หลังปลาบปลื้มผลสำเร็จมหกรรมอาเซียนซัมมิต จนหัวใจคับซี่โครง ก็ถึงเวลาที่ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องรวบรวมสมาธิ สติปัญญาเดินหน้าแก้ปัญหาของประเทศให้สุดลิ่มทิ่มประตู
หนักที่สุดของที่สุด ก็คือวิกฤติเศรษฐกิจ ที่ส่อเค้าว่าจะเป็นหนังชีวิตเรื่องยาว!!
ถ้ารัฐบาลเอาไม่อยู่ หรือแก้ปัญหาไม่ ถูกจุด จะเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง
วิกฤติเศรษฐกิจจึงเป็นด่านโหดที่ “อภิสิทธิ์” จะต้องฝ่าฟัน
รัฐบาลจะอายุสั้น? หรืออายุยืน? ตัดสินที่ผลงานแก้วิกฤติเศรษฐกิจสถานเดียว!!
สำหรับวิกฤติการเมืองดูเหมือนจะหนัก...
แต่จริงๆก็ไม่หนักเกินรัฐบาลจะรับมือ
“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่ารัฐบาลยังเอา ตัวรอดได้สบายๆ
หนักที่สุดก็แค่ปรับ ครม. เพื่อลดกระแส กดดัน??
เนื่องจากฝ่ายค้านยังไม่มีพลังมากพอ ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
การที่ฝ่ายค้านรีบร้อนยื่นญัตติอภิปราย ไม่ไว้วางใจรัฐบาลเร็วเกินไป ก็ไม่ได้เป็นผลดี
เพราะรัฐบาลนี้เพิ่งเริ่มทำงานแค่ 2 เดือน การทำงานยังไม่เกิดความเสียหาย หรือเกิดผิดพลาดอย่างชัดเจน
การทุจริตถอนทุน ถึงแม้มีกลิ่นตุๆ บ้าง แต่ก็ยังไม่มีใบเสร็จมายืนยัน
พูดชัดๆคือ เงื่อนไขการเมืองยังไม่สุกงอม
ข้อสำคัญ กระแสสังคมส่วนใหญ่ยังให้โอกาสนายกฯอภิสิทธิ์ได้พิสูจน์ฝีมือเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการทำงานแก้ ปัญหาของประชาชน
หากเปลี่ยนรัฐบาล ก็จะทำให้การแก้ ปัญหาต่างๆต้องสะดุดหยุดชะงักไปอีก 3-4 เดือน
สรุปว่าปัจจัยต่างๆ ยังเกื้อหนุนรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้เปิดหวอต่อไป
แต่การที่กติการัฐธรรมนูญมอบอำนาจให้ฝ่ายค้านมีหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล จึงเป็นสิทธิ์ที่ฝ่ายค้านทำได้ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
ถ้าฝ่ายค้านไม่เปิดอภิปรายซักฟอกรัฐบาลในสมัยประชุมนี้ ก็ต้องรอไปอีกนาน เพราะในสมัยประชุมสภาฯหน้า (เดือนพฤษ-ภาคม) รัฐธรรมนูญกำหนดให้สภาฯพิจารณาร่างกฎหมายอย่างเดียว
ถ้าข้อมูลที่ฝ่ายค้านอภิปรายซักฟอกรัฐบาลมีนํ้าหนัก ฝ่ายค้านก็ได้เครดิตไป
แต่ถ้าข้อมูลของฝ่ายค้านไม่มีนํ้า อิ๊ว ฝ่ายค้านก็เสียรังวัดเอง
ส่วนการที่ฝ่ายค้านจะเสนอชื่อใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไม่ใช่เป็นสาระสำคัญ
เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจตัดสินกันที่ผลโหวตในสภาฯ
รัฐบาลมี ส.ส.มากกว่า รัฐบาลก็ชนะ แบเบอร์
“แม่ลูกจันทร์” เห็นว่าการที่พรรคร่วมฝ่ายค้านคือ พรรคเพื่อแผ่นดิน กลุ่ม พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก พรรคประชาราชของ “เสนาะ เทียนทอง” และพรรคราษฎร ของ ส.ส.กลุ่มวาดะห์ ประกาศจะไม่ร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจกับพรรคเพื่อไทย
เท่ากับพรรคเพื่อไทยถูกโดดเดี่ยวให้ลุยถั่วไปพรรคเดียว!!
เมื่อพรรคฝ่ายค้านไม่เป็นเอกภาพ นํ้าหนักการตรวจสอบรัฐบาลก็เบาลง
ถ้ามองอีกมุม แทนที่ฝ่ายค้านจะไม่ไว้วางใจรัฐบาล กลายเป็นฝ่ายค้านไม่ไว้วางใจกันเอง
แม้แต่พรรคเพื่อไทย ซึ่งมี ส.ส.ในสังกัด 183 คน ก็มี ส.ส.หลายคนที่ตัวสังกัดพรรคเพื่อไทย แต่ใจย้ายไปสังกัดกลุ่มเพื่อนเนวิน
ฉะนั้น เมื่อถึงเวลาต้องโหวตไม่ไว้ วางใจรัฐบาล จะมี ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางคนโหวตสวนมติพรรคตัวเอง
เมื่อฝ่ายค้านไม่ไว้ใจกันเอง รัฐบาลก็สบายแฮ.
“แม่ลูกจันทร์”