลอย ที่ตราด บุญส่ง ไข่เกษ อดีต ส.ส. และ ส.ว. ทีมประชาธิปัตย์ ก็แพ้อีก รวมถึงสุดท้ายที่สมุทรสงคราม กานต์ทิตา รอดรัศมี ทีมประชาธิปัตย์ น้องสาว รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ก็มีคะแนนห่างคู่ต่อสู้หลายขุม

ยังไม่รวมถึง ธานินท์ ใจสมุทร อดีต ส.ส. ที่ลดชั้นลงไปเล่นการเมืองท้องถิ่นอีกคน ที่แม้จะชนะการเลือกตั้ง แต่ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาให้ใบแดงของ กกต.

ที่เล่ามาทั้งหมดนั้น ไม่ใช่เป็นการฟื้นฝอยหาตะเข็บ

เพียงแต่อดนึกไม่ได้ว่า เรื่องใดเกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ก่อนกันแน่

ระหว่างการมีพฤติกรรมผิดเพี้ยนไปจากอุดมการณ์ดั้งเดิม จนทำให้พรรคเสื่อมความนิยม
หรือเป็นเพราะพรรคมาถึงจุดเสื่อม จึงต้องฝากความหวังลมๆ แล้งๆ ไว้กับการชุมนุม ที่อาจขยายผลไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง เป็นความหวังสุดท้าย

เพราะหากเป็นจริงเช่นนั้น ก็น่าเสียดาย ที่อุดมการณ์และเกียรติภูมิของพรรคจะต้องสูญหายไป เพราะความกระหายในอำนาจ...!!


วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

แฉลบเข้าเนื้อตัวเอง

“ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้นำพรรคพลังประชาชนจึงไม่มีบารมีเพียงพอที่จะขับเคลื่อนพรรคให้อยู่ในความสามัคคีกลมเกลียว เพราะอีกฝ่ายก็พยายามที่จะทำอะไรเอาใจนายใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงหลักการและเหตุผล”

จากบทสรุปข้างต้น กลับกลายเป็นคนนอกอย่าง “ป๋าเหนาะ” นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ซะอีก ที่มองสถานการณ์ความเป็นไปในพรรคพลังประชาชนได้แบบปรุโปร่ง

อ่านกันทะลุเลย

ที่แน่ๆมีข่าวว่า “ลุงหมัก” นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้นัดรัฐมนตรีทั้ง 22 คน ของพรรคพลังประชาชน ไปรับประทานอาหารร่วมกันที่บ้านริมคลองของ “สิงห์เหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ในวันที่ 30 พฤษภาคม นี้

แน่นอนวาระต้องมีแน่ๆ คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

แต่ที่ควรจะต้องพูดกันให้ลึกไปกว่านั้นก็คือ “เรื่องของการนำ” ไม่น่าจะใช่รูปแบบที่ “ป๋าเหนาะ” อ่านขาด ประเภทนายกฯประกาศให้ทำประชามติ แต่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนชิงไปยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญคาไว้ที่สภา

พรรคเดียวกันแต่ดันผิดคิว เล่นกันคนละคีย์

กลายเป็นว่า ไม่รู้ใครใหญ่จริง ระดับนายกฯสมัครยังคุมลูกแถวไม่ได้ ปล่อยให้ “พ่อมดเขมร” คุมเกมฮาร์ดคอร์ ตั้งหน้าตั้งตาโชว์ผลงานเอาใจนายใหญ่

เปิดใบเสร็จ ทวงบำเหน็จกันไม่เลิก

และผลจากการที่พรรคแกนนำเกิดอาการ “กลวงใน” ไม่รู้ใครคุมใครได้ ก็ไม่แปลกที่พรรคร่วมรัฐบาลจะออกอาการเฮี้ยวใส่

โดยเฉพาะพรรคชาติไทยของ “บิ๊กเติ้ง” นายบรรหาร ศิลปอาชา เปรี้ยวรายวันเลย

ล่าสุดเป็นเวรปฏิบัติหน้าที่ของนายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ ส.ส.สุพรรณบุรี พรรคชาติไทย เปิดเกมกดดัน ทำหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีเรียกร้องให้นายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ

แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี

พร้อมทั้งแสดงความไม่เห็นด้วยกับการใช้เงิน 2,000 ล้านบาท ไปทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ

“เด็กเติ้ง” เปลี่ยนเวรกันขย่ม

แต่ที่ตั้งท่าเป็นฝ่ายข่ม แล้วดันพลาดเข้าเนื้อตัวเอง

แรงสั่นสะเทือนจากรายการ “น้องไม่สู้ พี่บู๊เอง” นายประสิทธิ์ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี พี่ชายนายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทย ออกมาใส่เกียร์ห้าลุยแลกหมัด “เสี่ยตือ” นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.เกษตรและสหกรณ์

สาวไส้กันมันหยด

แฉกันไปแฉกันมา ปรากฏว่า ไม่ได้หยุดแค่เรื่องข้าวซาอุฯกับปมปุ๋ยยูเครน

กับคำถามลอยๆที่ “เสี่ยประสิทธิ์” จุดพลุขึ้นมา “ไปนั่งดูฟุตบอลที่รัสเซียสนุกมั้ย”

ล่าสุด “เสี่ยตือ” ออกมายอมรับเองว่า ได้เดินทางไปชมฟุตบอลคู่ชิงชนะเลิศถ้วยยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ระหว่างสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับสโมสรเชลซี ที่ประเทศรัสเซียจริงๆ

“บัตรดังกล่าวได้มาจากการรู้จักเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อนายวานิช ซึ่งผมจำนามสกุลไม่ได้ ทำงานเป็นตัวแทนบริษัทไฮเนเก้นประจำประเทศไทย และเป็นผู้สนับสนุนหลักฟุตบอลยูฟ่าอย่างเป็นทางการ ถือเป็นการได้มาอย่างเพื่อนสนิทเท่านั้น เรื่องนี้ผมอธิบายได้

ส่วนเรื่องราคาบัตรนั้นผมจำไม่ได้ เพราะเป็นบัตรที่ไม่มีการตีราคาหน้าตั๋ว เป็นบัตรในส่วนของผู้สนับสนุน ผมจึงไม่รู้ราคาบัตร”

เผลอๆจะเป็นเรื่องใหญ่

เพราะในประกาศ ป.ป.ช.มาตรา 103 กำหนดว่า การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ญาติ มีราคาหรือมูลค่าในการรับจากแต่ละบุคคลและแต่ละโอกาสไม่เกิน 3,000 บาท

ในขณะที่ตั๋วชมฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ที่สมาพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ประกาศไว้ในเว็บไซต์มี 3 ราคาคือ 80, 120 และ 200 ยูโร ตกยูโรละ 51.49 บาท

ราคาต่ำสุดคือ 4,000 กว่าบาท

“เสี่ยตือ” เตรียมตัวเคลียร์ให้ดี.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน

“ประทีป-หมอเหวง” จี้ปลด “สพรั่ง”

วันที่ 28 พ.ค. ที่สำนักงานเลขานุการกองทัพบก นางประทีป อึ้งทรงธรรม ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตย พร้อมด้วย นพ.เหวง โตจิราการ ได้เข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. เพื่อขอให้ทหารเป็นองค์กรหลักในการรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข โดยในหนังสือดังกล่าวระบุว่า ขณะนี้ได้เกิดวิกฤติประชาธิปไตยที่จะนำไปสู่ความรุนแรง มีพยายามใช้ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงข้าม สร้างเรื่องเท็จปลุกเร้าให้คนในชาติแตกความสามัคคี เพื่อล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จึงอยากเรียกร้องให้ ทหารวางตัวเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ให้การเมืองเดินไปตามวิถีทางประชาธิปไตย ถึงแม้จะมีความรุนแรง ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจและกระบวนการยุติธรรม ในการจัดการกับผู้ก่อความรุนแรงหรือทำผิดกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นนางประทีปและ นพ.เหวงได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึงนายสมัคร สุนทรเวช รมว.กลาโหม เพื่อขอให้พิจารณาปลด พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม และ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกลาโหม เนื่องจากได้แสดงความเห็นให้ใช้กำลังทหารเข้ามาแก้ไขปัญหาการเมือง เท่ากับสนับสนุนทหารทำการปฏิวัติ แสดงให้เห็นว่ามีจิตวิญญาณเผด็จการ

ผบ.สูงสุดยันทหารไม่ยุ่งเกี่ยวม็อบ

พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.ทหารสูงสุด กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่รุนแรงมากขึ้นว่า ทุกคนต้องทำตามหน้าที่ เพราะบ้านเมืองมีกลไกดูแล เพื่อให้ทุกสิ่งอยู่ในระเบียบเรียบร้อยตามกฎหมาย หากอยู่ในขอบเขตไม่น่ามีปัญหาอะไร ส่วนแนวทางที่จะไม่ให้ การชุมนุมรุนแรงนั้น ต้องช่วยกันพูด ที่ผ่านมาผู้ใหญ่พูดหลายครั้งว่า บ้านเมืองมีปัญหามากที่สุด คือเรื่องความสามัคคี ดังนั้น ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน เมื่อถามว่า เป็นห่วงการยั่วยุให้สองฝ่ายปะทะกันรุนแรง พล.อ.บุญสร้างตอบว่า เป็นไปได้ทั้งนั้น เพราะในอดีตเคยเกิดขึ้นแล้ว ขึ้นอยู่ ที่คนไทยทั้งประเทศ เมื่อถามว่า ยืนยันหรือไม่ว่าไม่ใช่ หน้าที่ทหารมาควบคุมสถานการณ์ พล.อ.บุญสร้างตอบว่า จะไปยืนยันอะไรได้ ทั้งนี้จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และอยากเห็นบ้านเมืองปลอดสิ่งไม่ดีทั้งหลาย เมื่อถามว่า มีปัจจัยอะไรที่ชี้ว่าทหารจะออกมาคุมสถานการณ์ พล.อ.บุญสร้างตอบว่า ปัจจัยคือระดับรัฐบาลที่จะบอกว่าได้เวลาหรือไม่ เมื่อถามว่าเกรงหรือไม่ว่าจะเกิดพฤษภาทมิฬอีกครั้ง พล.อ.บุญสร้างตอบว่า หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น และจะจบลงด้วยดี คนที่เป็นผู้นำไม่ควรทะเลาะกัน เพราะบ่งบอกถึงความไม่รับผิดชอบ

อย่านำสังคมไปสู่การทะเลาะวิวาท

เมื่อถามว่าหากทั้งสองฝ่ายถอยกันคนละก้าวจะดีขึ้นหรือไม่ พล.อ.บุญสร้างตอบว่า ดีมาก หลายก้าวยิ่งดี ถ้าทุกคนถอยและหันมาตั้งต้นว่า จะสร้างบ้านเมืองกัน อย่างไรจะดีที่สุด ต้องมีความรับผิดชอบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งบรรพบุรุษทั้งหลายในอดีต ที่สร้างประเทศมาถึงขณะนี้ แล้วจะมาทำลายกันอยู่เรื่อยๆ ถือเป็นความไม่รับผิดชอบ

“ถ้าไปอยู่ในประเทศที่ไม่เคยมีบ้านเมือง ไม่เคยมีประเทศแล้วจะรู้ อย่างผมเคยไปอยู่ที่ติมอร์ ที่ไม่เคยเป็นประเทศมาก่อน กว่าที่จะทำให้เป็นประเทศได้ไม่ใช่ เรื่องง่าย และขณะนี้ก็ยังเดือดร้อน การเป็นประเทศที่อยู่ ในระดับมาตรฐานอย่างไทยไม่ใช่ง่ายๆ ลองสูญสลายแล้วตั้งใหม่ จะยุ่งยากมากมายมหาศาล ประชาชนคงจะเสียชีวิต เลือดเนื้ออีกมากมายมหาศาลกว่าจะได้มาตรฐานขนาดนี้ แต่การทำลายมันง่าย เหมือนกับการปลูกป่าที่ทำได้ยาก แต่ถ้าตัดไม้เดี๋ยวเดียว ไม่รู้จะสร้างขึ้นมาใหม่ได้เมื่อไร ดังนั้นต้องรับผิดชอบ อยากฝากไปถึงผู้นำทั้งหลายว่า ด้วยอารมณ์จะตีกันอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ในการปฏิบัติต้องรับผิด ชอบในฐานะผู้นำ ต้องไม่นำสังคมไทยไปสู่การทะเลาะวิวาท ตีกันเหมือนเด็กๆ” พล.อ.บุญสร้างกล่าวในที่สุด

ชาติไทยเรียกร้องให้ปลด “จักรภพ”

วันที่ 28 พ.ค. นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ ส.ส. สุพรรณบุรี พรรคชาติไทย ได้ทำหนังสือเปิดผนึกถึงนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯและหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เรียกร้องให้นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการลาออกจากตำแหน่ง โดยระบุว่า การเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยทั้งชาติที่สูงสุด ดังนั้น การกระทำของรัฐมนตรีที่อยู่ร่วมในรัฐบาล โดยการนำของนายสมัคร แม้จะยังไม่ได้ข้อยุติในกระบวนการยุติธรรม แต่พฤติกรรมเยี่ยงนี้ก็กระทบต่อความรู้สึกของประชาชนมาก สมควรที่จะเร่งแสดงออกให้สังคมได้เห็นว่านายกฯมีความจงรักภักดีอย่างยิ่ง และปฏิบัติตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ จึงควรให้ นายจักรภพถอยออกมา เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยการลาออก เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีที่เกิดขึ้นหรือปรับออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี เพื่อแม้ว่าภายหลังจะมีคำพิพากษาว่ามิได้กระทำผิด ก็จะได้รับการยกย่องและมีความสง่างามเพิ่มขึ้น

