ตอนนี้พรรคร่วมรัฐบาลเดินเกมต่อ ด้วยการบีบให้มีการปรับคณะรัฐมนตรีโดยในส่วนพรรคชาติไทยพัฒนา พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี จะลาออกเพื่อเปิดทางให้กับนายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ ส.ส.พิจิตร พรรคชาติไทยพัฒนา บุตรชายมานั่งเป็นรัฐมนตรีแทน รวมทั้งทางพรรคชาติไทยพัฒนา ก็ยังได้ส่งสัญญาณเพิ่มเติมมาล่าสุด ที่จะขอเปลี่ยนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคืนให้กับพรรคประชาธิปัตย์
ในขณะที่โพลล์สนับสนุนรัฐบาล ได้เร่งทำผลสำรวจเชิงบวกออกมาให้กับรัฐบาลประชาธิปัตย์อย่างถี่ยิบว่า ขณะนี้รัฐบาลได้รับความนิยมจากประชาชนเป็นอย่างมากแต่ลักษณะการทำงานของรัฐบาลกลับแตกต่างไปจากโพลล์โดยสิ้นเชิงเพราะกลายเป็นว่า สิ่งที่รัฐบาลกระทำคือ การพยายามยื้อเวลา เพื่อเป็น
รัฐบาลให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้การเลือกตั้งมาถึงให้ช้าที่สุดนี่คือ สิ่งที่น่าแปลกที่สุด เพราะปกติของประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก หากรัฐบาลเป็นต่อ คือ ได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างมาก แล้วเกิดมีปัญหาไม่ราบรื่นทางการเมืองขึ้นมา ไม่ว่าในกรณีใดๆรัฐบาลจะช่วงชิงจังหวะยุบสภา เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่แล้วใช้คะแนนนิยมที่สูงในจังหวะนั้นกวาดที่นั่ง ส.ส. กลับมาเป็นรัฐบาลอย่างถล่มทลายอีกครั้ง ไม่ว่าสหรัฐอเมริกา อังกฤษ หรือแม้แต่ญี่ปุ่น ก็ทำ
กันแบบนี้ทั้งสิ้นดังนั้น ในเมื่อโพลล์บอกว่าคะแนนนิยมของรัฐบาลในขณะนี้สูงมาก แล้วทำไมรัฐบาลกลับไม่กล้ายุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่???หากประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงถล่มทลาย ไม่ต้องพรรคเดียวก็ได้ ต่อให้เป็นรัฐบาล 2 พรรค 3 พรรค ถ้ามาจากการเลือกตั้งใหญ่ ... ใครหน้าไหนก็จะมาบอกว่าไม่สง่างาม หรือไม่ชอบธรรมไม่ได้อีกแล้วจุดนี้เองที่ทำให้ต้องย้อนกลับมาพิจารณาว่า แล้วทำไมพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่กล้าตัดสิน ใจ แถมยังดึงเกมทุกเรื่องที่สาร
มารถจะทำได้อย่างการดึงเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่มีความคืบหน้าใดๆ เลย จนกระทั่งทำให้บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันยังทนไม่ไหวต้องออกมาทวงสัญญาในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนถึงขณะนี้ก็ยังอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า จะเอาอย่างไรแน่ในเรื่องแก้รัฐธรรมนูญจนต้องใช้ยุทธศาสตร์หรือแผนถนัดก็คือ การสร้างกระแสหันเหความสนใจของประชาชน และสื่อมวลชนให้ไปสนใจโฟกัสเรื่องอื่นประเด็นอื่นแทนอย่างกรณีเรื่องการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภาย
ในราชอาณาจักร ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งทั้งภาคธุรกิจเอกชน และในซีกของการเมือง ได้มีการเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการประกาศใช้ได้เสียทีแล้ว เพราะกลุ่มคนเสื้อแดง ได้เลื่อนการชุมนุมออกไปแบบไม่มีกำหนด จึงไม่เข้าใจว่ารัฐบาลจะคาเอาไว้ทำไมให้เสียบรรยากาศแถมยังทำให้กฎหมายขาดความศักดิ์สิทธิ์ เพราะรัฐบาลประชาธิปัตย์ถือว่ามีการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ อย่างฟุ่มเฟือยฉะนั้นน่าที่จะรีบประกาศยกเลิกการบังคับใช้กฎหมายโดยเร็วเพราะรัฐบาล
น่าจะเห็นแล้วว่า การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯนั้นนำมาซึ่งข่าวลือสารพัด รวมทั้งเรื่องที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องใส่เสื้อเกราะอ่อนเล่นเอานายอภิสิทธิ์ต้องออกมาปฏิเสธพัลวันว่าไม่ได้ใส่ แม้ว่าคนรอบข้างจะบอกว่า จริงๆ แล้วนายอภิสิทธิ์ไม่ได้ใส่คนเดียว คนอื่นๆ ก็ใส่เหมือนกันแหละแน่นอนว่า ถ้าขนาดผู้นำประเทศยังต้องมีข่าวระแคะระคายในเรื่องของการใส่เสื้อเกราะไปทำงาน ย่อมหนีไม่พ้นผลกระทบที่จะตามมากับความเชื่อมั่นในการลง
ทุนและธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นสถานการณ์เช่นนี้แหละที่ทำให้เสียงเรียกร้องให้ยกเลิกประการศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯจึงได้ดังมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าไม่ควรจะยื้อแล้ว เจอกระแสข่าวลือแบบนี้ยิ่งต้องรีบๆ ประกาศยกเลิกโดยเร็วนั่นแหละจึงทำให้เมื่อเย็นวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง จึงได้มีการเรียกประชุมเพื่อทบทวนว่าควรจะยกเลิก พ.ร.บ.ก่อนครบกำหนดหรือไม่โดยยังยืนยันว่า สถานการณ์โดยรวมยังจำเป็นต้อง
ระมัดระวังอยู่ แม้ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะแสดงความจงรักภักดีในช่วงวันที่ 5 ธันวาคม โดยเลื่อนการชุมนุมไปอย่างไม่มีกำหนดแล้วก็ตามแต่ดูเหมือนรัฐบาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนายสุเทพ ยังยืนยันที่จะให้มีการเล่นเกมนี้อยู่ไม่เลิก เพราะตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า จะได้เป็นการโยนบาปให้กับคนเสื้อแดงว่าการชุมนุมรวมพลังทำให้บรรยากาศเสียเมื่อเสื้อแดงมายกเลิกกระทันหัน... แผนจึงไม่เข้าล็อกที่วางไว้ดังนั้น อย่างน้อยต้องทิ้งหัวเชื้อเอาไว้ว่า ที่ยังเลิกประกาศใช้ พ.ร.บ.
ไม่ได้ทันทีทันควันก็เพราะว่ากลัวคนเสื้อแดงจะแสดงพลังกันขึ้นมากระทันหันอีกเรียกว่า สร้างกระแสกันหยดสุดท้ายนั่นแหละ เพราะนี่คือ เกมการเมืองแนวถนัดของประชาธิปัตย์อยู่แล้วแต่ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างที่สุดในเวลานี้ของพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ ไม่ใช่เรื่องการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ไม่ใช่เรื่องการใส่เกราะอ่อน... แต่เป็นเรื่องแรงกดดันจากพรรคร่วมรัฐบาลเสียมากกว่าเพราะตอนนี้พรรคร่วมรัฐบาลเดินเกมต่อ ด้วยการบีบให้มีการปรับ
คณะรัฐมนตรีโดยในส่วนพรรคชาติไทยพัฒนา พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี จะลาออกเพื่อเปิดทางให้กับนายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ ส.ส.พิจิตร พรรคชาติไทยพัฒนา บุตรชายมานั่งเป็นรัฐมนตรีแทน รวมทั้งทางพรรคชาติไทยพัฒนา ก็ยังได้ส่งสัญญาณเพิ่มเติมมาล่าสุด ที่จะขอเปลี่ยนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคืนให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนพรรคเพื่อแผ่นดินได้ส่งสัญญาณมายังแกนนำพรรคประชาธิปัตย์เช่นกันว่า จะขอปรับครม.ในส่วนของ
พรรคช่วงเดือนธ.ค. โดยมีเป้าหมายสำคัญขอแลกกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยพรรคเพื่อแผ่นดินจะขอกระทรวงศึกษาธิการมาดูแลแทนนั่นแปลว่า แม้พรรคภูมิใจไทยจะยังลังเล เพราะหัวหน้าพรรคตัวจริงอย่างนายเนวิน ชิดชอบ นั้นยังยึดติดกับการที่ต้องมีอำนาจการเมืองเอาไว้ในมือ จึงยังไม่ต้องการที่จะหักหาญกับพรรคประชาธิปัตย์แม้ว่ารัฐมนตรีในพรรคจะอึดอัดเพียงใด นายเนวินก็สั่งให้อดทนไว้ก่อนผิดกับ
พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่กดดันพรรคประชาธิปัตย์อย่างหนักงานนี้จึงทำให้ต้องมีการวัดใจครั้งสำคัญว่า นายอภิสิทธิ์ จะเลือกเล่นเกมรับมืออย่างไรเพราะแน่นอนที่สุดในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เองก็ต้องมีการปรับด้วยเช่นกัน เนื่องจากนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ได้ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีไปนานแล้วรอบนี้ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องโยกนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ ที่ไม่สามารถเข้ากับพรรคร่วมรัฐบาลได้เลย
ให้ไปนั่งเป็น เลขาธิการนายกรัฐมนตรีแทนนายนิพนธ์ ส่วนผู้ที่จะมานั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจแทน เต็งจ๋าในขณะนี้ไม่มีใครเกิน นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งรอมาตั้งแต่นายนิพนธ์ลาออกแล้วรวมทั้งได้มีการทวงตรงๆ จากนายอภิสิทธิ์ ไปครั้ง 2 ครั้งแล้วด้วยถ้านายอภิสิทธิ์ยังจะดึงเกมอีกไม่สนุกแน่ส่วนแรงกดดันให้ปรับนายกษิต ภิรมย์ ออกจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนั้น เชื่อว่านายอภิสิทธิ์ จะเพิก
เฉยไม่ทำตามดูเหมือนว่านายอภิสิทธิ์ ได้วางแผนปรับ ครม. เอาไว้หลังวันที่ 15 ธันวาคม นี้แหละแน่นอนว่าในพรรคเองก็ยังไม่รู้ใจนายอภิสิทธิ์ ทำให้บางกลุ่มมีการออกตัวว่ายังไม่รู้เรื่อง ในขณะที่บางกลุ่มเริ่มพูดกลายๆ ว่าทำงานเพื่อพรรคมามากแล้วซึ่งก็คงต้องลุ้นดูว่า สุดท้ายแล้ว ครม.ชุดใหม่ของนายอภิสิทธิ์ จะมีหน้าตาออกมาอย่างไรยี้ หรือไม่ยี้ หลัง 15 ธันวานี้รู้แน่นอน