ป๋าส.กับสาวกรุ่นใหม่-ป๋าส.กับเมธา มาสขาว ซึ่งเพิ่งถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการองค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีสมชาย หอมลออ สาวกป๋าส.เป็นประธาน เพราะเกิดเรื่องฉาวโฉ่คุกคามทางเพศพนักงานหญิงขึ้น(คลิ้กอ่านรายละเอียด)
โดย คุณรักเอ็นโตดี ห่วงประชาชน
ที่มา ประชาไท
27 ธันวาคม 2552
หมายเหตุ:อันเนื่องมาจากผู้ใช้นามสุรีย์ มิ่งวรรณลักษณ์ ได้เขียนบทความเรื่อง"ขุนนาง NGO กป.อพช.และวิธีคิดอำมาตยาธิปไตย"ลงในหนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท เป็นการวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของขบวนองค์การพัฒนาภาคเอกชน หรือ(NGOs)ว่าอยู่ตรงกันข้ามกับฝ่ายประชาธิปไตย
ต่อมามีผู้ใช้นาม"รักเอ็นโตดี ห่วงประชาชน"ได้เขียนวิพากษ์ขบวนการNGOsอย่างเผ็ดร้อนในความเห็นท้ายบทความนี้ ไทยอีนิวส์เห็นว่าเป็นการวิพากษ์ในลักษณะของ"คนวงใน"วิพากษ์กันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนให้ได้เข้าใจว่าเพราะเหตุใดNGOsจึงมีบทบาทความเคลื่อนไหวในลักษณะต่อต้านประชาธิปไตย อิงแอบแนบชิดกับอำมาตย์เผด็จการ ทั้งนี้ผู้อ่านพึงใช้วิจารณญาณ และไทยอีนิวส์ยินดีเผยแพร่ให้ หากผู้ที่ถูกพาดพิงจะมีปฏิกริยาโต้ตอบกลับมา
คราวนี้ก็มาถึงคิวของ ส.ศิวรักษ์ รอยัลลิสต์ตัวเปิดเกมส์รุก หรือ วงในเขาเรียกตะแกว่า “ส.ศิวยั๊วะ” บ้าง หรือไม่ก็ “ส.ศิวลึงค์”บ้าง ก็แล้วแต่ความพึงพอใจของผู้เรียกว่างั้นเหอะนะ....
ส.เป็นลูกหลานเจ๊กอะนะ แต่เจ๊กในเมืองไทยก็เป็นขุนนางละกัน เพราะศักดินาไทยกดคนไทยไว้เป็นไพร่ เจ๊กมีความเป็นอิสระมากกว่า เข้าถึงเจ้าถึงนาย จนได้สัมปทานเป็นเจ้าคนนายคน..
พวกเมิงดูนามสกุลเหล่าขุนนางเถอะลูกหลานเจ๊กรัตนโกสินทร์ทั้งเพ...(เรื่องเจ๊กที่เขียนนี่ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นนะว๊อย แต่ชี้ให้เห็นชัด ๆ ว่าสังคมไทยเป็นมาแบบนี้-นี่เรื่องวิชาการล้วนๆ)
สรุปก็คือมันมีสายทางขุนนางอำมาตย์ก็แล้วกัน ต้นตระกุลโคตรพ่อโคตรแม่ก็มาทางสายขุนนางจึงรับใช้ใกล้ชิดพวก “เจ้า” มาตลอด(นี่มันภาษาของ ส.ศิวลึงก์ ที่ชอบใช้เป็นสำนวนเขียนเองอะนะ จะมาว่ากรูไม่ได้นะเฟ้ย...)
ส.ศิวลึงค์จบนอก จบ ป.ตรี จากอังกฤษ แล้วไปได้เนติบัณฑิตอังกฤษด้วย....จบใหม่ ๆ มันก็ทำงานที่ วิทยุ บีบีซี.ภาคภาษาไทยที่โน่นแหละ....กลับมาเมืองไทยก็เป็นครูสอนหนังสืออะนะ รู้สึกจะสอนปรัชญาบ้าง ประวัติศาสตร์บ้าง แถวๆท่าพระจันทร์ กับสามย่านนั่นแหละ
แต่พวกที่เคยเรียนกับแกในวิชาประวัติศาสตร์นี่นะ...พวกเค้าบอกว่า ไม่เป็นสับปะรดขลุ่ยเลยวะ เพราะแกเน้นยกย่องระบอบกษัตริย์ลูกเดียว เหมือนอ่านงานกรมพระยาดำรงราชานุภาพยังงัยยังงั้น (เคยถูก นิธิ เอียวศรีวงศ์ วิพากษ์ซะเสียมาแล้วด้วยนะ...จะบอกให้...โหย สานุศิษย์นี่แค้นมักๆๆ)
กลับมานอกจากสอนหนังสือ แปลหนังสือ เขียนหนังสือแล้ว ก็ยังตั้งสำนักพิมพ์ไว้คอยเป็นกระบอกเสียงโฆษณาแนวทางเคลื่อนไหวอนุรักษ์นิยมด้วยอะนะ....ชื่อนะเหรอ สำนักพิมพ์เคล็ดไทย ยังงัยละสัดดดด....
งานที่สร้างชื่อให้นั้น....โหยมีหลายเรื่อง อาทิ กลับมาแรกๆก็ไม่ดูตาม้าตาเรือ กะสร้างชื่ออะนะ...ก็เริ่มต้นด้วยการด่า อาจารย์ปรีดีเลยละ หาว่าปรีดีมีส่วนพัวพันกรณีสวรรคตในหลวง ร.8 เลยนะเฟ้ย...
หลังๆพอได้ข้อมูลลึกลับ ตะแกก็รีบคลานไปกราบอาจารย์ปรีดี และเสนอเกมส์รุก โดยการเสนอตัวอยู่ข้างอาจารย์ปรีดี จะหาทางเชิดชูเกียรติภูมิอาจารย์ปรีดีกลับมาให้ได้....(แต่ต้องมีเงินให้ทำงานด้วยอะนะ)....
พวกเมิงจึงได้เห็นหน้า ส.ศิวลึงค์ ทุกงานที่เกี่ยวข้องกับอาจารย์ปรีดี....เรียกว่า ผูกขาดความเป็นปรีดีลิซึ่มอยู่คนเดียว ใครหน้าใหนอย่างเสะเออะมาแหยม กรูสัมปทานของกรูแล้วโว้ย...แม่งดูแกทำ...เหี้ยมจริง ๆ
แกเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวข้องกับชีวิตอาจารย์ปรีดีทุกชนิด ตั้งแต่เข้าไปวุ่นวายกับ “สถาบันปรีดีพนมยงค์” ที่ซอยทองหล่ออะนะ กรรมการสายลูกศิษย์ปรีดีขนานแท้เค้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ระอาแกเต็มทนการปล่อยให้แกปู้ยี่ปู้ยำอาจารย์ปรีดีซะให้สาสม....
แกมีโรงพิมพ์ด้วย คราวงาน 100 ปีของอาจารย์ปรีดี คนก็นินทาว่าแกจัดงานได้ห่วยแตก เพราะดันลากเอาอาจารย์ปรีดีจากที่อาจารย์ปรีดีแกเป็น “โซเชียลลิสต์” กลับตาลบัตรมาให้อาจารย์ปรีดีเป็น “รอยัลลิสต์” แบบแกจนได้...
แล้วก็จัดการพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับอาจารย์ปรีดีทุกชนิด ทั้งที่อาจารย์ปรีดีแกเขียนไว้ คนอื่นๆเขียน และก็ตัวแกที่ทำตัวเป็นพหูสูตครือกรูรู้ทุกเรื่องอะนะ...ตะบี้ตะบันพิมพ์...ป่านนี้ยังขายและทั้งแจกทั้งแถม ยังค้างสต๊อกอยู่บานเบอะ....อ้าวแล้วใครเป็นคนจัดการเรื่องพิมพ์ให้ละ..ก็สาวกของแก ครือ สันติสุข โสภณศิริ ผัวของ ส.ว.เหลือง รสนา โตสิตระกูล (นี่ก็ มอส.รุ่นแรกๆอะนะ...เห็นหรือยังว่ามันสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันไปหมด...สาดดด.....)
ส.ศิวลึงค์ ก็เก่งในการทำหนังสืออะนะ นิตยสาร “สังคมศาสตร์ปริทัศน์” แกก็เป็นคนก่อตั้งอะนะ(ว่ากันว่าเป็นหนังสือที่ก้าวหน้าสมัยนั้น(บริบทสมัยนั้น)ครือต้นๆทศวรรษที่ 2500 แต่กรูไปอ่านแม่งทุกเล่มที่แกเป็นบรรณาธิการแล้ว สู้ตอนสมัยสุชาติ สวัสดิ์ศรี เป็น บ.ก.ไม่ได้เลย
สังคมศาสตร์ปริทัศน์ มันเป็นหนังสือของสมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย ที่มีกรมพระนราธิปฯ เป็นประธาน แกก็คลานเข้าไปกราบเจ้าของส่วนบุญจนได้ทำหนังสือแถมพ๊อคเก๊ตมันนี่อุไรวรรณๆๆๆ(ครือเหนาะๆ ก็ครืออุไรวรรณเป็นเมียเสนาะ เทียนทองอะนะ เวลาอะไรที่มันได้อยู่แล้ว...ต้องร้องว่า “อุไรวรรณๆ”...ฮาๆๆๆ)
พวกผู้หลักผู้ใหญ่หงำเหงือกถูก ส.ศิวลึงค์ดึงมาใช้แม่งหมด เพราะแกชอบอ้างว่ารู้จักสนิทสนมตั้งแต่สมัยเจ้าคุณปู่คุณตาคุณยายไปโน่น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าคุณอนุมานราชธน เสถียรโกเศศ-ตรีนาคะประทีป พอเพือกนี้แก่ตาย แกก็นำคนตายไปหาแดก โดยอ้าง “ความเป็นคนดี” “คุณธรรม” ของคนที่ตายไปแล้วไปก่อตั้ง “มูลนิธิ” ยังงัยละสัด.....
ด้วยเหตุดังนั้น พวกเมิงจึงเห็น “มูลนิธิเสถียรโกเสฐ-ตรีนาคะประทีป” บ้าง พอโกมล คีมทอง ที่ไปเป็นครูโรงเรียนราษฎร์ที่เหมืองแร่ของ อุดม เย็นฤดี ถูกฆ่าตาย แกก็ยุอุดมตั้ง “มูลนิธิโกมลคีมทอง” เอาไว้ทำมาหาแดก และพิมพ์หนังสือที่โรงพิมพ์เคล็ดไทยของแกยังงัยละสาดดด....
ส.ยังร่วมกับอีตาหมอประเวศ ก่อตั้ง “มูลนิธิเด็ก” มีศิษย์เอกก็ไอ้แกนนำพันธมิตรเหลืองอ๋อย พิภพมัจจุราช เอ้ย พิภพ ธงชัย กับเมืยเป็นผู้ดูแล...แกกับเพื่อนๆ เช่นอีตาประเวศก็เป็นกรรมการถาวรงัยสาดดด....มูลนิธิต่าง ๆ เหล่านี้ ส.ศิวลึงค์ เป็นกรรมการกับสาวกของแกเป็นกรรมการหมด...
ขนาดคนตายไปแล้ว เช่น ป๋วยปีแปก่อ อุดม เย็นฤดี หรือ เจ้าคุณอนุมานฯ ยังมีชื่อเป็น ประธานกรรมการกิติมศักดิ์อยู่เลย...ดูดู๊มันทำสาดดดดดดด......ก็ชื่อพวกนี้แม่ง ยังให้แกทำมาหารับประทานโดยทำโครงการขอแหล่งทุนหน้าโง่ได้นั่นเอง
นี่ดีนะที่ไม่เสือกเอาชื่ออาจารย์ปรีดีไปเป็นประธานกิตติมศักดิ์ด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นตาส.นี่เข้าขั้น “เทพ” ตัวจริงเลยละ....เรื่องชั่วๆอย่างนี้ต้องตราไว้ในหนังหมาวะ (ขอลอกเลียนสำนวนของส.ศิวยั๊วะสักครั้งเถอะวะ..)....
ยังมีองค์กรในกำมืออีกเยอะ อาทิ สวนเงินมีมา เสมสิกขาลัย-นี่ก็อ้างเอาความดี คนดีของหมอเสม-อัศวินควายดำมาเป็นชื่อวิทยาลัย(สิกขาลัย-ศึกษาลัย) กรูได้ยินแรกๆนึกว่าชื่อห้องขี้ สุขา..สิกขา
แม่งชอบโชว์อ๊อพไอ้ภาษาเทวดา ที่ชาวบ้านอย่างกรูไม่รู้เรื่องด้วยจังเลยนะสัด....
วันดีคืนดีแกก็ไปหาที่แถวนครนายก ก่อตั้งเป็น “อาศรมวงศ์สนิท” ที่นี่มี “นักพรต” สาวกตัวเอ้ของแกดูแลเป็นเจ้าสำนักอยู่ ครือ วิสิษฐ์ วังวิญญาณ เอ้ย วังวิญญู กับ หลวงพี่ประชา (เอ้ย! สึกมาเอาสีกาแล้ววะ)ตอนสึกแล้วชื่อประชา หุตานุวัตร มีนามสกุลคุ้นๆนี่เป็นแกนนำของพวกพันธมิตรด้วย...ตั้งกฎระเบียบกันเพื่อจะสร้างคนให้บรรลุนิพพานอะนะ....เอ้อ...ที่นี่เค้ามีแม่น้ำล้อมรอบ ต้องข้ามเรือข้ามโป๊ะด้วย..... โอ้ย...บรรยากาศน่าหลอกลวงพวกคนชั้นกลางสมองขี้เลื่อยไปบริจาคเงินจริงจริ้งเจ้าคะ.....
เอ้อเกือบลืมพวกแม่งห้ามกินเหล้าสูบกัญชาด้วยนะ...แต่กรูเคยเห็นแม่งไอ้ไผ่-นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ แม่งไปเมาประจำ..และเจ้าสำนักตัวจริง ก็ ส.ศิวลึงค์ แกก็ตัวซดเบียร์โฮกๆๆๆเลยไอ้สัด...ไม่เชื่อก็ถามหลานศิษย์อย่างไอ้บารมี ชัยรัตน์ดูเอา..
หรือไม่จริงไอ้บารมีแถลงมาเลยวะ(อย่างนี้มันหลอกลวงประชาชนนี่หว่า...).....ยัง ยังไม่หมด พฤติกรรมส่วนตัวของ ส.ศิวลึงค์ ก็น่าสมเพชเวทนา บางวันคลุ้มดีคลุ้มร้ายก็แต่งชุดขุนนางเต็มยศ สวมหมวกแบบผู้ดีอังกฤษด้วย สักไม้เท้าไปต้อม ๆ มองๆ แถว “โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง” พอแดกเบียร์ฟรีจนเมาแอ๋แล้ว...กรูจะกลับแล้วโว้ย ตอนนี้ประชาชนเดือดร้อนที่เขื่อนปากมูล พวกมด-วนิดา ไอ้ปุ๋ย มันไม่มีเงินทำงาน กูของมันนี่เมิงช่วยน้องๆมันด้วยวะ....
จริงไม่จริง สหายคง-เสถีบร เศรษฐสิทธิ์ ช่วยแถลงหน่อย (แม่งนี่กระมังทำให้คอมมูนิดรวยๆอย่างสหายคงถึงกับยอมเป็นลูกกะโปก คมช. เป็น สนช.จนได้-ส.ศิวลึงค์ ก็แม้แต่กางเกงในยังเหลือ ก็คงจะอ้างอีกว่า สหายเอ๋ยกรูนี่แหละขอโค้วต้าให้กับเมิง เพราะเมิงกรรโชกทรัพย์ง่าย ฟามจริงกรูขอโควตาให้ไอ้ยะใสมันนะ..ฮาๆๆๆ..) ...ยังมีอีก เมื่ออยู่ที่สำนักงาน ก็ไม่รู้สำนักงานใหน เพราะแกมีหลายมูลนิธิเหลือเกิน เวลาเจ้าคุณสอ.จะยัดห่าน้ำ ก็ต้องคลานเข่าเข้าไปเสิร์พเลยอะนะ...จริงไม่จริงต้องถามเด็กเสิร์ฟที่ชื่อบารมีเอเองอะนะ....หุๆๆ
ยังมีเรื่องตลกเศร้าด้วยนะว๊อย..ซักประมาณสองสามปีมาแล้ว...กลุ่มสานุศิษย์ลูกสมุนของ ส.ศิวลึงค์ ที่เข้าไปทำงานกับ “สมัชชาคนจน” ไม่รู้ลากกันไปลากกันมายังงัยนะ ตกมาวันหนึ่งในวงประชุมของ “พ่อครัวใหญ่” ก็ได้มีการเชิญบุคคลไปแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องบ้านเรื่องเมือง...ทางสมัชชาคนจนก็คงเป็นไอ้บารมีน่าแหละก็ได้อัญเชิญ “เจ้าคุณสอฯ” ลูกพี่ตนเองไปเป็นวิทยากรร่วมแลกเปลี่ยน แต่วิทยากรอีกคนนี่ซิหากใช้สำนวนนักวิชาการ ก็ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่อง irony มั้ก ๆ เพราะวิทยากรอีกฝั่งหนึ่งครือ ลุงธง เลขาธิการที่ 1 ของ พคท. ครับเจ้านาย....
