คอลัมน์
โต๊ะกลมระดมความคิด
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 11 ฉบับที่ 2703 ประจำวัน จันทร์ ที่ 28 ธันวาคม 2009
โดย สุรชัย ปากช่อง
รหัสดาวน์โหลด 54281209
อีกไม่กี่วันก็จะขึ้นปีใหม่ 2553 แต่การเมืองยังร้อนระอุและปิดป้ายประชาสัมพันธ์ (ปลุกระดม) กันล่วงหน้าแล้วว่าอุณหภูมิการเมืองเดือดเกิน 100 องศาแน่นอน
เพราะปัญหาที่ลากยาวและหมกเม็ดของปีนี้จะไปเป็นกองขยะกองมหึมาที่มีการชำแหละจนถึงฌาปนกิจกันเสร็จสรรพไปเลย
ปัญหาคือใครจะขึ้น “เมรุ” หรือโดน “เผาทั้งเป็น”
เพราะต่างฝ่ายต่างกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นฝ่ายสร้างปัญหา ไม่มีฝ่ายใดยอมถอยคนละก้าวเพื่อเปิดช่องเจรจากัน แม้บรรยากาศจะไม่เหมือนครั้งม็อบบรรดาศักดิ์ แต่การหันหน้าเพื่อเจรจาหาทางออกก็ปิดตายไม่แตกต่างกัน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดในการแถลงผลงานรัฐบาลว่า “ผมไม่ขัดข้องกับการยุบสภา ขอแค่เศรษฐกิจเดินหน้า และทุกพรรคยอมรับกติกา พฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับประชาธิปไตยทุกข้อต้องหยุด”
แค่ประโยคนี้ประโยคเดียวก็เห็นแล้วว่านายอภิสิทธิ์มีมุมมองและความจริงใจที่จะแก้ปัญหาการเมืองและสร้างความสมานฉันท์หรือไม่
อย่างที่นายดิเรก ถึงฝั่ง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ติงว่า หากรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ไม่เป็นแกนนำทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และลดการตอบโต้ ลดการสร้างเงื่อนไขใหม่ ก็จะทำให้มีโอกาสในการเจรจา เป็นต้น แต่นายอภิสิทธิ์นอกจากไม่ทำ ไม่ถือธงนำแล้ว ยังปล่อยให้คนข้างๆออกมาตอบโต้อีกด้วย
ยิ่งนายอภิสิทธิ์ถูกมองว่าเป็นผู้นำหุ่น และต้องคอยรับคำสั่งจากผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง นายอภิสิทธิ์ยิ่งต้องแสดงความกล้าของความเป็นผู้นำ กล้าตัดสินใจและกล้าทำ ไม่ใช่เดินสายตั้งแต่เงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้ หรือพูดอย่างหนึ่งแต่ให้คนข้างกายพูดอีกอย่าง
คนไม่นิ่งก็คือนายอภิสิทธิ์ที่กระโจนลงมาเล่นเกมเอง ทั้งที่เป็นโอกาสที่ดีของนายอภิสิทธิ์ที่จะสร้างผลงานให้กับบ้านเมืองและประชาชน อย่างที่นายอภิสิทธิ์บอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำงานในสถานการณ์ที่บ้านเมืองวิกฤต
แต่ “สถานการณ์ก็สร้างวีรบุรุษ” และทำให้หลายคนเป็น “ผู้พ่ายแพ้”
นายอภิสิทธิ์เป็นทั้งผู้นำรัฐบาลและผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่อาจปฏิเสธที่จะต้องถือธงนำแก้ปัญหา ไม่ใช่จมปลักกับการเมืองเดิมๆที่ใช้ “ปาก” เป็นเครื่องมือทางการเมือง
แม้แต่คดีเงิน 258 ล้านบาท ที่กำลังทำให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร้อนระอุ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรนายอภิสิทธิ์ก็ต้องได้รับผลกระทบทั้งขึ้นทั้งล่อง
กระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระยุคนี้จึงเหมือนหนังหน้าไฟ เพราะมีแต่คนใหญ่คับบ้านคับเมือง
ทำดีก็ถูก “เชือด” ทำไม่ดีก็เป็น “แพะ”
อย่างที่นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง ระบายความรู้สึกกรณีที่พรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงจะยื่นถอดถอน กกต. ว่าให้ยื่นถอดถอนได้เลย จะได้ให้ กกต. ชุดใหม่เข้ามาทำงานแทน เพราะยอมรับว่าขณะนี้เหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน แต่ก็ขอให้พรรคเพื่อไทยรอดูก่อนว่าการพิจารณาของ กกต. จะออกมาอย่างไร ยืนยันว่าการพิจารณาของ กกต. ไม่มีใบสั่งแต่อย่างใด
“ตอนนี้ กกต. เสมือนเป็นจำเลย และรู้สึกสงสารประธาน กกต. เพราะถูกกดดันมากจากรอบด้าน ดังนั้น คิดว่าถ้าไปกดดันมากสักวันท่านอาจต้องสู้เหมือนกัน หากยิ่งผลักดันมากความเห็นที่ออกมาอาจจะเหมือนเดิม”
ความขัดแย้งทางการเมืองจะยุติหรือไม่จึงอยู่ที่ความจริงใจและความเป็นธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบหรือเต็มใบก็ตาม
แต่วันนี้ตั้งแต่ผู้นำลงมาจนถึงลิ่วล้อต่างบิดเบือนและโกหกกันแบบหน้าด้านๆ
เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น