บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อัยการปัตตานียื่นฎีกาสู้คดีสังหารผู้พิพากษา

ที่มา MCOT News

กรุงเทพฯ 20 ก.ค. - อัยการปัตตานียื่นฎีกาสู้ต่อ หลังศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ยกฟ้อง “ อับดุลเลาะห์” ช่างแกะสลักเฟอร์นิเจอร์ ทีมฆ่า “รพินทร์ เรือนแก้ว” ผู้พิพากษาศาลจังหวัดปัตตานี เมื่อปี 2547

ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานศาลยุติธรรม ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (20 ก.ค.) ถึงความคืบหน้าคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลจังหวัดปัตตานี ให้ยกฟ้องนายอับดุลเลาะห์ ปะชี อาชีพช่างแกะสลักเฟอร์นิเจอร์ อยู่เลขที่ 57/1 ต.ปะกาฮะรัง อ.เมือง จ.ปัตตานี จำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนว่า ล่าสุด พนักงานอัยการจังหวัดปัตตานีได้ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ขอให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยตามความผิดเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา

สำหรับคดีนี้พนักงานอัยการจังหวัดปัตตานี เป็นโจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อเดือน ก.ค. ถึงวันที่ 17 ก.ย. 2547 ต่อเนื่องกัน จำเลยกับพวกสมคบกันก่อการร้าย โดยเป็นสมาชิกของกลุ่มบุคคลไม่ทราบชื่อ ซึ่งปกปิดวิธีการและมีความมุ่งหมายใช้กำลังประทุษร้าย ฆ่า และลอบฆ่า เจ้าพนักงานของรัฐและประชาชน เพื่อสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความกลัวในหมู่ประชาชน โดยจำเลยกับพวกอีก 3 คน ซึ่งหลบหนีไปร่วมกันใช้อาวุธปืนพกปืนสั้นขนาด .38 ยิงนายรพินทร์ เรือนแก้ว ผู้พิพากษาศาลจังหวัดปัตตานี จำนวนหลายนัด กระสุนเข้าที่บริเวณลำตัวและศีรษะเป็นเหตุให้นายรพินทร์เสียชีวิต อันเป็นการคบคิดกันวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำและไตร่ตรองไว้ก่อน ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมของกลางรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิ หมายเลขทะเบียน กนร 877 ปัตตานี หมวกกันน็อก โทรศัพท์มือถือที่ใช้ติดตามการเคลื่อนไหวของผู้ตายและแจ้งให้พวกจำเลยหลบหนี เหตุเกิดที่บริเวณสี่แยกไฟแดง ถ.โรงเหล้าสาย อ.เมือง จ.ปัตตานี ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ แต่ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33,83,91,135/1 และ 289

ต่อมา ศาลจังหวัดปัตตานี มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2550 ว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.289 (4) ให้ประหารชีวิต คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกตลอดชีวิต จำเลยยื่นอุทธรณ์ อ้างว่า ขณะถูกจับกุมจำเลยกำลังไปแลกเหรียญเพื่อใช้โทรศัพท์หาเพื่อน โดยเมื่อถูกจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำร้ายร่างกาย ข่มขู่ ให้รับสารภาพว่า ร่วมกับพวกฆ่าผู้ตาย ซึ่งจำเลยทนความเจ็บปวดไม่ได้ จึงยอมรับสารภาพ ซึ่งในชั้นสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้อ่านคำให้การให้ฟัง และขณะลงลายมือชื่อจำเลยอยู่ในอาการภวังค์รู้สึกปวดศีรษะโดยลงลายมือชื่อตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดูเป็นตัวอย่าง

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า ตามวัน เวลา และสถานที่เกิดเหตุ นายรพินทร์ ผู้ตายถูกคนร้ายหลายคนร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงหลายนัด จนถึงแก่ความตาย คดีจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า ร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์มี นางยามีล๊ะ เจ๊ะเล๊าะ เจ้าของร้านขายอาหาร, นายมนตรี ธรรมโชติ ผู้เช่าแผงขายอาหาร และนายวินิจ จันทร์ประดิษฐ์ เจ้าของร้านขายของบริเวณสี่แยกถนนสายโรงเหล้าที่เกิดเหตุ เบิกความทำนองเดียวกันว่า ขณะกำลังจัดร้านและล้างจานอยู่ในร้าน ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด เมื่อหันออกไปดูเห็นคนร้ายขับรถจักรยานยนต์มา 2 คน ซึ่งหลังยิงปืนได้ขับหลบหนี โดยเห็นคนเจ็บถูกนำขึ้นรถพยาบาล และเห็นรถยนต์แบบโฟร์วีลและรถกระบะอยู่ในที่เกิดเหตุ

