นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ “ลอบสังหาร” แกนนำพันธมิตรฯ “สนธิ ลิ้มทองกุล” คนไทยได้รู้ในสิ่งที่เคยรู้และได้เห็นในสิ่งที่เคยเห็นไม่ว่าจะเป็นห่ากระสุนนับร้อยที่ไม่สามารถปลิดชีพ “แกนนำคนเสื้อเหลือง” ได้อย่างที่ทีมสังหารต้องการแม้จะเป็นมือระดับพระกาฬก็ตาม!หรือการเปลี่ยนหัวหน้าชุดสืบสวน จาก พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์รอง ผบ.ตร. มาเป็น พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.ที่นายสนธิเชื่อในฝีมือการสอบสวนและความตรงไปตรงมานอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้ เรายังได้เห็นว่า ตำรวจที่รับผิดชอบนี้ทำงานหนักเพื่อให้คดีได้รับ ความกระจ่าง ตามหลักยุติธรรมแต่ขณะเดียวกันเราได้เห็นคนสีด้วยกันเอง พยายาม“เลี้ยงไข้” ไม่ให้คดีนี้จบลงง่ายจนเกิดวลีเด็ดจากปาก พล.ต.อ.ธานี ว่า คดีนี้ “เจอตอ”
เข้าแล้ว หรือ “มีไส้ศึก” ในทีมสืบสวนด้วยกัน ทำให้แผนการที่วางไว้พังไม่เป็นท่าเพราะก่อนหน้านี้ทีมสืบสวนเตรียมแผนที่จะเข้าล็อกตัวมือปืน ที่เชื่อว่าเป็น จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา ทหารรบพิเศษและ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ ตำรวจสังกัดกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด ช่วยราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษแต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวขณะที่ตัวละครใหม่ในคดีนี้เริ่มเกิดมากขึ้น...หลังตำรวจออกหมายจับตำรวจและทหารที่พัวพันคดีนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวละครที่เป็นนายทหารระดับ “บิ๊ก”ในกองทัพที่ฝ่ายพันธมิตรฯ เชื่อว่าเป็นคนสั่งการทั้งหมด เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามที่จะเป็นอุปสรรคทางการเมืองออกไปให้พ้นทางไม่ว่าจะเป็นการออกมาเปิดเผยชื่อนายทหารระดับ“นายพัน” พ.อ. “ส” ที่เชื่อว่าเป็นผู้รับงานมาจากนายใหญ่ว่ากันว่า ผู้พัน “ส” คนนี้เป็นคนใกล้ชิดบิ๊กสีเขียว เป็นมือเป็นไม้ในหลายเรื่อง เพราะแม้ชื่อจะอยู่ที่ กอ.รมน.ภาค 4แต่ตัวกลับอยู่กับนายในกรุงเทพฯ เพื่อคอยรับงานลับจากข้อมูลที่หนังสือพิมพ์ในเครือพันธมิตรฯ ได้ระบุไว้ว่าพ.อ.(ส) ทหารนายนี้ คือ เตรียมทหารรุ่นที่ 21 อดีตเคยเป็นนายทหารรับใช้ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร อดีต ผบ.ทบ.อดีต รมว.กลาโหม (ยุคนายกฯ ทักษิณ)บุคคลผู้เป็นเจ้าของ โรงงานไม้กฤษณา เลขที่ 2/1 ม.10บ้านนาแกลง ต.ประณีต อ.เขาสมิง จ.ตราด ที่ชุดสืบสวนสอบสวนของ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ เข้าตรวจค้นเพื่อล่าตัว จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา 1 ในมือปืนที่ถูกออกหมายจับพ.อ.(ส) นายนี้ เพื่อนร่วมรุ่นต่างเรียกขานเขากันว่า“บิ๊กสุ” เป็นนายทหารร่างกำยำ สูงโปร่ง จัดว่าสมาร์ทพอสมควรว่ากันว่า...ก่อนเกิดเหตุยิงนายสนธินั้น “บิ๊กสุ” ผู้นี้โทรศัพท์ไปขอยืมรถเพื่อนฝูงมาใช้งานหลายคัน
แต่สุดท้ายไปตกที่รถโตโยต้า วีโก้ สีเปลือกมังคุด ทะเบียนบธ 1474 ลพบุรี ของ น.ส.รัศมี เมฆชัย รถที่ตำรวจยึดมาตรวจสอบได้เป็นคันแรกสำหรับตัว พ.อ.(ส) มีหลักฐานการใช้โทรศัพท์มือถือของเขาพบว่า เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับบุคคลและสถานที่ (ก่อน-หลังยิงนายสนธิ)โดยที่ พ.อ.(ส) ใช้ให้ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ สังกัด บช.ปส.ช่วยราชการดีเอสไอ (ผู้ต้องหาตามหมายจับ) เป็นคนไปซื้อโทรศัพท์มือถือ 6 เครื่อง เพื่อนำมาใช้ในงานนี้ เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายของทีม ซึ่งตำรวจสอบสวนพบว่า เบอร์โทรหลักที่มีการโทรเข้า-ออกกับทีมฆ่า ล้วนมาจากเบอร์ของ พ.อ.(ส) ทั้งสิ้นนั่นเป็นข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่นำมาเปิดเผยฉบับเดียวเท่านั้น ซึ่งก็น่าแปลกเช่นกันว่า...การนำเสนอรายละเอียดผู้ต้องหาเช่นนี้ ตำรวจกลับไม่ดำเนินการใดๆ เพราะแม้แต่สื่อยังรู้ว่าใครเป็นใครหรือเป็นเพราะว่า “ตอ” ที่ว่านี้ จะใหญ่จนขวางไม่ให้ตำรวจสาวถึงตัวคนบงการได้ในขณะเดียวกันเรื่องนี้ผู้บริหารประเทศอย่างนายกรัฐมนตรี“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ติดตามการทำงานของตำรวจมาโดยตลอดเป็นคนออกมายอมรับเองว่า...ตำรวจมีอุปสรรคในการทำคดีนี้ทำให้โฆษกพันธมิตรฯ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ออกมาระบุว่า...การที่นายกฯ ออกมายอมรับเอง สะท้อนให้เห็นว่ากลไกรัฐในวันนี้ไม่สามารถที่จะทำให้คดีนี้เดินไปด้วยความตรงไปตรงมาได้ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ตั้งแต่การออกหมายจับจ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา มากว่าสัปดาห์ ซึ่งทางกองทัพบกบอกว่าจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แต่จนถึงวันนี้กลับไม่มีความชัดเจนใดๆ ออกมาจากกองทัพว่า จ.ส.อ.ปัญญา ขณะนี้ยังอยู่ในราชการหรือไม่??
ถ้าขาดราชการจะต้องถูกออกจากราชการหรือไม่ หรือตอนนี้หลบหนีอยู่หรือไม่ ก็ไม่มีการยืนยันจากกองทัพ“จึงขอเรียกร้องให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. รวมไปถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ให้ความร่วมมือโดยการนำตัว จ.ส.อ.ปัญญา ออกมามอบตัว เพื่อแสดงให้เห็นว่าได้ให้ความร่วมมือในการคลี่คลายคดีตามที่ประกาศไว้”พล.ต.อ.ธานี ชี้แจงเรื่องนี้ไว้ชัดเจนว่า “ในเรื่องข่าวสารทุกวันนี้มันรวดเร็วมาก ข่าวยิ่งออกมาก ตำรวจก็ยิ่งทำงานลำบาก หลังจากที่มีข่าวเรื่องตรวจหาหลักฐานภายในรถกระบะโตโยต้า วีโก้ ตนก็กำชับเรื่องการให้ข่าวตามสื่อต่างๆมาโดยตลอด เพราะการให้ข่าวทำให้การทำงานยากลำบาก”พร้อมระบุว่า...การนัดชุดทำงานมาคุยกันไม่ได้มาเคลียร์ใจตามที่เป็นข่าว แต่เป็นการพูดคุยกันว่าจะเดินหน้ากันต่อไปอย่างไรหลังจากที่ได้ออกหมายจับคนร้ายไปแล้วสองคนซึ่งก็เหมือนว่าทีมทำงานก็เริ่มมานับหนึ่งกันใหม่ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า การทำงานคดีนี้เจอตอนั้น พล.ต.อ.ธานี บอกว่า ที่ว่าเจอตอนั้น อยากจะบอกว่าการทำงานเรื่องใหญ่ๆ เป็นธรรมดาที่จะต้องเจอปัญหาหรืออุปสรรคในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตามจับตัวผู้ต้องหาซึ่งเรื่องนี้ก็สั่งการให้ พล.ต.ท.อัศวิน รับผิดชอบไปแม้คดีลอบสังหาร นายสนธิ จะยังไม่สามารถจับคนร้ายที่ก่อเหตุได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนไทยได้เห็นคือ ความขัดแย้งของผู้มีอำนาจและผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว ที่นำมาสู่วงจรอุบาทว์นั่นคือ “คำสั่งฆ่า” เพื่อผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้นคดีนี้จึงเป็น “คดีพิเศษ” ที่คนไทยต้องจับตาดูว่าจะมีมวยล้มต้มคนดูหรือไม่ ? ■