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า การทำจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวไปยังนายกฯ ทำในนามส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับพรรคชาติไทย ส่วนสาเหตุที่ทำจดหมายเปิดผนึกนี้ เพราะได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ที่ไม่สบายใจในเรื่องดังกล่าว

“ป้าอุ” สอนต้องเคารพรักสถาบัน

นางอุไรวรรณ เทียนทอง รมว.แรงงาน กล่าวถึงกรณีที่นายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พูดจาพาดพิงสถาบันเบื้องสูงว่า ไม่ขอออกความเห็น แต่ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งเชื่อว่าคนไทยทุกคนรักและเคารพในสถาบัน ดังนั้น ตรงนี้เราไม่รู้ว่าใครผิดใครถูก ขอให้รู้ว่าคนไทยรักสถาบัน การที่จะพูดถึง การที่จะทำอะไรก็แล้วแต่ต้องด้วยความเคารพเท่าชีวิต ต้องพึงระมัดระวัง ส่วนเรื่องสปิริตของนายจักรภพจะลาออกหรือไม่เป็นเรื่องส่วนบุคคล

ชัย ยืนยันไม่รีบบรรจุญัตติแก้ไข รธน.

กรุงเทพฯ 29 พ.ค. - ประธานสภาฯ ยืนยันไม่รีบบรรจุญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้มีพระราชกฤษฎีกาเปิดสมัยประชุมฯ แล้ว ขอพิจารณาอย่างรอบคอบ ระบุยังไม่มี ส.ส.ถอนรายชื่อรับรองญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ

นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงข่าวที่ ส.ส.กลุ่มอีสานพัฒนา พรรคพลังประชาชน จะถอนชื่อออกจากญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ยังไม่ทราบว่ามีใครถอนหรือไม่ถอนรายชื่อ ทราบเพียงข่าวจากสื่อมวลชนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม จำนวนสมาชิกรัฐสภาที่ลงชื่อสนับสนุนญัตติฯ ยังอยู่ที่ 134 คน ยังไม่มีผู้ถอนรายชื่อ ส่วนการเคลื่อนไหวคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญของ 51 ส.ว.นั้น ส่วนตัวเห็นว่า ส.ว.ดังกล่าวไม่ได้ลงชื่อสนับสนุนญัตติ เพราะไม่เห็นด้วย ดังนั้น กลุ่ม ส.ว.จึงมีสิทธิ์ในการอภิปรายคัดค้านในห้องประชุมสภาฯ อยู่แล้ว

“ผมไม่ได้มองอะไร เขาก็ทำถูกต้องตามความคิดเห็นในฐานะที่เป็น ส.ว.ทั้งสรรหาและเลือกตั้ง เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้วที่เขาจะแสดงความคิดเห็น ถ้าจะคัดค้านขอให้ทำในรัฐสภาก็แล้วกัน” นายชัย กล่าว

เมื่อถามว่า การคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะมีผลต่อการเปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญ ในวันที่ 9 มิ.ย.นี้ หรือไม่ ประธานสภาฯ กล่าวว่า ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญจะยังไม่เข้าสู่การพิจารณาทันที ตนขอพิจารณาอย่างรอบคอบ ขอดูเหตุผลของประชาชนทั้งประเทศว่า เหตุผลความเดือดร้อนของประชาชนสำคัญกว่าปัญหารัฐธรรมนูญหรือไม่

ต่อข้อถามว่า หากพิจารณาเห็นว่าปัญหาเศรษฐกิจหนักกว่าปัญหารัฐธรรมนูญ จะชะลอการบรรจุญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญไปก่อนหรือไม่ นายชัย กล่าวว่า เมื่อเปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญแล้ว หากรายชื่อผู้สนับสนุนญัตติยังสมบูรณ์ คือ มีผู้สนับสนุนเกิน 126 คน ประธานรัฐสภาจะต้องบรรจุญัตติเข้าสู่การพิจารณา หากไม่ทำเช่นนั้นจะถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

เมื่อถามว่า รัฐบาลได้ประสานเสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.... เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ หรือยัง ประธานสภาฯ กล่าวว่า ยังต้องรอดูว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะส่งเรื่องมาให้สภาฯ พิจารณาหรือไม่. - สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-29 14:31:52

มท.1 ตั้ง ฉก.ปราบยาเสพติด มีอำนาจคลุมทั่วประเทศ


ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จะมีคำสั่งตั้งคณะอนุกรรมการสืบสวนปราบปรามและประชาสัมพันธ์ขึ้นเพียงชุดเดียว แต่จะมีประสิทธิภาพ มีอำนาจตรวจค้นจับกุมได้ทั่วประเทศ โดยจะมีตำรวจระดับผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติขึ้นไปเป็นประธาน และเป็นการสนธิการทำงานระหว่างทหาร ตำรวจ และพลเรือน รวมกว่า 30 คน โดยจะไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น และไม่ใช่ชุดเฉพาะกิจของกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ เพื่อให้การทำงานคล่องตัว แก้ปัญหาอิทธิพลในพื้นที่ได้. – สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-29 14:31:40

ผบ.ทบ.ลงนามปรับย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน 98 นาย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (29 พ.ค.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ลงนามในคำสั่งกองทัพบก ที่ 155/2551 เรื่องให้นายทหารรับราชการและปรับเงินเดือน จำนวน 98 นาย โดยให้มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ซึ่งการปรับย้ายครั้งนี้เป็นการปรับย้ายในระดับผู้บังคับหน่วยระดับกองพัน โดยมีตำแหน่งที่น่าสนใจ อาทิ พ.ท.บรรยง ทองน่วม ผู้บังคับกองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็ก รักษาพระองค์ เป็นฝ่ายยุทธการกองทัพภาคที่ 1 พ.ท.จักรกฤษณ์ ศรีนนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการกองฝ่ายส่งกำลังบำรุง กองทัพน้อยที่ 1 และอดีตนายทหารคนสนิท พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้บังคับกองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็ก รักษาพระองค์ พ.อ.เรืองศักดิ์ อรรคทิมากูล เสนาธิการกรมทหาราบที่ 19 เป็นรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 9 พ.ท.ฐกัด หลอดศิริ ผู้บังคับกองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 19 เป็นเสนาธิการกรมทหารราบที่ 19 พ.ท.วิวัฒน์ หงส์บันดาลสุข หัวหน้าฝ่ายส่งกำลังบำรุง กองพลทหารราบที่ 9 เป็นผู้บังคับกองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 19

พ.ท.เวชยันต์ แว่นไธสงค์ หัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน กองพลทหารราบที่ 9 เป็นผู้บังคับกองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 19 พ.ท. กฤษดา ปานทับทิม หัวหน้าฝ่ายยุทธการ กองพลทหารราบที่ 4 เป็นผู้บังคับกองพันที่ 4 กรมทหารราบที่ 4 พ.อ.ทิม เรือนโต ผู้บังคับการกรมทหาพรานที่ 41 เป็นเสนาธิการกรมทหารราบที่ 25 และ พ.อ.สัญญลักษณ์ ทั่งศิริ ฝ่ายยุทธการ กองทัพภาคที่ 1 เป็นผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 14.-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-29 14:29:27

ร.ต.อ.เฉลิม ระบุเป็นเรื่องดีหาก ดวง อยู่ ฉก.ปราบยาเสพติด


กรุงเทพฯ 29 พ.ค. - ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกระแสข่าวกรณีว่าที่ ร.ต.ดวง อยู่บำรุง บุตรชาย จะถูกขอตัวไปช่วยราชการกับชุดเฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ยังไม่มีการขอตัว และยังไม่ได้คิดว่าจะไปช่วยราชการหรือไม่ ส่วนกรณีที่ก่อนหน้านี้บุตรชายไปช่วยงานกับชุดเฉพาะกิจดังกล่าวนั้น เป็นการช่วยงานในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ซึ่งเป็นลักษณะของอาสาสมัครที่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม หากมีการขอไปช่วยราชการจริง ก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นการทำหน้าที่ช่วยชาติ ไม่ได้เป็นหัวหน้าโจร. - สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-29 14:25:51

ร.ต.อ.เฉลิม ปัดย้ายที่หารือ รมต.พปช.ไม่ใช่เพราะถูกรังเกียจ


กรุงเทพฯ 29 พ.ค. - ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า การนัดหารือและร่วมรับประทานอาหารเย็นระหว่างรัฐมนตรีพรรคพลังประชาชน วันพรุ่งนี้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ได้เปลี่ยนสถานที่จากบ้านริมคลองของตนไปเป็นที่ทำการพรรคพลังประชาชน หลังการประชุมพรรคแทน

“การยกเลิกดังกล่าวเป็นเรื่องปกติ เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตัดสินใจ ไม่ใช่เพราะรัฐมนตรีในพรรคไม่อยากไปบ้านผมแต่อย่างใด” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว. - สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-29 14:22:31

บรรหาร พร้อมทำความเข้าใจ ณัฐวุฒิ เกี่ยวกับกฎระเบียบในพรรค


นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนร่วมประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดพัฒนากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ รองเลขาธิการพรรคชาติไทย ยื่นหนังสือให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ทบทวนท่าทีของนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และไม่เห็นด้วยในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ยังไม่เห็นหนังสือดังกล่าว และเพิ่งทราบจากข่าว อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้พบกับนายณัฐวุฒิ แต่คิดว่าคงจะทำความเข้าใจและตักเตือนได้

“หากมองอีกมุม นายณัฐวุฒิอาจคิดว่าเป็นเอกสิทธิ์ส่วนบุคคล แต่เมื่ออยู่ในพรรค ต้องมีระเบียบวินัย ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีการพูดคุยกัน และไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างไรก็ตาม ได้มีการหารือกับผู้ใหญ่ในรัฐบาลแล้ว ซึ่งไม่มีข้อวิตก และไม่มีปัญหา ทุกอย่างจบแล้ว” นายบรรหาร กล่าว. - สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-29 14:05:00


หมอเลี้ยบฝากทูตไทยแจงสถานการณ์การเมืองไทย

นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าววานนี้ (28 พ.ค.) ว่า ได้ฝากให้เอกอัครราชทูตไทยในที่ประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทย ประจำปี 2551 ช่วยชี้แจงสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งรัฐบาลไทยยังเชื่อมั่นว่า ทุกอย่างจะเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และจะไม่เกิดเหตุการณ์รัฐประหารอีก เนื่องจากทุกฝ่ายรู้ดีว่า การกระทำดังกล่าวส่งผลเสียต่อประเทศชาติ


กฎหมายกับการเมือง

ระหว่าง หลักนิติศาสตร์กับหลักรัฐศาสตร์ ระหว่างการบังคับใช้กฎหมายกับใช้อำนาจในการปกครอง เหมือนดาบสองคม ถ้าไปด้วยกันได้อย่างสมดุล จะเกิดประโยชน์กับผู้ถูกปกครองและผู้ปกครองอย่างมหาศาล แต่ถ้าปีนเกลียวกันเมื่อไหร่ จะนำมาซึ่งความหายนะอย่างใหญ่หลวง

เหมือนลิ้นกับฟัน

ถึงอย่างไรก็แยกกันไม่ออก ซึ่งถ้าจะดูกันในรายละเอียดเช่นเดียวกับวิกฤติการเมืองที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เมื่อใช้กฎหมายโดยไม่เที่ยงธรรมก็เกิดการโต้แย้งขัดขืน เมื่อปกครองไม่เที่ยงธรรมก็มีการแข็งขืนเช่นกัน

ฟังว่า รัฐบาลจะไม่สลายการชุมนุม ตราบใดที่ยังเป็นการชุมนุมโดยไม่ขัดกับกฎหมาย แต่ถ้าผิดกฎหมายเมื่อไหร่ก็ต้องจับทันที ไม่ยกเว้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผมว่าฝ่ายรัฐบาลไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่ว่ารัฐบาลจะทำอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง เพราะมีแต่เสียกับเสียลูกเดียว

ที่น่ากลัวคือมือที่มองไม่เห็น

ถ้าปล่อยให้การชุมนุมยืดเยื้อก็จะควบคุมลำบาก วันดีคืนดีมีคนโยนอะไรเข้าไปในที่ชุมนุมมีการบาดเจ็บล้มตายขึ้นมา รับรองยุ่งตายหะ หมากเกมนี้จะยุติลงอย่างไรยากที่จะคาดเดา อยู่บนความหมิ่นเหม่

ระหว่างกฎหมายกับการเมือง

ฟังมาว่า คตส.ตัดสินใจส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดส่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ข้อหาใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจตนเองและพวกพ้อง และร้องให้ยึดทรัพย์สินจำนวนกว่า 7 หมื่นล้านเป็นของแผ่นดิน ดูจากคำบรรยายส่งฟ้องแล้วน่ากลัวชวนขนหัวลุก

