บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

ดีเอสไอส่งสำนวนเงิน 258 ล้านให้ กกต.สอบ สัปดาห์หน้า

ที่มา MCOT News

กกต. 2 มี.ค.- “สดศรี” เผยสัปดาห์หน้าดีเอสไอเตรียมส่งสำนวนเรื่องการบริจาคเงิน 258 ล้านบาทเข้าพรรค ปชป. และปัญหาการใช้เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองผิดวัตถุประสงค์ให้ กกต.สอบ ชี้หากพบผิดจริง กก.บห.พรรคในปี 48 ต้องถูกดำเนินคดีตาม กม.

นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะส่งสำนวนสอบสวนเส้นทางการเงิน 258 ล้านบาท ของบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่บริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์ และเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 23 ล้านบาท ที่อาจใช้เงินผิดวัตถุประสงค์มาให้ กกต.สอบตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง ว่า ขณะนี้ กกต.ได้รับการติดต่อจากดีเอสไอแล้วว่า จะให้ กกต.ตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอ ลงนามพร้อมที่จะส่งข้อเท็จจริงมาให้ กกต. ซึ่ง กกต.จะต้องตั้งอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและขอพยานหลักฐานจากดีเอสไอ เพื่อ กกต.จะได้รู้ว่า มีเส้นทางการเงินอย่างไร

นางสดศรี กล่าวว่า ดีเอสไอจะส่งสำนวนเรื่องการบริจาคเงิน 258 ล้านบาท และเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองจำนวน 23 ล้านบาท ที่ใช้ผิดวัตถุประสงค์ของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2548 รวมทั้งข้อมูลเรื่องเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองที่นำไปให้บริษัทเมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด มาให้ กกต.ด้วย เพราะดีเอสไอระบุว่า เรื่องนี้ต้องให้ กกต.สอบ เพราะเกี่ยวข้องการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง เป็นเรื่องที่ กกต.พิจารณาโดยตรง ไม่ใช่ดีเอสไอ ส่วนเส้นทางการเงินจะเกี่ยวข้องกับบริษัทเมซไซอะฯ หรือไม่ ดีเอสไอจะส่งสำนวนมาให้ กกต.ในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ หากดีเอสไอส่งสำนวนการสอบสวนมาได้ทั้งหมด กกต.คงพิจารณาไม่นาน

“กกต.จะต้องดูหลักฐานจากดีเอสไอที่สอบไปแล้วว่า บุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการบริษัท เมซไซอะฯ เกี่ยวข้องอะไรกับการนำเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองจำนวน 23 ล้านบาทไปใช้เป็นค่าโฆษณา ซึ่ง กกต.จะพิจารณาเพียงว่า มีการใช้เงินผิดประเภทหรือไม่ เป็นตามโครงการของ กกต.หรือไม่” นางสดศรี กล่าว

นางสดศรี กล่าวว่า ส่วนบทลงโทษหากนำเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองไปใช้ผิดวัตถุประสงค์นั้น หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคในขณะนั้นอาจต้องถูกลงโทษทางอาญา โดยจำคุกและปรับ ส่วนจะถึงขั้นยุบพรรคหรือไม่ คงต้องมาดูข้อเท็จจริงอีกครั้ง เพราะในช่วงปี 2548 ยังใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 อยู่ ซึ่งโทษในมาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่เกี่ยวกับยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งนั้น ในรัฐธรรมนูญปี 2540 ไม่มี ดังนั้น จึงมีปัญหาว่าจะยุบพรรคได้หรือไม่ คงต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า จะย้อนหลังได้หรือไม่ และเรื่องนี้หากพบว่ามีความผิดจริง กรรมการบริหารพรรคในขณะนั้นจะต้องถูกโทษตามกฎหมาย

“กฎหมายปกติจะไม่มีการย้อนหลัง แต่ถ้ามองคดียุบพรรคไทยรักไทยก็ไม่แน่ใจว่าย้อนหลังได้หรือไม่ ทั้งนี้ กกต.จะส่งศาลรัฐธรรมนูญเองหรือไม่ คงต้องดูข้อเท็จจริงก่อนว่า มีการใช้เงินผิดประเภทและเป็นไปตามแผนการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เสนอมายัง กกต.เมื่อปี 2548 หรือไม่ ขอยืนยันเรื่องนี้ กกต.ตรวจสอบไม่ยาก เพราะดีเอสไอได้สอบสวนมาแล้ว กกต.คงนำสำนวนสอบของดีเอสไอมาสอบเป็นประเด็นหลัก รวมทั้งสอบพยานบุคคลตามที่ได้ระบุว่า มีการใช้จ่ายเงินดังกล่าวผิดวัตถุประสงค์ด้วย ทั้งนี้ การนำเงินกองทุนไปใช้ผิดประเภทจะเข้า พ.ร.บ.พรรคการเมือง โดย พ.ร.บ.พรรคการเมืองปี 2541 และปี 2550 ก็มีบทบัญญัติใกล้เคียงกันอยู่แล้ว โทษก็คล้ายกัน” นางสดศรี กล่าว

นางสดศรี กล่าวอีกว่า แม้ กกต.เคยตอบกลับไป ดีเอสไอว่า ไม่พบการใช้เงินผิดแผนการในปี 2548 แต่เป็นการตรวจสอบเฉพาะเอกสารที่มีการว่าจ้างเท่านั้น ยังไม่ได้ตรวจสอบลงไปลึกถึงว่า มีการทำป้ายโฆษณาหาเสียงจริงหรือไม่ ทั้งนี้ หากดีเอสไอมีหลักฐานลึกกว่านั้น ก็เป็นเรื่องที่ กกต.จะเข้าไปพิจารณาว่า บริษัทที่ตรวจสอบบัญชีงบดุลขณะนั้น มีความผิดพลาดหรือไม่.-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2009-03-02 17:58:03

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker