ผ่านพ้นไปด้วยความสุขชื่นมื่น ระหว่างผู้คนที่รักใคร่และสนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” ในวันเกิดครบรอบ 60 ปี เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมาสิ่งที่เห็นและมิอาจปฏิเสธได้ในเวลานี้ คือ คนไทยครึ่งค่อนประเทศ ได้แสดงออกซึ่งความรัก ความศรัทธา และแสดงความกตัญญูต่อ “ผู้นำ” ที่เขาชื่นชอบไม่ต้องมีใครบอกให้ทำ...และไม่มีใครมาบังคับฝืนใจซึ่งนั่นเป็นการแสดงออกด้วยความ “เต็มใจ” และ “จริงใจ” ที่ต้องการมอบสิ่งดีๆ ให้เกียรติกันในวันเกิด ซึ่ง 1 ปีจะมีสักครั้งน่าสนใจกับการ “สื่อสาร” ทางคำพูดของนายกรัฐมนตรี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ที่ฝากไปถึง “ทักษิณ ชินวัตร” เนื่องในวันคล้ายวันเกิด“...ท่านคงเหมือนคนอื่น คงอยากมีความสุข แต่ต้องใช้คำว่าถ้าหากท่านจะดวงตาเห็นธรรม ท่านจะมีความสุขมากขึ้น”หากคำว่า “ดวงตาเห็นธรรม” ที่ท่านนายกฯ หมายความถึง คือ...การเห็นแจ้งตามความเป็นจริงในปัญญาความตรัสรู้แจ้งของพระพุทธเจ้าที่ว่า...ความทุกข์ คือสภาพจิตใจที่ถูกบีบคั้นให้เร่าร้อนลำบากเชื่อว่า...ราษฎรคนไทยในเวลานี้ คงยัง “มิอาจหลุดพ้น” เนื่องด้วยความอึดอัดและอัดอั้น จากการกดขี่ของ “ผู้มีอำนาจ”โดยเฉพาะในเนื้อแท้จิตใจของ “ผู้มีอำนาจ” ที่ยังลุ่มหลงยึดมั่นอย่างผิดๆว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา...สิ่งนี้เป็นของเราพวกท่านเองที่กำลัง “แบกรับความทุกข์” และเป็นผู้ที่ต้องเรียกร้องหาคำว่า“ดวงตาเห็นธรรม”“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในฐานะนายกรัฐมนตรี และเป็นคู่ต่อสู้ทางการเมืองของอดีตนายกฯ “ทักษิณ ชินวัตร” เข้าใจถึงคำว่า “ดวงตาเห็นธรรม” มากน้อยเพียงใด??บุคคลที่ยังวนเวียนอยู่ใน “แวดวงการเมือง” เชื่อเถิดว่าร้อยทั้งร้อยยังมิอาจละซึ่ง “กิเลสตัณหา” ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชนเพราะหากใครมี “ดวงตาเห็นธรรม” คงได้ผันตัวตั้งมั่นเข้าสู่ ร่มกาสาวพัสตร์ไปเป็นที่เรียบร้อย...ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกเมื่อได้ฟังคำตอบของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่พูดส่งต่อไปถึง “ทักษิณชินวัตร” หากกล่าวกันในฐานะที่เป็น “ศาสนิกชน”พระศาสดาไม่ว่าพระองค์ใด มิได้สั่งสอนให้ไปกล่าววาจา “ค่อนแคะ” ส่อเสียดผู้อื่น...เพราะนั่นเป็นผลสะท้อนที่แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่ “คับแคบ” เต็มไปด้วย “โมหจริต”
ที่สำคัญ...ไม่มีความเป็น “สุภาพบุรุษ” ไม่ยอมรับและให้เกียรติในตัวบุคคลคนหนึ่งที่เคยโอบอุ้มถึง “กลางใจคนรากหญ้า”งาน “แซยิด” เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา...บ่งบอกความจริงแล้วว่า“คนไทยส่วนใหญ่เอาหรือไม่เอาทักษิณ”ใครกัน? ที่แบกรับความทุกข์อย่าง “หนักหน่วง” ไว้ในจิตใจใครกัน? ที่ต้องการแสดงออกซึ่งการยอมรับ...แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับตรงกันข้าม กลายเป็นความเบื่อหน่ายเพราะประชาชนไม่รู้สึกพึงพอใจกับสภาวะที่เป็นอยู่การต่อสู้ทางการเมืองไทยเวลานี้...จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้ ความรู้ความสามารถ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน...อันประกอบด้วยหลักธรรมะเพื่อนำพาประเทศให้พบกับแสงสว่างแห่ง“ความถูกต้อง” เหตุสำคัญเพราะมี เมตตามากกว่า อคติการพ้นทุกข์...ย่อมเกิดจากการปล่อยวางแต่ความเป็นจริง...การต่อสู้เพื่อเรียกร้องความถูกต้องระหว่าง ประชาชน กับ ผู้มีอำนาจ ในประเทศ...ยังไม่ถึงเวลาที่ทำให้จิตใจรู้สึกถึงการปล่อยวางประชาชนกำลัง “ต่อสู้” เพื่อให้การเมืองมี “คุณธรรม” และรักษาเป็นรากฐานให้สืบต่อไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานเมื่อถึงเวลานั้น...คนไทยคงไม่คิดลังเลในทางดำเนินที่จะ ถอดถอนความทุกข์ ออกจากจิตใจให้หมดสิ้นเมื่อหมดความลังเลสงสัย...ย่อมมั่นคงใน“พระรัตนตรัย” ซึ่งประเทศชาติคงพบกับความสุขความเจริญดังนั้น “ดวงตาเห็นธรรม” ตามแบบฉบับ“อภิสิทธิ์” ที่ยกตัวอย่างกล่าวถึงและตัวท่านเข้าใจจึงไม่ใช่ “การเห็นแจ้งตามความเป็นจริงในปัญญา”เพราะท่านนายกฯ ก็ยังมิอาจปล่อยวางละซึ่ง“กิเลส” ทางการเมืองอย่างนั้นไม่ถือว่า “เห็นธรรม” แต่หน่วงเอาธรรมไว้เป็นอารมณ์!