แถมด้วยกรณีการจัดซื้อเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์อีกกระทง ทีนี้ปัญหาอยู่ที่ว่า คตส.ยังมีอำนาจอยู่หรือไม่ เนื่องจากอยู่ในระหว่างการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า การต่ออายุ คตส.และที่มาของ คตส.ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คงต้องว่ากันให้ชอบธรรมและยุติธรรมจริงๆ ก็ยังคาบลูกคาบดอก

ระหว่างกฎหมายกับการเมือง

การจะหาทางออกในวิกฤติรัฐธรรมนูญ แม้แต่วิธีการในระบอบประชาธิปไตย โดยการทำประชามติ ก็ยังครึ่งๆกลางๆ ยังมีข้อขัดแย้งสำหรับรายละเอียดในกฎหมายที่จะทำประชามติ โดยไม่ได้มองจุดหมายสูงสุด คือการแก้รัฐธรรมนูญโดยชอบธรรม แต่กลับบิดเบือนเอาเรื่องของรัฐธรรมนูญไปเป็นชนวนการเมือง

เกิดข้อขัดแย้งระหว่างกฎหมายกับการเมืองอีก

ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นไปอยู่ในเวลานี้ อยู่ที่เจตนาทั้งสิ้น ถ้าอยู่บนเจตนาที่บริสุทธิ์และมองประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง สังคมย่อมจะสงบสุข แต่ถ้าคิดจะเอาสีข้างเข้าถู สังคมก็จะกลายเป็นสงครามไม่สิ้นสุด.

หมัดเหล็ก

จวก “อภิสิทธิ์” ทัศนคติอันตราย

ส่วนกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านฯและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมายืนยันว่านายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ เป็นผู้มีทัศนคติอันตรายต่อสถาบันนั้น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ในฐานะอดีตแกนนำ นปก. กล่าวว่า ทัศนคติ ที่อันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยมีเพียงคนเดียว คือนายอภิสิทธิ์ ที่เสนอให้ใช้มาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ กรณีการบรรยายของนายจักรภพ หากนายอภิสิทธิ์เห็นว่าทำผิดขอให้ไปแจ้งความดำเนินคดี ไม่ควรมากล่าวหากัน พรรคประชาธิปัตย์ควรหยุดกล่าวหากันได้แล้ว การไม่หยุดพูดถือเป็นชนวนไปสู่การล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า การที่นายจักรภพโจมตีประธานองคมนตรี เท่ากับโจมตีสถาบันด้วย นายจตุพร ตอบว่า กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่เกี่ยวกับองคมนตรี ถ้าเห็นว่ามีการโจมตีองคมนตรีให้ไปแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาท ทั้งนี้เมื่อองคมนตรีไปเป็นที่ปรึกษาให้คนอื่นก็ไม่ถือว่าเป็นองคมนตรีแล้ว

หนุนหาคนกลางแปลคำบรรยาย

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคประชาธิปัตย์ตั้งข้อสังเกตคำแปล 8 ข้อ ของนายจักรภพมีการบิดเบือนสำนวนการแปล นายจตุพรตอบว่า มองว่าเนื้อหาการแปลไม่แตกต่างกันเท่าไร แต่ทำไมพรรคประชาธิปัตย์ไม่ให้โอกาสนายจักรภพต่อสู้ ตามกระบวนการ เรื่องนี้ควรหาผู้เชี่ยวชาญทางการแปลที่มีความเป็นกลางจริงๆ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญบนเวทีพันธมิตรฯเป็นผู้แปล สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์นำมาขยายความ ถือว่าสร้างความเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตย หากจะอ้างว่าการรับผิดชอบทางการเมือง กับการรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นคนละเรื่องกัน อยากถามพรรคประชาธิปัตย์ว่า ช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกอภิปรายเรื่องคดี สปก.4-01 หรือนายอภิสิทธิ์ พูดถึงเรื่องการใช้มาตรา 7 นั้น พรรคประชาธิปัตย์ได้แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองอย่างไร

“ณัฐวุฒิ” ปัด “จักรภพ” นัดดีเบต

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ว่า นปก.จะนัดหารือกับนายจักรภพ เพื่อหาข้อสรุปเรื่องการนัดคำท้า ดีเบตจากพรรคประชาธิปัตย์กรณีการหมิ่นสถาบันว่า ยืนยันไม่ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ และ นปก.ไม่มีการนัดหมายเจอกับนายจักรภพ เพื่อหารือในเรื่องดังกล่าว ขณะนี้นายจักรภพอยู่ระหว่างพักการปฏิบัติหน้าที่ 7 วัน ตามที่ยื่นใบลาจาก นายกฯ ซึ่งจะครบกำหนดกลับมาทำงานวันที่ 2 มิ.ย. การจะรับดีเบตหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายจักรภพ ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า มีคำแปล 8 จุดของนายจักรภพ ที่มีเนื้อหาบิดเบือนนั้น เรื่องนี้คำแปลของทั้งนายจักรภพและพรรคประชาธิปัตย์ไม่ตรงกันมาแต่แรก ทั้งสองฝ่ายต่างมั่นใจในคำแปลของตัวเอง แต่คนที่จะพิจารณาและประเมินได้ดีที่สุดคือ ประชาชนที่ติดตามข่าวสารเรื่องนี้มาตลอด จะเป็นผู้เปรียบเทียบคำแปลของทั้งสองฝ่ายเอง

ท้าพิสูจน์ความเป็นจริงและเหตุผล

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า นอกจากนี้ทราบว่าตำรวจได้จัดทำคำแปลเรื่องนี้ไว้แล้วชุดหนึ่ง และได้ไปสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องกับการจัดบรรยาย ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ไว้บ้างแล้ว ตำรวจก็ทำงานคืบหน้าไปเรื่อยๆ ดังนั้นคำแปลของทั้งสองฝ่าย สังคมต้องใช้วิจารณญาณ ส่วนกรณีที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่านายจักรภพไม่ควรยกระดับตัวเองไปดีเบตกับนายอภิสิทธิ์นั้น ไม่อยากให้มองเรื่องนี้เป็นการยกระดับหรือลดระดับบนเวทีการเมือง เพราะในระบอบประชาธิปไตยทุกคนมีสิทธิ เสมอภาคเท่ากัน ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายจักรภพ จะต่างกันแค่นายจักรภพไม่เคยเป็นหัวหน้าพรรคเหมือนนายอภิสิทธิ์เท่านั้น แต่ความเป็นจริง เหตุผลและความบริสุทธิ์ใจต่างหากที่จะทำให้ดูแตกต่างกัน

“กุเทพ” บ่ายเบี่ยงโดดอุ้ม “จักรภพ”

ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ไม่ขอแสดงความเห็นเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเปิดเผยคำแปล ที่นายจักรภพไปบรรยายที่สโมสร ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เพียงแต่เห็นว่าคำแปลทั้งของนายจักรภพและพรรคประชาธิปัตย์มีความสมบูรณ์ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ต้องว่ากันต่อไป เมื่อถามว่า พรรคยังหนุนนายจักรภพสุดตัวหรือไม่ ร.ท.กุเทพบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถาม โดยระบุว่าไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี


กลุ่มพันธมิตรฯ แจกคู่มือเตรียมพร้อมหาก ตร.สลายการชุมนุม

สะพานมัฆวานฯ 29 พ.ค.-กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแจกคู่มือเตรียมพร้อม หากตำรวจเข้าสลายการชุมนุม

การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ต้องยุติลงชั่วคราว เมื่อเกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก หลังฝนหยุด แกนนำผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีรัฐบาล และประกาศจุดยืนจะชุมนุมยืดเยื้อจนกว่ารัฐบาลจะถอนญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญออกจากรัฐสภา โดยก่อนหน้านี้ แกนนำได้แจกคู่มือการชุมนุม เนื้อหาระบุว่า หากตำรวจสลายการชุมนุม อย่าวิ่งหนี แต่ให้นอนคว่ำ หรือหากตำรวจใช้แก๊สน้ำตาขอให้ใช้ผ้าเปียกน้ำปิดดวงตา

ส่วนการรักษาความปลอดภัย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปอำนวยการด้วยตนเอง พร้อมสั่งการเร่งเจรจาให้ผู้ชุมนุมเปิดเส้นทาง เนื่องจากประชาชน นักเรียน นักศึกษา กำลังเดือดร้อนอย่างหนัก จนมีผู้เข้าแจ้งความแล้ว 167 คน หากจะเคลื่อนขบวนไปชุมนุมสถานที่เหมาะสม ตำรวจพร้อมดูแลความปลอดภัยอย่างเต็มที่ และจะไม่อนุญาตให้เคลื่อนไปชุมนุมในสถานที่ราชการอย่างเด็ดขาด

ส่วนการชุมนุมใหญ่วันศุกร์นี้ มั่นใจสามารถดูแลสถานการณ์ได้ โดยตำรวจเตรียมนำแผงเหล็กไปกั้นบริเวณสะพานผ่านฟ้า เพื่อป้องกันการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับกลุ่มต่อต้าน.-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-29 01:17:28


รมว.กลาโหม กำชับกองทัพช่วยประชาชนหากเกิดภัยพิบัติ


กรุงเทพฯ 28 พ.ค. - พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ รองโฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหม ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณกองทัพไทยที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพายุไซโคลนนาร์กีสในสหภาพพม่า และการที่ไทยเป็นประเทศแรกที่ให้การช่วยเหลือ นับเป็นผลดีอย่างมากต่อภาพลักษณ์และการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศพม่ามากขึ้น

รองโฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า สิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นห่วง คือ อุบัติภัยที่เกิดกับพม่าและจีน ซึ่งมีที่ตั้งติดกับประเทศไทย ประกอบกับในห้วงเวลานี้เป็นห้วงฤดูฝน มีฝนตกหนัก อาจทำให้เกิดภัยพิบัติในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง จึงขอให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพที่จัดตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยของหน่วยไว้แล้ว เตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนด้วย. - สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-28 19:17:04


กกต.ยกร่างกฎหมายประชามติเสร็จแล้ว

สำนักงาน กกต. 28 พ.ค.- คณะกรรมการด้านกิจการพรรคการเมือง กกต.ยกร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. เสร็จแล้ว มี 42 มาตรา เตรียมเสนอที่ประชุม กกต. พิจารณา พรุ่งนี้ (29 พ.ค.)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการด้านกิจการพรรคการเมือง ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีการประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.... โดยเห็นชอบเนื้อหาสาระที่คณะกรรมการยกร่างเสนอมา และจะมีการนำเข้าสู่ที่ประชุม กกต.ในวันพรุ่งนี้ ( 29 พ.ค.) ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวมี 42 มาตรา เนื้อหาสาระเป็นการผสมผสานระหว่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2541 ประกาศสภาร่างรัฐธรรมนูญเรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญและการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2550 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความเรียบร้อย ในการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2550 รวมทั้งมีการนำบางมาตราใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 มาใส่ไว้ด้วย

สาระสำคัญในการออกเสียงประชามติ พ.ศ. ....ประกอบด้วย มาตรา5 ในกรณีที่จะมีการดำเนินการจัดทำประชามติ ตามมาตรา 165 ( 1) ของรัฐธรรมนูญ ให้มีการออกประกาศของนายกรัฐมนตรี เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยจะต้องมีรายละเอียด 1. กำหนดเรื่องในการจัดทำประชามติ ซึ่งจะต้องมีข้อความที่ชัดเจนเพียงพอ ที่จะขอคำปรึกษาจากผู้มีสิทธิออกเสียงว่า จะลงคะแนนเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ในเรื่องที่จะจัดทำประชามติ 2. กำหนดว่าการจัดให้มีการออกเสียง ดังกล่าวเป็นไปเพื่อให้มีข้อยุติ โดยเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียงหรือ เป็นไปเพื่อให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรี

มาตรา 6 เมื่อมีประกาศของนายกรัฐมนตรีให้มีการออกเสียงประชามติแล้วภายใน 7 วัน ให้ กกต. ประกาศกำหนดวันออกเสียงประชามติในราชกิจจานุเบกษา โดยวันออกเสียง ต้องไม่ก่อน 45 วัน แต่ไม่ช้ากว่า 90 วัน นับแต่วันประกาศกำหนดวันออกเสียงประชามติในราชกิจจานุเบกษา และการออกเสียงประชามติต้องกระทำภายในวันเดียวกันทั่วราชอานาจักร หรือวันเดียวกันทั้งเขต ออกเสียง แล้วแต่กรณี

มาตรา 7 การออกเสียงให้ใช้วิธีการการออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ มาตรา 8 ผลการออกเสียงกรณีที่เป็นการออกเสียง เพื่อให้มีข้อยุติโดยเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียง หากปรากฏว่า ผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเป็นจำนวนไม่เกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงให้ถือว่าประชาชนโดยเสียงข้างมาก ไม่เห็นชอบด้วยกับเรื่องที่จัดทำประชามติ แต่ถ้ามีผู้มาใช้สิทธิเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงและปรากฏว่า ผู้ออกเสียงโดยเสียงข้างมากให้ความเห็นชอบให้ถือว่าประชาชนโดยเสียงข้างมากเห็นชอบด้วยกับเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น

มาตรา 10 เมื่อมีประกาศกำหนดการออกเสียงประชามติแล้ว ให้ กกต.หรือผู้ซึ่ง กกต.มอบหมายดำเนินการให้ข้อมูลและจัดให้มีการเผยแพร่เอกสารเกี่ยวกับเรื่องที่จัดทำประชามติ เพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงทราบ รวมทั้งจัดให้มีการแสดงความคิดเห็นโดยอิสระและเท่าเทียมกัน ทั้งผู้ที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบในเรื่องที่จัดทำประชามติ

มาตรา 20 การลงคะแนนในบัตรออกเสียงประชามติให้ผู้ออกเสียงทำเครื่องหมายกากบาท ในช่องทำเครื่องหมายใต้ข้อความแสดงความคิดเห็นที่ผู้ออกเสียงเลือก มาตรา 21 ในวันออกเสียงประชามติให้เปิดการลงคะแนนออกเสียงตั้งแต่เวลา 08.00 น.ถึง 15.00 น.

มาตรา 24 กรณีที่การออกเสียงประชามติกระทำทั่วราชอาณาจักร ผู้มีสิทธิออกเสียงผู้ใดอยู่ในจังหวัดอื่น นอกจังหวัดที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านติดต่อกันเป็นเวลาน้อยกว่า 90 วัน หากประสงค์จะใช้สิทธิออกเสียงในจังหวัดที่ตนเองอยู่ต้องมาลงทะเบียนขอใช้สิทธิออกเสียงนอกเขตจังหวัดก่อนวันออกเสียงไม่น้อยกว่า 30 วัน

มาตรา 33 เมื่อได้ผลการออกเสียงประชามติจากที่ออกเสียงทุกแห่งแล้วให้ กกต.ประกาศผลการออกเสียง และจำนวนผู้มาใช้สิทธิออกเสียง และหากเป็นการใช้สิทธิออกเสียงประชามติ ตามมาตรา 165 ( 1 ) ของรัฐธรรมนูญให้ประกาศในราชกิจานุเบกษาโดยเร็วและแจ้งผลไปยังนายกรัฐมนตรีหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องทราบ

มาตรา 34 เมื่อสิ้นสุดการลงคะแนนออกเสียงหากผู้มาใช้สิทธิจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของผู้มาใช้สิทธิในหน่วยออกเสียงใดเห็นว่าการออกเสียงในหน่วยนั้นไม่สุจริตเที่ยงธรรม ให้มีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านพร้อมแสดงหลักฐานว่าการออกเสียงนั้นไม่ถูกต้อง หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อ กกต.ภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่การลงคะแนนออกเสียงสิ้นสุดลง

มาตรา 35 เมื่อ กกต.ได้รับคำร้องคัดค้านแล้วก็ให้ดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยพลัน ถ้าเห็นว่าการลงคะแนนออกเสียงในหน่วยออกเสียงนั้นไม่สุจริตเที่ยงธรรมให้มีคำสั่งให้ดำเนินการออกเสียงใหม่ในหน่วยออกเสียงนั้น เว้นแต่จะไม่ทำให้ผลการออกเสียงเปลี่ยนแปลงไปให้ กกต.มีคำสั่งยกคำร้องคัดค้าน

ส่วนเรื่องบทลงโทษ เริ่มจากมาตรา 36-42 นั้นเป็นการนำบทลงโทษที่เคยกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ว่าด้วยความเรียบร้อยในการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาใส่ไว้ทั้งหมด อาทิ ผู้ใดกระทำการในระหว่างการลงคะแนนออกเสียง เช่น ใช้บัตรอื่นที่ไม่ใช่บัตรออกเสียงมาลงคะแนนออกเสียง ก่อความวุ่นวายขึ้นในที่ออกเสียงอันเป็นการรบกวนหรือเป็นอุปสรรต่อการออกเสียง หรือเล่นการพนันขันต่อ อันมีผลจูงใจให้ผู้มีสิทธิอกเสียงไปใช้สิทธิออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เรียกรับทรัพย์สินประโยชน์ มีโทษทั้งจำทั้งปรับ เริ่มตั้งแต่ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นถึง 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจถูกศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง มีกำหนดไม่เกิน 5 ปีด้วย และยังเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้ที่ได้รับทรัพย์หรือประโยชน์ เพื่อให้ไปใช้สิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ไปออกเสียง ถ้ามีการแจ้งถึงการกระทำดังกล่าว ต่อ กกต.หรือผู้ที่ กกต. มอบหมายก่อนหรือในวันออกเสียงผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

ส่วนการเผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการออกเสียงมีการขยาย โดยห้ามในช่วง 7 วันก่อนวันออกเสียงจนถึงเวลาสิ้นสุดวันออกเสียง จากเดิมที่กำหนดไว้เพียง 3 วันก่อนวันออกเสียงจนถึงเวลาสิ้นสุดการออกเสียง. - สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-28 19:05:16


คอลัมน์ : สามเหลี่ยมดินแดง

** สวัสดีท่านผู้อ่าน หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ รายวัน พบกันเป็นปีที่ 1 ฉบับที่ 162 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2551 อยู่กับ แทง แทนไท ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่ปกติ มีการสมคบวางแผนการอันแยบยลในการสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นในชาติ เพื่อหวังให้ ท.ทหาร เข้ามาทำการปฏิวัติรัฐประหาร ยึดอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยไปอีก ขอเตือน! แต่คราวนี้คิดจะทำปฏิวัติรัฐประหาร ไม่ง่ายเสียแล้ว เพราะประชาชนจับไต๋ คลำทางถูกแล้ว ทำนายว่าจะมีกลุ่มต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหารเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน จะมีการเสียเลือดเสียเนื้อครั้งประวัติศาสตร์ เพราะ ประชาชนผู้รักชาติและประชาธิปไตย ไม่ยอมแล้ว!

** น่าแปลกไหม? สื่อสารมวลชนไทย ทำไม จึงไม่ให้ความสำคัญในเป้าหมายการเคลื่อนไหว เพื่อการ ทำปฏิวัติรัฐประหาร ของ กลุ่มพันธมารเพื่อประชาธิปไตย ที่กำลัง ป่วนบ้านป่วนเมือง! กันอยู่เวลานี้ หรือจงใจจะ ปกปิด ปิดบัง อำพราง หรือ ไม่รู้จริงๆ เป็นที่น่าสงสัยยิ่งนักกับท่าทีของสื่อสารมวลชนหลายแขนง ที่รายงานข่าวให้กับคนกลุ่มนี้เหมือน ฮีโร่ ก็ไม่ปาน มาชุมนุมกัน 4-5 พัน บอกว่า มาเป็นหมื่น ไม่รู้ว่าความเป็นกลาง เป็นธรรม มันอยู่ตรงไหนกัน

** ความหวัง ความพยายาม ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองใน วิถีทางที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย คนพวกนี้ไม่กล้าพูดตรงๆ แต่จากพฤติกรรมที่ผ่านมา และจากการรับฟังบน เวทีปราศรัย สภาวการณ์แวดล้อม ล้วนบ่งบอกถึงแนวทาง จุดประสงค์

