เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 18 พ.ค. 2552 นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ นักเขียนชื่อดัง ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น เดินทางเข้ารายงานตัวต่อศาลจังหวัดขอนแก่น ภายหลังเมื่อวันที่ 4 พ.ค. ที่ผ่านมา พ.ต.ท.สุธน สีหามาตย์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น นำตัวมาฝากขังตามความผิดฐานหมิ่นสถาบัน จากที่พนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่นเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุลักษณ์ในเนื้อหาบรรยายพิเศษเรื่อง "ปรัชญาพื้นบ้าน" ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีข้อความจาบจ้วงสถาบัน เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2550 และถูกจับกุมเมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2551 โดยมี รศ.กิตติบดี ใยพลู คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ใช้ตำแหน่งยื่นประกันตัวในชั้นศาล ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกันตัวได้ แต่ต้องมารายงานตัวต่อศาลจังหวัดขอนแก่นทุก 12 วัน
นายสุลักษณ์ กล่าวว่า ตนถูกจับในข้อหาหมิ่นสถาบัน แต่ตำรวจยังทำคดีไม่เสร็จ แต่อำนาจของตำรวจให้ประกันตัวได้ 6 เดือน เมื่อครบ 6 เดือนแล้วก็ต้องส่งตัวมาที่ศาล ซึ่งเมื่อวันที่ 4 พ.ค. ที่ผ่านมา ก็ได้มาที่ศาลจังหวัดขอนแก่น โดยศาลอนุญาตให้ประกันตัว แต่ต้องมารายงานตัวที่ ศาลจังหวัดขอนแก่นทุก 12 วัน จนกว่าตำรวจจะทำคดีเสร็จ
“ผมได้อ้างว่าคดีของผมนั้นเป็นคดีที่ผมถูกกลั่นแกล้งเหมือนเมื่อครั้งที่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี ในสมัย รสช.ผมต้องสู้คดีถึง 4 ปี และศาลได้ตัดสินว่าจำเลยอาจจะพูดแรงไป พูดไม่สุภาพแต่ทั้งหมดต้องการที่จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์จึงไม่มีอะไร ที่จะเอาโทษกับจำเลยได้ทำให้ผมเสียเวลาไป 4 ปี แต่มาครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลั่นแกล้งผม”
ทั้งนี้ในคณะกรรมการวุฒิสภาได้มีการเอ่ยถึงผมว่าที่ถูกดำเนินคดีนั้น ถูกกลั่นแกล้งโดยตำรวจ ซึ่งเป็นลูกน้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งตำรวจก็ต้องการยกเลิกคดี แต่ต้องรอให้มีคนสั่งมา เท่าที่ตนได้ยินข่าวเมื่อวันที่ 16 พ.ค. ที่ผ่านมาว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ต้องการให้ยุติคดี และตอนนี้ก็หวังว่าจะยุติคดี ซึ่งหวังว่าในวันที่ 28 พ.ค. นี้คงจะยุติคดีได้ แต่ในระบบราชการไทยก็ยังไม่มีความแน่นอน
ที่มาศาลในวันนี้ก็มาให้เห็นหน้าว่ายังมีชีวิตอยู่ 12 วันต้องมาครั้งหนึ่ง สิ้นเปลืองเวลา ค่าใช้จ่ายด้วย ตนอายุ 76 ปีแล้วก็ต้องมาขอนแก่น และตนก็ยังมีคดีอีกคดีหนึ่งอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ สน.ชนะสงคราม กรุงเทพมหานคร หากนายกรัฐมนตรี เห็นด้วยกับกรรมาธิการวุฒิสภาว่าตนจงรักภักดี ก็น่าจะสั่งให้ยุติคดีได้
นายสุลักษณ์กล่าวอีกว่า ตามที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์มาหาถามว่าจะให้ช่วยอย่างไรได้บ้าง เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา ก็ยังคงช่วยดู แต่ขณะนี้ตำรวจก็ยังไม่ส่งเรื่องไปที่อัยการ และนายกรัฐมนตรีเองก็ต้องการให้ยุติ ตนเข้าใจว่านายกรัฐมนตรีน่าจะมีการสั่งการไปที่ตำรวจแล้ว แต่ก็ต้องเข้าใจว่าตำรวจนั้นมีหลายหน่วย บางคนก็ไม่ฟังนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ก็ยังคงมีตำรวจบางคนที่เข้าใจ และฟังนายกรัฐมนตรี แต่ตนไม่ขอเอ่ยชื่อ และเขาก็เชื่อว่าคดีนี้เป็นคดีที่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ จึงหวังว่าตำรวจกับนายกรัฐมนตรีจะทำในสิ่งเป็นประโยชน์ต่อตน และเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองเพราะคนที่รู้จักตนมีทั่วโลกก็รู้ดีว่าตนเป็นคน จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นถ้านายกรัฐมนตรีสามารถที่จะสั่งยุติคดีได้ ก็ถือว่าเป็นการช่วยคนแก่คนหนึ่ง
"ในการต่อสู้คดีทางตำรวจก็เห็นด้วยกับผมเพราะผมอ้างคำตัดสินของศาล เมื่อครั้งที่ถูกฟ้องดำเนินคดีในช่วง พล.อ.สุจินดา คาประยูร โดยศาลพูดเองว่าถึงบางคำพูดจะไม่สุภาพ บางคำอาจจะรุนแรง แต่ทั้งหมดนี้ขอยืนยันว่าผมเป็นผู้จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ พูดทั้งหมดเพื่อปกป้องสถาบัน ให้คนเห็นว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมีความสำคัญอย่างไรบ้าง และที่ผมพูดที่ จ.ขอนแก่นก็ไม่แตกต่างที่ พล.อ.สุจินดา เล่นงานผมเลย ซึ่งทำให้ผมเสียเวลาไปถึง 4 ปี"
นายสุลักษณ์ กล่าวอีกว่า ถึงแม้ผมจะถูกดำเนินคดี แต่แนวทางของผมยังไม่เปลี่ยน และผมมองว่ากฎหมายหมิ่นสถาบันคงต้องมีการแก้ไข โดยนักปราชญ์หลายคนเห็นว่าต้องมีการแก้ไข เพราะกฎหมายนี้เป็นสำนัก ใครที่ทำเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพถือว่าเป็นการทำร้ายพระองค์ท่าน และทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ฉะนั้นต้องแก้ไข ไม่เช่นนั้นทุกคนก็อ้างว่าจงรักภักดี แต่ก็ไม่เห็นทำอะไรกัน และการที่มีพระมหากษัตริย์นั้นจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ราษฎร สถาบันนี้จะต้องได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์บ้าง เปิดเผยได้ โปร่งใสได้ สถาบันนี้ศักดิ์สิทธิ์ พ้นคำวิพากษ์วิจารณ์ ก็จะให้โทษมากว่าให้คุณ ซึ่งนักการเมืองเผด็จการเอามาใช้เป็นเครื่องมือ ดังนั้นผมพูดมา 40 ปี และพูดอย่างนี้มาชัดเจนตลอด คดีนี้เป็นครั้งที่ 3-4 แล้วแต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ผมเป็นมนุษย์ไม่ใช่กบไม่เปลี่ยนสีไม่เปลี่ยนแนว