โดย เหล็กใน
ไม่ฟังคงไม่ได้แล้วเมื่อกูรูเศรษฐกิจ
และนักธุรกิจระดับหัวแถวของเมืองไทยจำนวนมากประสานเสียงในทางเดียวกันว่า
เศรษฐกิจไทยในปี"53 ที่รัฐบาลมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะฟื้นตัวตามโลก
มีความเสี่ยงที่ไม่เป็นไปตามนั้นมากโขอยู่!??
ต้องเข้าใจก่อนว่าช่วงกลางปี"51 ถึงไตรมาส 3 ปี 2552 โลกเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทั้งจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวแบบก้าวกระโดดจนร้องจ๊ากไปตามๆ กัน
แต่หนักสุดเป็นผลพวงจากวิกฤต "แฮมเบอร์เกอร์" ของสหรัฐอเมริกา
สถาบันการเงินชั้นนำของโลก รวมไปถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ต้องปิดตัวเอง
หรือควบรวมกิจการ ส่งผลสะเทือนไปทั่ว
แทบจะเป็นปีแรกที่รัฐบาลของทุกประเทศในโลกต้องควักเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในเมืองไทยเองก็ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะด้านการส่งออกและท่องเที่ยว
ประการหลังนอกจากเรื่องเศรษฐกิจโลกแล้ว
ยังเจอ "ม็อบเหลือง" ยึดกรุงเทพฯ และปิดสนามบินเข้าไปอีก
พอจะดีขึ้นมาหน่อย "ม็อบแดง" ก็อาละวาดซ้ำในช่วงสงกรานต์
อย่างไรก็ตาม
ด้วยการผ่านประสบการณ์เลวร้ายที่สุดในระบอบเศรษฐกิจไทยคือ "ต้มยำกุ้ง" ช่วงปี 2540 มาแล้ว ทำให้หลังจากเหตุการณ์นั้นบริษัทต่างๆ รวมไปถึงประชาชนลงทุนและใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้น
จึงเมื่อเกิดวิกฤต "แฮมเบอร์เกอร์" เมืองไทยแม้จะได้รับผลกระทบแต่ก็ไม่มากเท่าหลายๆ ประเทศ
จนถึงไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 ภาวการณ์ต่างๆ เริ่มกระเตื้องขึ้นมาจากการฟื้นตัวของโลก
ส่วนเมืองไทยแม้กระทบไม่มากเท่าที่กลัว
แต่เมื่อโลกเริ่มฟื้นเมืองไทยกลับโตได้น้อยกว่าประเทศอื่นๆ!??
ปัญหาหลักก็เดิมๆ คือเรื่องการเมือง การบริหารของรัฐบาล ที่จากผลโพลแทบทุกสำนักให้สอบตกหรือผ่านแบบคาดเส้นทั้งสิ้น
รวมกับเรื่อง "มาบตาพุด"
ที่ถือว่ากระทบกับภาพลักษณ์การลงทุนของนานาชาติในเมืองไทยอย่างมาก
ทำให้เกรงกันว่าปีหน้าช่วงที่เศรษฐกิจโลกน่าจะฟื้นขึ้นเป็นรูปตัว "วี"
เมืองไทยอาจจะไม่ได้รับอานิสงส์เท่าที่ควร!??
อีกทั้งราคาน้ำมันที่เชื่อว่าน่าจะพุ่งขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เมืองไทยถูกกระตุกซ้ำอีกครั้ง
แต่น่าห่วงที่สุดก็คือปัญหาที่กูรูทั้งหลายมองเห็น
รัฐบาลชุดนี้แทบไม่ได้เตรียมรับมือหรือให้ความเชื่อมั่นเลยว่า
หากเกิดปัญหาใดปัญหาหนึ่ง หรือมาพร้อมกันทุกปัญหา
จะแก้กันอย่างไร!??