โฮ ๆๆๆ...จะไม่ให้ปล่อยโฮยังงัยไหวคับพี่น้อง....ก็ระหว่างคอมมูนิด กับ พวกกษัตริย์นิยมเช่นเจ้าคุณสอ มานั่งร่วมวงกันได้ยังงัย...แล้วมันจะคุยกันรู้เรื่องมัยเนี้ยะ.....
ไอ้ “สมัชชาคนจน” นี่ก็มีเรื่องเล่าเล็กน้อย เมื่อครั้ง “ที่ปรึกษา” ปุ๋ย-นันทโชติ ชัยรัตน์ น้องของไอ้บารมี เสียชีวิตกะทันหัน....ไอ้บารมี เค้าก็อัญเชิญท่านเจ้าคุณสอไปงานเผาศพ และมอบหมายให้ท่านเจ้าคุณสอฯ ปาฐกถาก่อนประชุมเพลิงว่างั้นเถอะ....ทางกลุ่มเพื่อนปุ๋ย ที่พอรู้ว่าปุ๋ยเป็นคนอย่างไร และคิดอย่างไรกับท่านเจ้าคุณฯ (เรื่องนี้ไอ้บารมีน่าจะรู้ดีที่สุด) ก็มอบหมายให้ อาจารย์พฤกษ์ ม.อุบลฯ เป็นองค์ปาฐกอีกคน....โหย...ปาฐกถา ของท่านเจ้าคุณฯก็ยังไม่เป็นสับปะรดขลุ่ยเหมียลล์เดิมเจ้าคะ....ส่วนของอาจารย์พฤกษ์ น่าจะสอดคล้องกับอุดมคติของผู้ตายมากกว่า....เรื่องนี้พอเข้าใจกันได้
แต่เรื่องนี้ซิ...ยังงัยยังงัยกรูก็ไม่เข้าใจพวกเมิงแน่ ๆ....ภายหลังจากการตายของปุ๋ยครบ 1 ปี หรือ 100 วัน นี่แหละ มีการจัดงานรำลึกแถว ๆ สุรินทร์ ถิ่นของเสี่ยแต-สนั่น ชูสกุล ผู้อุปถัมป์ปุ๋ยคนสุดท้าย และมีการอภิปรายปัญหาบ้านเมืองกัน วิทยากรทุกคนยกเว้นอาจารย์พฤกษ์เจ้าเก่า ล้วนแล้วแต่เป็นคนใกล้ชิดพวกเจ้าคุณสอฯ และพวก “NGOs โลก” ทั้งนั้น....
ปรากฎว่าอาจารย์พฤกษ์ก็ได้ใช้ความกล้าหาญสอนมวยเพรือกนั้นไปหลายดอกจะจะ.....แต่เรื่องของเรื่องที่กรูข้องใจมานานก็ครือว่า หลังจากนั้นมีการจัดทำหนังสือรำลึก 1 ปีปุ๋ย....ปรากฎว่า ไม่มีแม้แต่ “ปาฐกถา” หน้าเมรุ หรือ “คำอภิปราย” ที่สุรินทร์ของอาจารย์พฤกษ์ที่เป็นเพื่อนของปุ๋ยคนหนึ่ง....แต่กลับมี “ปาฐกถา” ที่ไม่เป็นสับปะรดขลุ่ยของท่านเจ้าคุณสอฯเต็ม ๆ เลยอะนะ....
กระนั้นก็ดี กรูก็เข้าใจอยู่นะว่าปุ๋ยเป็นคนของประชาชน เพื่อน ๆ เยอะ แต่กรูอ่านแล้วเกิดอาการคลื่นเหียนคล้ายจะอาเจียน....ไอ้เหี้ย..แนวทางในหนังสือเล่มนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่ปุ๋ยมันอยากจะเห็นเหมือนอย่างคณะทำหนังสืออยากจะเห็นโว้ย....ถามไอ้ต๋อม-จักรพงษ์ ธนวรพงษ์ ซึ่งมีชื่อเป็นคนพิสูจน์อักษร มันก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง ๆ....แต่กรูก็สรุปของกรูว่า ส.ศิวลึงค์ แม่งมีอิทธิพลต่อสมัชชาคนจนในยุคนี้จริง ๆ วะ....
อำมาตย์จงเจริญ ประชาชนจงฉิบหาย...อาเมน!!!
**********
อ่านบทความชุดนี้ในตอนที่ผ่านมา:เอ็นโตดีศักดินานิยมตัวพ่อ...หมอประเวศ