คอลัมน์ เหล็กใน
สมิงสามผลัด
ฝ่ายค้านมือฉมังที่กำลังเพลิดเพลินกับการเล่นงานรัฐบาลยิ่งลักษณ์
โดนสวนเต็มเปาจนเมาหมัด
กรณีกล้องกลวงที่กระหึ่มเมืองขณะนี้
เริ่มจากมีการเปิดโปงกล้องวงจรปิดในกรุงเทพฯ ที่ดันไปพบว่ามี "หลายตัว" เป็นกล้องแหกตา
มีแต่กล่อง-ไม่มีกล้อง
ทำให้ผู้ว่าฯ กทม.คนปัจจุบันกับอดีตผู้ว่าฯ กทม. ที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์เหมือนกัน
ปัดไปมากันพัลวัน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องแก้เกมด้วยการโยนบาปให้รัฐบาลทักษิณ (อีกแล้ว) เป็นคนอนุมัติติดตั้งกล้องแหกตาที่ภาคใต้
สุดท้ายก็ต้องหน้าแหกเสียเอง
เพราะ คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐระบุว่าโครงการติดกล้องใน 5 จังหวัดภาคใต้ เกิดขึ้นใน ครม.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อนุมัติจัดซื้อในวงเงิน 970 ล้าน
ตามด้วยหลักฐานการสอบสวนของสตง.ที่ระบุว่าการจัดซื้อจัดจ้างไม่โปร่งใส เห็นควรให้ดำเนินคดีอาญากับ ขรก.หลายราย
โดนแบบนี้ก็เป๋เหมือนกัน
เช่น เดียวกับกรณีที่ปชป.ต่อต้านข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ที่หาทางออกให้สังคมที่ กำลังขัดแย้งกันรุนแรง ด้วยการเสนอให้ล้มล้างผลพวงจากการรัฐประหาร 19 กันยา 2549
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรค และนายสกลธี ภัททิยกุล รองโฆษกพรรค ดาหน้าออกมาคัดค้านแบบสุดลิ่ม
ไม่รับฟังเหตุผลของคณะนิติราษฎร์ที่พยายามชี้แจงว่าผลพวงจากรัฐประหาร 19 กันยาก่อให้เกิดความเสียหายอะไรบ้างในช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา
ชี้ให้เห็นว่าการปฏิวัติยึดอำนาจเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย
กระบวนการต่างๆ ก็บิดเบี้ยวไปหมด
ที่สำคัญที่สุดยิ่งตอกย้ำให้สังคมแตกแยกยิ่งขึ้น !
แต่นายอภิสิทธิ์นอกจากไม่รับฟังแล้ว ยังโจมตีว่ามีจุดมุ่งหมายล้างผิดให้ทักษิณคนเดียว
ตรงนี้ถือว่าพลาดครั้งใหญ่หลวง
ยิ่งทำให้สังคมคลางแคลงใจแนวคิดของนาย อภิสิทธิ์และปชป.ว่ายังยึดมั่นในระบอบประชาธิป ไตยจริงหรือ !?
การออกมาโจมตีกลุ่มนักวิชาการที่มีแนวคิดต่อต้านการรัฐประหาร
รังแต่จะเจ็บตัวเปล่าๆ
เท่ากับไปยอมรับว่าเห็นด้วยกับการรัฐประหาร
ตอกย้ำอดีตรัฐบาลที่เคยรับมรดกอำนาจกลุ่มเผด็จการ
เป็นข้อเท็จจริงที่ยากจะปฏิเสธได้