แต่พยานไม่ได้สังเกตหน้าคนร้ายและจดจำไม่ได้ เพราะอยู่ในอาการตกใจ เห็นว่าพยานทั้ง 3 ปาก ซึ่งอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุต่างไม่เห็นหน้าคนร้ายที่ร่วมกันยิงผู้ตาย และไม่ได้เบิกความว่า เห็นจำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุหรือมีส่วนร่วมกระทำผิดอย่างใดบ้าง ขณะที่นางยามีล๊ะ ยังให้การในชั้นสอบสวนว่า เห็นคนร้ายอีกคนหนึ่งซุ่มดูอยู่ที่ตู้โทรศัพท์ และขับหนีตามคนร้ายที่ยิงผู้ตาย

แม้โจทก์มี นางเพ็ญศรี มารดาผู้ตายเบิกความว่า ก่อนวันเกิดเหตุเห็นจำเลยมาดูลาดเลาอยู่หน้าบ้านผู้ตายช่วงเช้านานประมาณ 5 วัน ซึ่งวันเกิดเหตุเวลา 07.00 น.พยานเปิดประตูรั้วเพื่อให้ผู้ตายขับรถออกไปส่งบุตรตามปกติ ก็เห็นจำเลยอยู่ที่หน้าบ้านอีก และจำเลยทำเป็นไม่สนใจ แต่นางเพ็ญศรีให้การในชั้นสอบสวนว่า ช่วงเวลา 22.00 น.ก่อนเกิดเหตุ 2-3 วัน เห็นชายอายุประมาณ 20 ปี ขี่รถจักรยานยนต์มาสังเกตการณ์ที่หน้าบ้านพัก โดยในวันเกิดเหตุเวลา 07.00 น. ขณะยืนอยู่บนบ้าน พยานเห็นจำเลยขี่รถจักรยานยนต์จอดคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ข้างถนน เห็นได้ว่าคำเบิกความของนางเพ็ญศรีล้วนขัดแย้งแตกต่างกับคำให้การชั้นสอบสวนโดยสิ้นเชิง จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้

นอกจากนี้ หลังจับกุมจำเลยได้ ก็ไม่ปรากฏว่า นางเพ็ญศรีไปชี้ตัวจำเลยเพื่อยืนยันว่าเป็นคนร้าย พยานหลักฐานโจทก์จึงขาดความเชื่อมโยงแสดงให้เห็นว่า จำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร ช่วงก่อนเกิดเหตุและวันเกิดเหตุ เช่นเดียวกับ เจ้าพนักงานตำรวจที่เบิกความเกี่ยวกับการตรวจสอบและเก็บพยานวัตถุเช่น กระสุนปืน หมวกกันน็อก ซึ่งพยานตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า บริเวณที่พบรถจักรยานยนต์และกระสุนปืนไม่พบพยานหลักฐานอื่นอีก โดยวัตถุพยานที่พบ 10 รายการไม่ปรากฏว่า พบหมวกกันน็อกในที่เกิดเหตุ ซึ่งรายงานผลตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมหมวกกันน็อกระบุว่า สารพันธุกรรมที่ได้จากหมวกกันน็อก ซึ่งพบอยู่กับรถจักรยานยนต์เป็นของจำเลย แต่ไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ได้ยึดและเก็บหมวกกันน็อกไว้เป็นของกลางด้วย ดังนั้น ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์จึงแสดงให้เห็นว่า หมวกกันน็อกไม่ได้พบในที่เกิดเหตุตามที่รอง ผกก.สส.สภ.เมืองปัตตานี เบิกความ แต่พบเพียงรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิ ที่จำเลยขับและถูกยึดไปหลังถูกจับกุม และโทรศัพท์มือถือเท่านั้น

โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้เห็นว่า จำเลยมีส่วนร่วมในการฆ่าผู้ตาย มีเพียงคำรับสารภาพในชั้นสอบสวน รวมถึงบันทึกนำชี้ที่เกิดเหตุพร้อมภาพถ่าย ซึ่งคำให้การในชั้นสอบสวนเป็นพยานบอกเล่า ซึ่งต้องห้ามตามกฎหมายที่ไม่ให้รับฟังได้ตามลำพัง โดยจำเลยก็ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาว่า ไม่ได้กระทำผิดและต่อสู้ว่า ถูกขู่เข็ญทำร้ายร่างกายให้รับสารภาพ พยานหลักฐาน โจทก์จึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.227 วรรค 2

ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์ ภาค 9 ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นฯ โดยให้คืนรถจักรยานยนต์ และโทรศัพท์มือถือของกลางให้จำเลย แต่ให้ขังจำเลยไว้ระหว่างฎีกา.-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2009-07-20 19:46:31

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker