"เฉลิม"ตบหัวแล้วลูกหลังประธานกกต.บอกเป็นคนดีหลังก่อนหน้าซัดเปลี่ยนไป ลั่นยกคำร้องเมื่อไหร่ฟ้องทันที อดีตรองหน.มัชฌิมาธิปไตย ตั้งข้อสังเกตุกกต.พิจารณาคดีนานผิดปกติ
อดีตบิ๊กมฌ.ตั้งแง่กกต.ดอง"258 ล."
พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย (มฌ.) ซึ่งถูกยุบพร้อมพรรคชาติไทยและพลังประชาชนในอดีตกล่าวถึงเสียงวิจารณ์เรื่องคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มี 2 มาตรฐานในการวินิจฉัยคดีเงินบริจาคนอกระบบของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) 258 ล้านบาท ต่างการพิจารณายุบ 3 พรรคในอดีตว่า กกต. ควรยึดมาตรฐานเดียวกันแม้คดีนี้จะแตกต่างจากคดีของ มฌ. ซึ่งเป็นการพิจารณาต่อเนื่องจากการสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง(ใบแดง)ผู้สมัครส.ส.ของพรรค เนื่องจากคดีปชป. เป็นการดำเนินการตามข้อมูลที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สืบสวนสอบสวนแล้วสรุปผลส่งให้ แต่ที่แปลกใจคือกกต.ใช้เวลาพิจารณาคดีนี้นานผิดปกติ ทั้งที่ได้รับข้อมูลจากดีเอสไอไปแล้วถึง 7 เดือน
“เท่าที่ผมอ่านกฎหมายได้ระบุไว้ชัดเจนว่า เมื่อปรากฏพยานหลักฐานชัดแจ้ง ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองพิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคการเมือง โดยกรณีนี้คนทำหน้าที่หาหลักฐานคือดีเอสไอ ซึ่งเขาต้องมั่นใจในพยานหลักฐานต่างๆ แล้ว ถึงส่งเรื่องให้กกต. แต่กกต. กลับทำเหมือนจะมาสอบใหม่หมด โดยล่าสุดประธานกกต.ก็จะแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูรายละเอียดอีก ทำให้คดีนี้นานผิดปกติต่างจากคดีของ 3 พรรคการเมืองที่ถูกยุบอย่างรวดเร็ว” พ.ต.ท.บรรยินกล่าว
แปลกใจโยนคดีปธ.กกต.เคาะ
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรที่กรรมการกกต. ไม่ยอมร่วมลงมติในคดีนี้ แต่กลับโยนเรื่องให้ประธานกกต. เป็นผู้ชี้ขาด พ.ต.ท. บรรยินกล่าวว่า ตนว่าแปลก เพราะโดยหลักการไม่ว่าจะพิจารณาคดีใบเหลือง ใบแดง กรรมการกกต.ก็ลงมติได้หมด ไม่ใช่ให้ประธานกกต. ตัดสินคนเดียว
เมื่อถามย้ำว่า เป็นเพราะกกต.ชุดนี้ห่วงว่าจะซ้ำรอยกกต. ชุดพล.ต.อ. วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานกกต. หรือไม่ พ.ต.ท.บรรยินกล่าวว่า “ก็อาจเป็นได้ว่าคนที่ต้องตัดสินใจ เขาไม่กล้าตัดสินใจ ก็เลยให้นายทะเบียนพรรคการเมืองตัดสินใจคนเดียว แต่เรื่องนี้จะโยนกันไปกันมาไม่ได้ เพราะอำนาจการตัดสินใจกำหนดไว้ชัดเจนในกฎหมาย”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำนายว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร อดีตรองหัวหน้ามฌ. กล่าวว่า คงไม่มีใครอยากเก็บภาระไว้กับตัว จึงมีโอกาสที่นายทะเบียนพรรคการเมืองจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าตัดสินใจไม่ส่งเรื่องต่อก็ต้องรับผิดชอบเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ คงไม่ใช่กลัวใครจะมาเผาบ้าน แต่น่าจะกลัวกระแสกดดันจากสังคมมากกว่า
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่แกนนำบ้านเลขที่ 111 และ 109 จะเคลื่อนไหวร่วมกัน หลังพรรคชาติไทย (ชท.) ออกมาทวงถามมาตรฐานกกต. พ.ต.ท.บรรยินกล่าวว่าก็คงมีคนเคลื่อนไหว ส่วนจะอยู่ในรูปแบบใดยังไม่ทราบ
"เฉลิม"ลูบหลังปธ.กกต."กระตุก"คนดี
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองตั้งคณะทำงาน 1 ชุดเพื่อศึกษาข้อกฎหมาย พ.ร.บ.พรรคการเมืองอีกครั้งก่อนชี้มูลคดีเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาทว่า เป็นเรื่องที่ดี ที่กกต.ยังรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากพรรคเพื่อไทย การที่ตนออกมาวิจารณ์อย่างเข้มข้นเพราะต้องการเตือนนายอภิชาตซึ่งเห็นว่าเป็นคนดี ไม่อยากให้ทำในสิ่งเสียหาย เพราะเงิน 258 ล้านบาทที่พรรคประชาธิปัตย์อ้างว่าเป็นเงินบริจาคจากนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตผู้บริหารบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) นั้น ในความเป็นจริงไม่ใช่เงินของนายประชัยแต่เป็นเงินของผู้ถือหุ้นบริษัททีพีไอแล้วถูกนำออกมาไซฟ่อนผ่านบริษัทเมสไซอะฯ
ขู่ยกคำร้องยื่นฟ้องศาลทันที
“แต่อย่ามาอ้างเรื่องข้อกฎหมายว่าพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2541 และ 2550 แตกต่างกัน เพราะกฎหมายทั้งสองฉบับโทษก็ยุบพรรคเหมือนกัน จึงขอให้ประธาน กกต.ทบทวนให้ดี ผมไม่ได้ข่มขู่ แต่ถ้านายอภิชาตยกคำร้องเรื่องนี้เมื่อไหร่ ผมจะยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทันที ผมร่างหนังสือไว้เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้หลังการเลือกตั้งซ่อมส.ส.ปราจีนบุรี ผมจะยื่นร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) เพื่อขอให้เอาผิดต่อนายประชัย ตามพ.ร.บ. ปปง. อีกส่วนหนึ่งเพื่อตามเงินคืนจากทุกคนที่ได้รับไป” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าการตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาเหมือนซื้อเวลาหรือเปล่า ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า คงเป็นไปไม่ได้ เมื่อตั้งคณะทำงานมาแล้วต้องเร่งดำเนินการ เพราะกระแสสังคมตอนนี้กำลังไม่ไว้วางใจนายทะเบียนพรรคการเมือง หากนายภิชาตเห็นว่าไม่มีมูลและยกคำร้องตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับสำนวนดีเอสไอก็เป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของกกต.ชุดใหญ่ย่อมแสดงว่านายอภิชาตต้องเห็นว่ามีมูล ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจะจับตามองการทำงานของนายอภิชาตอย่างใกล้ชิด