** ขนาดแกนนำต้องขึ้นเวทีปลุกระดมให้คนในม็อบช่วยกันโทรศัพท์เรียกพ่อ แม่ พี่ น้อง มาร่วมชุมนุม แสดงว่าอะไร แสดงว่าคนไม่เอาด้วยแล้ว จะเรียกอย่างไรเขาก็ไม่มา ธรรมดาเมื่อก่อน เหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหาร เคยเห็นคนพวกนี้แคร์ประชาชน เรียกประชาชนด้วยตนเองแบบนี้ไหม? หรือเพราะมีการจ้างคนมากันตามที่ ประชาชนใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เขาบอกจริงๆ มาครั้งนี้ ทีพีไอ ไม่ให้เงิน เลยแบะ...แบะ...ไม่มีเงินจ้างคน

** เมื่อเรารู้ว่าฝ่ายหนึ่ง ปลุกม็อบ สร้างกระแสเพื่อ หวังโค่นล้มรัฐบาล ด้วยวิถีทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เรียกร้อง ทหารมาทำการปฏิวัติรัฐประหาร เป็นที่น่ายินดีว่า กลุ่ม “ประชาชนสนามหลวงต่อต้านการรัฐประหาร” ได้จัดตั้งแกนนำขึ้นอย่างเป็นระบบแล้ว โดยมี นายสุรชัย แซ่ด่าน เป็นคนคุมเกม เขาฝาก แทง แทนไท มาบอก พ่อแม่พี่น้องคนไหนไม่เห็นด้วยกับ “พันธมารประชาธิปไตย” ไม่เห็นด้วยกับการเดินเกมเพื่อการปฏิวัติรัฐประหาร เชิญไปร่วมกับ “กลุ่มประชาชนสนามหลวงเพื่อต่อต้านการรัฐประหาร” ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

** แกนนำกลุ่มประชาชนสนามหลวงต่อต้านการรัฐประหาร บอกด้วยว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มเขายืนยันว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ ทั้งสิ้น และจะไม่เคลื่อนผู้ชุมนุมไปชนกับ พันธมารเพื่อการรัฐประหาร อย่างเด็ดขาด ถ้า พันธมารเพื่อการรัฐประหาร ไม่เคลื่อนที่ไปไหน ก็จะไม่เคลื่อนที่ออกจากสนามหลวงอย่างแน่นอน ส่วนจะ นัดชุมนุมใหญ่เพื่อแสดงพลัง วันไหน ยังไม่แจ้งมา

** แทง แทนไท มองว่า เป้าหมายของ พันธมารประชาธิปไตย ไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว งานนี้มีประชาชนผู้รักชาติและประชาธิปไตยออกมาเป็น แนวหน้าต่อสู้กับพวกป่วนเมือง อย่าง เป็นรูปธรรม ไม่ต้องมาเถียงว่าคนในสนามหลวงเป็น นปก. หรือ นปช. หรือไม่ อีกต่อไป เพราะไม่ว่าจะเป็น คนคุ้นหน้า หรือ คนหน้าใหม่ ล้วนมีจุดประสงค์เป้าหมายเดียวกันคือ จุดประสงค์ จุดมุ่งหมาย เพื่อการปกป้องรักษาไว้ ซึ่งการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ใครคิดทำการนอกเหนือจากนี้ ประชาชนจะไม่ยอมรับอย่างแน่นอน!

** ตระเตรียมการศึกไว้กาลบัดนี้ฤๅ...ศึกติดจะคิดแก้ ห่อนได้ ทันควัน...คือคำกลอนของนักรบที่เตือนใจตลอดเวลา น่าจะเอามาใช้ในยามนี้ สำหรับประชาชนที่คิดจะปกป้องประชาธิปไตย ต้องช่วยกันเตรียมวางแผน ในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทุกวิธีการ ทุกรูปแบบ หากมีการนำกองกำลังทหารเข้ามาทำการปฏิวัติรัฐประหาร อีก อย่าให้เขาทำได้โดยง่าย เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา

** แทง แทนไท ว่า 1 ชีวิตนี้จะต้องทำเพื่อชาติบ้านเมือง ในฐานะที่ต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน ในเมื่อมีการปฏิวัติรัฐประหาร มีการ ปล้นอำนาจอธิปไตยไปจากปวงชนชาวไทย แล้ว เราจะมีชีวิต อยู่ไปทำไม หากบ้านเมืองไม่มีความเป็นประชาธิปไตย เราทุกคนผู้รักชาติและประชาธิปไตย ต้องร่วมมือร่วมใจกันในการกระทำทุกวิถีทาง เพื่อสกัดกั้น ยับยั้ง ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติบ้านเมืองของเรา หลายคนบอกว่า มือเปล่าหรือจะสู้ปืน!...แต่ แทง แทนไท เชื่อว่า ไม่มีใครอยากจะเป็นผู้นำมือเปื้อนเลือด ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลป่นปี้ หาแผ่นดินตายไม่ได้เป็นแน่แท้ ในทางรัฐศาสตร์การปกครองสมัยใหม่ ย่อมรู้กันดีว่า โลกยุคใหม่ ไม่มีพลังใดจะใหญ่เท่า “พลังของประชาชน”

** หันมามอง “เสี่ยตือ” สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล หลังจากที่ลึกๆ ลับๆ กับบ้านใหม่ ที่ วัดพระธรรมกาย ได้ยื่นตรวจสอบถึงทรัพย์ศฤงคาร ถามหาที่มาอันโปร่งใสหรือไม่ ปรากฏว่า ไปสร้างความลึกๆ ลับๆ เพิ่มขึ้นมาอีก ในการไปชมฟุตบอล ชิงแชมป์ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก หรือ ศึกฟุตบอลสโมสรยุโรป ซึ่งจัดที่ประเทศรัสเซีย มีคู่ชิงสมน้ำสมเนื้อ แมนฯ ยูไนเต็ด กับ เชลซี ที่มีค่าตั๋วชมฟุตบอลแมชช์นี้ราคาหลายบาท ไม่เท่าไร ที่น่าสงสัยคือ ค่าเครื่องบินไปท่องแดนรัสเซีย ชั้นอะไร เฟิร์สคลาส พร้อมคณะ 3 ที่นั่ง นั้นราคาร่วมครึ่งล้าน กลิ่น ตุตุ! เพราะค่าเครื่องบินไปรัสเซียไม่ใช่น้อยๆ คนละไม่ต่ำกว่า 2-3 แสนบาท ไปกันตั้ง 3 คน เจ้ามือ หรือ มือควัก คือ ใคร? ไม่รวมค่าตั๋ว ค่ากิน ค่าห้องหับ ค่าที่นอน หมอนมุ้ง

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker